บทที่ 151 ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าจะสู้กับข้ารึ?!
หนึ่งชั่วยามต่อมา ขณะที่กำลังบินทะยานอยู่นั้น ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและร้อนรน เขารู้สึกว่าตัวเองช่างน่าเวทนายิ่งนัก เห็นๆ อยู่ว่าตอนนี้มีตัวล่อปราณชีพจรดินแล้ว คิดจะหาสถานที่ปลอดภัยสักแห่ง แต่กลับถูกเด็กผู้หญิงไล่ล่า
พอนึกถึงวิกฤตและความอันตรายเมื่อครู่นี้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นสะท้าน เวลานี้สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง รอบด้านมองไม่เห็นเงาร่างใด ป๋ายเสี่ยวฉุนเจอถ้ำแห่งหนึ่ง หอบหายใจฮักๆ นั่งขัดสมาธิพลางมองรอบด้านด้วยความระมัดระวัง เขารู้สึกว่าถ้ำแห่งนี้พอนับได้ว่าลึกลับ ขณะที่กำลังพิจารณาว่าควรจะเลือกที่นี่สร้างฐานรากหรือไม่ ทันใดนั้นเบื้องหน้าของเขาก็เกิดการบิดเบือน
การบิดเบือนนี้ชั่วแผล็บเดียวก็กลับคืนเป็นปกติ แยกไม่ออกว่าเป็นการบิดเบือนของโลกใบนี้ หรือว่าดวงตาของเขาเกิดผิดเพี้ยนไปกันแน่ สรุปคือหลังจากที่กลับคืนสู่ความปกติแล้ว เบื้องหน้าของเขาก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
ซึ่งก็คือเด็กหญิงสวมชุดขาวผู้นั้น ดวงตาดำสนิทของนางจ้องเขม็งมาที่ตัวเอง
“พี่ชาย ท่านอย่าหนีสิ เล่นกับข้า…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะพังทลายเต็มที ดวงตาเขาแดงฉานไปหมด ขณะที่ทำมุทราพลังวิญญาณก็แผ่ออกมากลายเป็นกระถางใหญ่สีม่วง พุ่งออกไปด้านหน้าระเบิดออกดังตูม
พื้นดินสั่นสะเทือน ร่างเขากระโดดพรวดออกมา เมื่อก้มหน้าลงไปมองกลับพบว่าไม่มีร่างของเด็กหญิงชุดขาวคนนั้นอยู่ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ราวกับเป็นแค่ภาพลวงตาของตัวเอง
“แม่งเอ๊ย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าบิดเบี้ยว เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ และก็เดาไว้ว่าเด็กหญิงประหลาดผู้นั้นอาจจะร่ายเวทคาถาอะไรไว้บนร่างของตัวเอง
ไม่มีอารมณ์พักผ่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอดรุดหน้าไปอีกครั้ง ต้องการหนีห่างที่แห่งนี้ให้ไกลที่สุด เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เขามองเห็นไกลๆ ว่ามีนักพรตสามคนกำลังเข่นฆ่ากันเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเข้ามาใกล้ก็ต้องชะงักฝีเท้าทันที
ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่ารอบกายคนทั้งสามว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างของคนอื่น แต่ตอนนี้กลับมองเห็นว่าข้างกายของคนทั้งสามมีเด็กหญิงชุดขาวยืนอย่างแปลกประหลาดอยู่ตรงนั้น ยิ้มน้อยๆ ส่งให้ตัวเอง เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนี้เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท้ายที่สุดกลายเป็นปากที่อ้ากว้าง พริบตานั้นก็กระโจนเข้ามาหาตัวเอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวระเบิด ตบะตลอดร่างแผ่กระจาย มือขวากำหมัดแน่น วิชาอมตะมิวางวายระเบิดออก เหวี่ยงหมัดตูมออกไป พื้นดินสั่นสะเทือน เด็กหญิงหายไป นักพรตสามคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเวลานี้ล้วนมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความพรั่นพรึง พวกเขาเห็นกับตาตัวเองว่าพอป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัวก็ต่อยตูมลงไปบนหินก้อนหนึ่งราวกับเป็นบ้า
มองเห็นว่าก้อนหินนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งสามคนล้วนสำลักลมหายใจ หลบฉากออกไปทันที
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเหนื่อยล้าโรยแรง สองวันมานี้ เขาเห็นเด็กหญิงชุดขาวคนนั้นบ่อยครั้งเกินไป แม้แต่ตอนที่ตัวเองนั่งสมาธิก็ยังมองเห็นเงาร่างของอีกฝ่าย
อีกทั้งสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกเริ่มยังเว้นห่างทุกหนึ่งชั่วยาม แต่ตอนนี้แทบจะกำเริบทุกสามร้อยลมหายใจจนเขาไม่สามารถสร้างฐานรากได้เลย
