บทที่ 148 พี่ชาย มาเล่นกับข้าเถอะ
เวลานี้ในพื้นที่มากมายนับไม่ถ้วนของครึ่งโลกกระบี่อุกกาบาตเกิดการบิดเบือนพร่าเลือน พริบตานั้นสัตว์ร้ายแต่ละตัวที่หลับลึกอยู่ในความว่างเปล่าไม่รู้ว่าถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงฟ้าผ่า หรือเป็นเพราะสัมผัสถึงยาวิเศษของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ในความมืดมิด เวลานี้ถึงได้ลืมตาโพลงขึ้นมาท่ามกลางความสั่นสะเทือน
บริเวณใกล้เคียงกับบางจุดที่สัตว์พวกนี้ตื่นขึ้นมีลูกศิษย์ของสี่สำนักอยู่ด้วย ทว่าในพื้นที่ที่สัตว์ร้ายส่วนใหญ่ถูกปลุกให้ตื่นนั้นไม่มีนักพรตอยู่ วินาทีนั้นพวกมันทุกตัวล้วนเบิกตาดุร้ายหันไปมองยังตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ ในสายตาเผยแววละโมบและบ้าคลั่ง เสียงคำรามแหบแห้งดังต่อเนื่องไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร
และเนื่องจากความว่างเปล่าหลายพื้นที่เกิดกระแสเคลื่อนไหวเหมือนคลื่นน้ำ สัตว์ร้ายที่อยู่ในครึ่งโลกกระบี่อุกกาบาตนี้จึงลอดทะลุความว่างเปล่า ห้อตะบึงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทว่า…ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้ ก็คือครึ่งหนึ่งของโลกกระบี่อุกกาบาต ในพื้นที่บางส่วนที่สัตว์ร้ายพวกนี้ไม่กล้าปรากฏตัว ในความว่างเปล่าค่อยๆ มีเงาก่อตัวกันขึ้นมาเป็นร่างแล้วร่างเล่า
มีชายมีหญิง มีแก่มีเด็ก ที่อายุน้อยที่สุดก็คือเด็กหญิงคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาว ในมือกอดหมีน้อยสีเลือดไร้ผิวหนังตัวหนึ่งเอาไว้ กำลังล่องลอยอย่างเคว้งคว้าง และยังมีสัตว์ร้ายบางส่วนที่ไม่เคยปรากฏกายอยู่บนผืนแผ่นดินทงเทียนอีกด้วย
พวกมันคือ…วิญญาณร้าย!
นี่คือชีวิตที่ถูกสังหารโดยนายของตัวเอง เมื่ออยู่ท่ามกลางชีพจรดินจึงกลายมาเป็นวิญญาณของคนตายล่องลอย ผ่านกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุด อยู่ในกระบี่ยักษ์ที่มาจากนอกโลกเล่มนี้!
พิศวงลี้ลับไร้ที่สิ้นสุด ลึกลับเกินคาดเดา สามารถแน่ใจได้ว่า…ตอนที่วิญญาณร้ายเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่ใช่…คนของแผ่นดินทงเทียน พวกเขามาจากนอกโลกซึ่งในตำนานเล่าลือว่าเป็นที่ที่สามารถอยู่เป็นอมตะได้!
เงาร่างเหล่านี้กระจัดกระจาย แยกกันอยู่ตามพื้นที่เปลี่ยวร้างของโลกกระบี่อุกกาบาต สถานที่ที่พวกมันอยู่คือสถานที่ต้องห้ามของสัตว์ร้าย ไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดกล้าเข้าใกล้
แต่ในเวลานี้ เงาร่างเหล่านี้ค่อยๆ เดินออกมาจากความว่างเปล่าในพื้นที่ของตัวเองช้าๆ มีบางตนสวมใส่เสื้อผ้าโบราณ บางตนสวมชุดเกราะ บางตนร่างเต็มไปด้วยแผ่นเกล็ด ลักษณะแตกต่างกันออกไป ร่างกายชำรุดสึกหลอกันแทบทุกตน บางตนก็ไม่มีแขน บางตนก็เหลือกะโหลกศีรษะอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง และยังมีบางตนที่หน้าท้องเป็นรูกว้าง มีควันสีดำลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
วิญญาณร้ายทุกตนล้วนเลื่อนลอย พวกมันไม่มีสติปัญญา ไม่มีความทรงจำ ผ่านไปที่ใด สัตว์ร้ายทุกตัวล้วนตัวสั่นสะท้าน ปล่อยให้วิญญาณร้ายเหล่านี้ลอยผ่านไป หากถูกวิญญาณร้ายสัมผัสโดนร่างกายพอดี ร่างของสัตว์ร้ายพวกนี้ก็จะแหลกละเอียดสลายวับไปทันที
โดยเฉพาะวิญญาณร้ายที่คล้ายสัตว์พวกนั้น รูปร่างก็ยิ่งดูพิลึกพิลั่นดั่งถูกประกอบร่างขึ้นมา!
ขณะที่วิญญาณร้ายเยื้องกรายลอดทะลุความว่างเปล่าออกมานั้นเอง ความเร็วของพวกมันรวดเร็วจนยากจะบรรยายออกมาได้ ทะลุผ่านสิ่งกีดขวางทุกอย่าง สถานที่ที่มุ่งหน้าไป…ก็คือสถานที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่!
จำนวนมากมายมาจากสี่ด้านแปดทิศ ตรงดิ่งไปยังที่เดียวกัน!
ระหว่างทาง ลูกศิษย์ของสี่สำนักบางส่วนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ พวกเขามองเห็นความว่างเปล่ารอบกายบิดเบือน มองเห็นเงาร่างของสัตว์ร้ายหลายตัวผลุบๆ โผล่ๆ เดิมทีกำลังตะลึงระคนดีใจคิดจะตรงเข้าไปสังหาร ทว่าก็ต้องหนังหัวชาหนึบอย่างรวดเร็ว ค้นพบอย่างตะลึงพรึงเพริดว่าสัตว์ร้ายของที่นี่มีมากเกินไปแล้ว
เดินขบวนเป็นกลุ่ม คล้ายกระแสของสัตว์ร้าย!
“เกิดอะไรขึ้น!”
“สวรรค์ สัตว์ร้ายของที่นี่หายากมาก ทว่าตอนนี้กลับออกมาเองทั้งหมด ทั้งจำนวนยังมากมหาศาลถึงเพียงนี้!”
“ต้องเกิดอุบัติภัยอะไรบางอย่างแน่นอน บัดซบ นั่นมันคืออะไร…วิญญาณร้าย นั่นมันวิญญาณร้าย!” ครึ่งหนึ่งของโลกกระบี่อุกกาบาต เสียงร้องอุทานตื่นตะลึงของลูกศิษย์สี่สำนักดังสะท้อนออกไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามองเห็นวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวท่ามกลางสัตว์ร้ายเหล่านั้น แต่ละคนสำลักลมหายใจ รีบบินทะยานหนีห่างไปอย่างว่องไว
สำหรับความน่าหวาดกลัวของวิญญาณร้ายนั้น ผู้อาวุโสของสี่สำนักล้วนกำชับลูกศิษย์ตัวเองมาเหมือนกัน วิญญาณร้าย…ดำรงอยู่เฉพาะในหุบเหวกระบี่อุกกาบาต ห้ามเข้าไปยั่วยุเด็ดขาด เจอเมื่อใดให้รีบหลีกหนีห่างทันที!
“แม้แต่วิญญาณร้ายก็ยังถูกดึงดูดออกมาด้วย ทิศทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”
“พวกเราตามไปดูกันห่างๆ!” ลูกศิษย์ของทั้งสี่สำนัก หากไม่อยู่กันเป็นกลุ่มสามคนห้าคนก็อยู่เพียงลำพัง เวลานี้ล้วนถูกเขย่าขวัญด้วยกระแสวิญญาณร้ายและสัตว์ร้ายเหล่านี้ ต่างพากันสูดลมหายใจเข้าลึก สะกดรอยตามไปเงียบๆ
ยามนี้โลกกระบี่อุกกาบาตครึ่งหนึ่งล้วนสะท้านสะเทือนไปกับเสียงฟ้าผ่าเก้าครั้งก่อนการถือกำเนิดของยาวิเศษป๋ายเสี่ยวฉุนกันไปหมด
ในถ้ำ ร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนผอมลงไปหนึ่งรอบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง จ้องเขม็งไปยังเตาหลอมยาด้านหน้า มองดูรอยปริแตกบนเตาหลอมยาที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งเส้นทุกครั้งที่เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังออกมา
จนกระทั่งดังครบเก้าครั้ง เตาหลอมยาพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง พริบตาเดียวก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เวลาเดียวกันนี้ก็มีแสงรุบรู่มืดดำสี่เส้นบินออกมาจากในเตาหลอมที่พังทลาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งท่าเตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง วิชาพลังม่วงควบคุมกระถางก็ระเบิดออกเต็มกำลังจนแทบจะกลายมาเป็นพลังควบคุมในพื้นที่นั้น ปกคลุมไปสี่ทิศ กดอัดยาวิเศษสี่เม็ดที่กำลังจะพุ่งออกมาเอาไว้ และคว้าหมับเข้ามาไว้ในมือได้ในทีเดียว
“คิดหนีรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงด้วยความลำพองใจ ก้มหน้าลงมองยาสี่เม็ดในมือ ดวงตาฉายแววร้อนแรง รีบออกมาจากถ้ำ คิดจะออกไปหาสัตว์ร้ายมาทดลองเพื่อดูผล
ทว่าชั่วขณะที่เขาเดินออกมาจากถ้ำนั้นเอง ทันใดนั้นสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระตุกน้อยๆ ร่างถอยกรูดไปด้านหลังครึ่งก้าว วินาทีที่เขาถอยหลัง หางแมงป่องสีดำหนึ่งหางพลันปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า ตวัดฉับพุ่งผ่านตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนก่อนหน้านี้
การโจมตีครั้งแรกไม่สำเร็จ แมงป่องสีดำยาวหนึ่งจั้งกว่าก็เผยร่างออกจากความว่างเปล่า นัยน์ตาฉายแววคลุ้มคลั่งและละโมบ จ้องมองมายังยาทั้งสี่เม็ดที่อยู่ในมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง แผล็บเดียวก็กระโจนเข้าใส่
ลักษณะพลังดุดันกราดเกรี้ยว ไม่เหมือนสัตว์ร้ายระดับต่ำ แต่เหมือนสัตว์ระดับกลางอย่างหมียักษ์ตัวก่อนหน้านี้
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ มือซ้ายสะบัดว่องไวราวสายฟ้าแลบ ความเร็วเหนือชั้นยิ่งกว่าแมงป่อง ยื่นมือออกไปคว้าจับที่หางของมันแล้วเหวี่ยงกระแทกเข้ากับผนังหินด้านข้างแรงๆ หนึ่งที ขณะที่เสียงกระแทกโครมดังหนึ่งครั้ง เขาพลันแผ่พลังวิญญาณออกมาส่งตูมเข้าไปในร่างของแมงป่อง ตรงไปทำลายส่วนที่อ่อนแอที่สุดในร่างกายของมัน แมงป่องดิ้นรนอยู่สองสามครั้งร่างก็พลันอ่อนยวบลงและพร่าเลือนอย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นปราณชีพจรดินถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บเอาไป
หากเปลี่ยนเป็นนักพรตทั่วไป คิดจะรับมือกับสัตว์ร้ายระดับกลางที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ ต่อให้เคยได้ฟังคำเตือนจากผู้อาวุโสในสำนักมาก่อนก็ยังยากที่จะทำลายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนที่ศึกษาสัตว์ร้ายมาเกือบร้อยตัวแล้ว แค่มองปราดเดียวเขาก็หาจุดอ่อนของสัตว์ร้ายได้ การฆ่าจึงเป็นเรื่องง่ายดาย
“ยาเพิ่งจะเผยโฉมก็สามารถดึงดูดความสนใจสัตว์ร้ายได้แล้ว ฮ่าๆ ยาของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมสำเร็จแล้วจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม และยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจอย่างรุนแรง ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าควรจะเอายาสี่เม็ดนี้ไปหลอมพลังจิตดีหรือไม่นั้น ความว่างเปล่ารอบกายเขาก็พลันเกิดลูกคลื่นเป็นชั้นๆ คล้ายคลื่นน้ำซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจน เมื่อมองไป จุดที่ห่างออกไปไกลทั้งสี่ทิศ ลูกคลื่นเช่นนี้ก็ยิ่งมีมากทั้งยังยิ่งดุเดือด ถึงกระทั่งสามารถมองเห็นเงาร่างของสัตว์ร้ายหลายตัวผลุบๆ โผล่ๆ ได้
“เยอะขนาดนี้เชียว พอแล้วๆ ฮ่าๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องสร้างฐานรากได้เป็นคนแรกแน่นอน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นสัตว์ร้ายพวกนี้ก็ยิ่งตื่นเต้น กระโดดโลดเต้นขึ้นมา ขณะที่กำลังจะลงมือทำตามแผนให้เสร็จสิ้นก็ต้องหน้าเผือดสีกะทันหัน เบิกตากว้าง มองเห็นว่าจุดที่ห่างออกไปไกล ดันมีเงาร่างที่กะโหลกศีรษะเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีเทาปรากฏตัวขึ้น ในดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวนั้นฉายแววเคว้งคว้าง กำลังล่องลอยเข้ามา ขณะที่ทะลุผ่านความว่างเปล่า กะโหลกศีรษะนั่นก็ขยับน้อยๆ ดวงตาเลื่อนลอยข้างนั้นตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขั้นมีคลื่นชีวิตชีวาปรากฏขึ้นมาบางส่วน
คลื่นเคลื่อนไหวนี้คล้ายจะแฝงฝังไว้ด้วยความกระหายใคร่ พริบตาเดียวก็จ้องเขม็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน หรือพูดให้ชัดเจนก็คือจ้องมาที่ยาในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน มันเคลื่อนกายเข้ามาหาด้วยความรวดเร็ว
สัตว์ร้ายรอบกายของมันพอมองเห็นเงาร่างนี้ปรากฏขึ้นก็ตัวสั่นทันที ไม่กล้าขยับกาย ตอนที่เงาร่างนั้นลอยผ่านด้วยความรวดเร็วก็มีสัตว์ร้ายถึงเจ็ดแปดตัวที่พอโดนสัมผัสร่างก็สลายหายวับไป แม้แต่เสียงร้องโหยหวนก็ไม่มีให้ได้ยิน
“วิญญาณร้าย?! ทำไมวิญญาณร้ายก็ถูกดึงดูดมาด้วยล่ะ ยังดีที่มีแค่ตนเดียว…อ๋า?” ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่หน้าถอดสี ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดจบ ทันใดนั้นจุดที่ห่างออกไปไกลก็มีร่างของวิญญาณร้ายอีกหนึ่งตัวปรากฏขึ้นมา วิญญาณร้ายตนนี้ไม่มีแขนทั้งสองข้าง ผมกระเซอะกระเซิง สวมเสื้อเกราะชำรุดขาดแล่ง ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความกระหายใคร่เช่นเดียวกัน เข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็ว
ยังไม่หมด ห่างออกไปอีกยังมีผู้เฒ่าผู้หนึ่ง ช่วงท้องมีรูโหว่ขนาดยักษ์หนึ่งรู กลายร่างออกมาจากความว่างเปล่า เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว
ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวชาหนึบ สำลักลมหายใจ ขณะที่กำลังจะก้าวถอยหลัง พลันค้นพบอย่างตะลึงพรึงเพริดว่าวิญญาณร้ายพวกนี้ไม่ได้มีแค่สามตนห้าตน แต่เป็น…หนึ่งฝูง!!
มองไปรอบด้าน เวลานี้ความว่างเปล่าบิดเบือน วิญญาณร้ายตนแล้วตนเล่าทยอยกันปรากฏตัว สายตากระหายใคร่ของวิญญาณร้ายทุกตัวทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดเผือด มีความรู้สึกเหมือนจะถูกฉีกกระชากให้ตายทั้งเป็น
“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ร่างถอยหลังกรูดโดยพลัน เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายเหล่านี้ ในโลกกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้อย่าว่าแต่นักพรตรวมลมปราณเลย ต่อให้เป็นผู้อาวุโสของแต่ละสำนัก เมื่อมาอยู่ในมือของวิญญาณร้ายพวกนี้ก็เป็นไปได้มากว่าอาจต้องสิ้นชีพ
แต่ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหลังไปนั้นเอง วิญญาณร้ายแต่ละตนพลันเงยหน้าขึ้นพรวด บางส่วนเปล่งเสียงคำรามแหบแห้งแหลมปรี๊ดบาดหู เสียงคำรามเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยการสั่นสะเทือนสยบขวัญ ทำให้สัตว์ร้ายรอบด้านยิ่งตัวสั่นสะท้าน ร่างป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไปทั้งตัว จิตใจและสติปัญญาใกล้พร่าเลือน ขณะที่เซถอยไปหนึ่งก้าวก็รู้สึกเพียงว่าในสมองราวกับถูกค้อนหนักกระแทกตูมลงมา กระอักเลือดสดออกมาหนึ่งคำ ตกใจจนสั่นเทาไปทั้งร่างและกรีดร้องเสียงแหลมออกมาเช่นกัน เขากัดปลายลิ้น อาศัยความเจ็บปวดประคองสติตัวเองเอาไว้แล้วจึงเพิ่มความเร็วหลบหนีไป
เหงื่อเย็นๆ ของเขาแตกพลั่ก ปีกด้านหลังที่อยู่ในหม้อใบใหญ่สีดำโบกกระพือเร็วจนถึงขีดสุด ความเร็วนั้นเร็วจนทำให้ร่างพร่าเลือนทะยานห่างออกไปไกลในชั่วพริบตา ทว่าถึงแม้เขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว แต่วิญญาณร้ายที่ล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าเหล่านั้นกลับเร็วยิ่งกว่า
แผล็บเดียว วิญญาณร้ายหลายสิบตัวที่อยู่รอบด้านก็ล่องลอยเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง และยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ…
โดยเฉพาะในบรรดาวิญญาณร้ายหลายตนนั้น ตัวที่ล่องลอยได้เร็วที่สุดนอกจากร่างที่มีศีรษะเพียงครึ่งเดียวแล้ว ยังมีอีกตนหนึ่งนั่นคือเด็กหญิงที่สวมชุดสีขาวตนนั้น เด็กหญิงผู้นี้ไม่เปล่งเสียงใดๆ ออกมา สีหน้าเย็นชาทะมึนทึบ มีเพียงในดวงตาเท่านั้นที่ฉายแววกระหายใคร่รุนแรง
ห่างออกไปไกลยังมีนักพรตของทั้งสี่สำนักจำนวนไม่น้อยแอบติดตามมา หลังจากมองเห็นภาพนี้แล้ว แต่ละคนก็หนังหัวชาดิก ฝ่ายลูกศิษย์สำนักธาราเทพก็ยิ่งร้อนใจ บางส่วนพยายามจะไปล่อวิญญาณร้ายพวกนี้ออกไป ทว่าวิญญาณร้ายเหล่านี้ไม่สนใจคนอื่นเลยแม้แต่นิด เอาแต่ไล่กวดป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เดียว
“ฆ่าคนแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวน ขณะที่กำลังห้อตะบึงหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่งนั้น เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา เขาไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองก็แค่หลอมยาเพื่อดึงดูดสัตว์ร้ายเท่านั้น ไม่รู้ทำไมถึงได้ไปลากเอาวิญญาณร้ายพวกนี้เข้ามาเอี่ยวด้วย
“สมควรตายเอ๊ย ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่ตอนข้าหลอมยาทำอะไรผิดไปแน่นอน ถึงได้หลอมยาประหลาดออกมาอีกแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเศร้าเสียใจ มองเห็นว่าวิญญาณร้ายพวกนี้เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละตนไล่กวดตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกัดฟันกรอด ข่มกลั้นความเสียดาย เขวี้ยงยาเม็ดหนึ่งออกไปไกลอย่างแรง
ยามเมื่อยาเม็ดนี้ถูกโยนออกไป วิญญาณร้ายทุกตนที่อยู่รอบด้านพากันเงยหน้าขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ส่วนใหญ่เปลี่ยนทิศทางตรงดิ่งเข้าหาเม็ดยา ทำให้ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็หนีพ้นมาได้ ตอนที่ห่างออกมาไกล เขาข่มกลั้นความหวาดผวาหันกลับไปมองหนึ่งที
การมองครั้งนี้ เขามองเห็นว่ายาเม็ดนั้นที่ตัวเองโยนออกไป ท่ามกลางการแย่งชิงของวิญญาณร้ายจำนวนมาก สุดท้ายกลับถูกเด็กหญิงชุดขาวซึ่งอยู่ๆ ก็ระเบิดความเร็วถึงขีดสุดแย่งชิงเอาไปครองแล้วกลืนลงไปในคำเดียว
แทบจะพริบตาที่กลืนยาเม็ดนี้ลงไป ความเลื่อนลอยในดวงตาของเด็กหญิงหายไปไม่น้อย มีประกายแสงรุบรู่วาบผ่าน สีหน้ายิ่งทะมึนและเย็นชายิ่งกว่าเดิม เมื่อมองอย่างละเอียดก็คล้ายว่าบนร่างของนางจะมีประกายแห่งชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาบางส่วน!
เด็กหญิงหันหน้ามองจากไกลๆ มาสบตากับป๋ายเสี่ยวฉุน
ชั่วขณะที่ทั้งสองประสานสายตากันนั้น หนังหัวป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายระเบิดออกอย่างรุนแรง ข้างหูมีน้ำเสียงแผ่วโหยแปลกประหลาดเสียงหนึ่งดังลอยมา
“พี่ชาย มาเล่นกับข้าเถอะ…” เสียงนี้ปรากฏขึ้น ทำให้รูขุมขนตลอดร่างของป๋ายลุกพรึ่บ เขาเร่งความเร็วทั้งหมดที่มี ห้อทะยานออกไปไกลโดยไม่หันกลับไปมองอีกแม้แต่หางตา
————