อีกทั้งสองวันมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เจอลูกศิษย์บางส่วนของสี่สำนัก หรือแม้แต่ลูกศิษย์สำนักธาราเทพเองก็ยังเจอเช่นกัน ทว่าไม่มีใครมองเห็นเด็กหญิงชุดขาวสักคน ในสายตาของพวกเขาเห็นแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้น
และยามสายัณห์ของวันที่สองนี้เอง ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าท่ามกลางสภาพอ่อนล้าของร่างกายตนเองเช่นนี้ คล้ายว่าพลังชีวิตยากจะคงที่ ทั้งยังปรากฏลางที่จะล่องลอยออกไป ถึงขั้นรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะอยู่หน่อยๆ
“การกำเริบครั้งต่อไปใกล้จะถึงแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน ไม่รุดหน้าออกไป นั่งลงบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งทั้งอย่างนั้น กำหมัดแน่น บนร่างของเขายังมียาประหลาดเหลืออีกหนึ่งเม็ด แต่เขาไม่กล้าโยนออกไป เขามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าที่ตัวเองยังไม่ตาย เพราะว่ายังมียาเม็ดนี้อยู่ในมือ
หากโยนออกไปแล้วเด็กหญิงได้ไปครอง ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้มากว่าตัวเอง…จะต้องมีจุดจบไม่ต่างไปจากเหลยซาน เรื่องในครั้งนี้ก็เหมือนเป็นการตีระฆังระวังภัยให้กับเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ว่ายา…ไม่ควรหลอมออกมาตามอำเภอใจ
“เรื่องที่คล้ายจริงแต่ไม่จริง คล้ายลวงตาแต่ไม่ลวงตา สามารถมองเป็นพิษอย่างหนึ่งก็ได้ ขอแค่หาวิธีแก้พิษได้ก็จะหายกลับมาเป็นปกติ!”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนิ่งคิด ทันใดนั้นก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งห้อทะยานมาจากไกลๆ เดิมทีแค่ผ่านทางมาเท่านั้น แต่เมื่อเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน
“เอ๋?” นี่คือชายหนุ่มจากสำนักธาราโลหิตผู้หนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอวดดี เวลานี้เมื่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาก็ทอประกายร้อนแรง ในมือของเขาถือเข็มทิศอันหนึ่งเอาไว้ เห็นว่าเข็มของเข็มทิศอันนี้ชี้ไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ประกายแสงในดวงตาก็ยิ่งลุกโชน
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะรวบรวมปราณชีพจรดินได้มากพอจนกลายมาเป็นตัวล่อปราณชีพจรดินได้แล้ว…นี่มันไวเกินไปหน่อยแล้ว!!”
“ฮ่าๆ นี่คือชะตาฟ้าลิขิต คราวนี้ข้าสวีเสี่ยวซานจะได้มีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วสี่สำนัก สร้างฐานรากได้คนแรก!” ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือสวีเสี่ยวซานแห่งสำนักธาราโลหิต เวลานี้เขาตื่นเต้นอย่างมากจึงปรายตามองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกที
“อย่ามากวนใจข้า ไปเล่นที่อื่นไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหงุดหงิดใจ เขากำลังคำนวณเวลา ยังเหลืออีกสิบกว่าลมหายใจ เวลาที่อาการกำเริบจึงจะมาถึงอีกครั้ง
“ข้ารู้จักเจ้า เจ้าชื่อป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าถูกขนานนามว่าลูกศิษย์ที่เป็นดั่งไม้ตายพิชิตศัตรูของสำนักธาราเทพ เสียดายที่ตอนนี้สภาพเจ้าอ่อนแอมากถึงเพียงนี้ ไฟแห่งชีวิตของเจ้ามืดสลัวจนถึงขั้นสามารถดับลงได้ตลอดเวลา โอกาสของข้าสวีเสี่ยวซานมาแล้ว!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน บนร่างของเจ้ามีผลึกชีพจรดิน เรามาลองหารือกันดู เจ้าเอาให้ข้ายืมเล่นหน่อยดีไหมล่ะ” นัยน์ตาของสวีเสี่ยวซานฉายแววละโมบ เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง จากนั้นจึงสะบัดร่างออกไป ขณะที่ทำมุทรารอบกายเขาก็มีอาวุธเจ็ดแปดชิ้นปรากฏออกมา ทุกชิ้นล้วนเปล่งแสงสว่างไสว เผยลักษณะพลังที่ไม่ธรรมดา เมื่อเขาโบกมือ พวกมันก็ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้น มองสวีเสี่ยวซานด้วยดวงตาเย็นชา กำลังจะลงมือ แต่เวลานี้เอง ด้านหน้าของเขาพลันบิดเบือน ร่างของเด็กหญิงชุดขาวสำแดงตัวขึ้นมาอีกครั้ง ยืนอยู่ข้างกายสวีเสี่ยวซานและยิ้มพิลึกมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุน รอยยิ้มนี้ฉีกกว้างขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายกลายมาเป็นปากกว้างขนาดใหญ่ ดูท่าแล้วกำลังจะกระโจนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ทว่าเวลานี้เอง สวีเสี่ยวซานพลันกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมาและถอยกรูดอย่างรวดเร็ว มองมายังพื้นที่ว่างเปล่าข้างกายตัวเอง ดวงตาฉายแววหวาดกลัวและตะลึงพรึงเพริด ร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“วิญญาณร้ายมีสติปัญญา สวรรค์ เหตุใดที่นี่ถึงมีวิญญาณร้ายที่มีสติปัญญาอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าดับสิ้นไปหมดแล้วหรือ สมควรตายเอ๊ย นี่เจ้าถูกวิญญาณร้ายเช่นนี้จับจ้อง มิน่าเจ้าถึงได้อ่อนแอขนาดนี้ นี่มันถูกสาปแช่งชัดๆ เจ้าตายแน่!” สวีเสี่ยวซานสำลักลมหายใจ ถอยหลังกรูดว่องไว ขณะที่ถอยหลังเขาก็ยกมือขวาหยิบเอาหยกโบราณชิ้นหนึ่งออกมา
บนหยกโบราณชิ้นนี้มีจุดสีส้มคล้ายได้หลอมรวมเลือดสดเอาไว้ ชั่วขณะที่หยิบออกมานั้นก็เห็นได้ชัดว่าสวีเสี่ยวซานผ่อนลมหายใจ ถอยร่นเร็วจี๋
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านล่าง เวลานี้เบิกตากว้างทันที หายใจถี่กระชั้น
“เจ้ามองเห็นนาง?! ในมือของเจ้าคือของวิเศษอะไร!” ในโลกของเขา เขามองเห็นว่าเมื่อเด็กหญิงชุดขาวสัมผัสได้ว่าสวีเสี่ยวซานมองเห็นตัวเองก็มองสวีเสี่ยวซานหนึ่งที ทว่าเมื่อสวีเสี่ยวซานหยิบเอาหยกโบราณออกมา เด็กหญิงชุดขาวพลันหน้าเปลี่ยนสี ถอยหนีไปทันที
สวีเสี่ยวซานไม่คิดจะตอบคำถาม หมุนตัวได้ก็โกยอ้าวไปจากที่นี่ด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะหนีไปได้ไกล ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลาพรวดออกไป ปีกด้านหลังโบกกระพือ ตลอดทั้งร่างระเบิดตูม ตรงดิ่งมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าสวีเสี่ยวซานโดยตรง มือขวายกขึ้นต่อยโครมลงไป
“สวีเสี่ยวซาน พวกเรามาหารือกัน หยกโบราณชิ้นนี้ เอามาให้ข้ายืมเล่น”
“ข้าไม่แย่งของเจ้ามาก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้ว เจ้ายังมีหน้ามาแย่งของข้า เจ้าถูกสาปแช่งขนาดนี้ก็เท่ากับอยู่ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว ยังจะกล้าลงมือกับข้าอีกรึ!” สวีเสี่ยวซานหน้าเผือดสี เมื่อทำมุทรา อาวุธวิเศษเจ็ดแปดชิ้นรอบกายก็ตอบโต้กลับไปทันกัน
แสงสีเงินตลอดร่างป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย เหวี่ยงหมัดกระแทกออกไป เสียงตูมดังหนึ่งครั้งก็กระแทกเข้ากับอาวุธเจ็ดแปดชิ้นของสวีเสี่ยวซาน
เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดิน อาวุธวิเศษเจ็ดแปดชิ้นนั้นสั่นสะเทือนทั้งหมด พอมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นก็ค่อยๆ แตกสลายไปทีละชิ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายร่างเป็นลมบ้าคลั่งเข้ามาใกล้ในพริบตาเดียว สวีเสี่ยวซานหวาดหวั่นพรั่นพรึง สะบัดมือด้วยสีหน้าดุร้าย ไข่มุกที่อยู่บนข้อมือลอยออกมา กลายร่างเป็นซากศพสิบแปดตนสำแดงกายพรวดอยู่เบื้องหน้า แต่ละตนมีตบะเทียบเคียงขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณสิบ แผ่กลิ่นอายแห่งความตาย พวกมันกระจายตัวไปรอบด้าน ลงมือพร้อมเพรียงกัน
วิชาควบคุมซากศพแบบนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เขาพบว่าบนร่างของซากศพเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยเส้นขนสีเทา โคนขนเป็นสีดำ คล้ายว่าเปลี่ยนสีมาจากสีดำ
แต่ละตนไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
เสียงตูมดังสนั่น หม้อเหล็กใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนพังทลาย ทว่าร่างกายของเขากลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน กลับโบกสะบัดมือทั้งสองข้าง พลังควบคุมอันน่าตื่นตะลึงระเบิดออกปกคลุมไปทั่วสี่ทิศ ตรงเข้าควบคุมซากศพเหล่านั้น ทำให้ร่างกายของพวกมันสั่นเทา ไม่อาจขยับเคลื่อนไหวต่อได้อีก ทำได้เพียงส่งเสียงร้องคึ่กๆ
สวีเสี่ยวซานร้องเสียงหลง ทว่ามือทั้งสองกลับไม่หยุดเคลื่อนไหว มือขวาโบกสะบัด โลงสีทองสัมฤทธิ์เก้าโลงลอยออกมาและขยายขนาดใหญ่โดยพลัน พุ่งตรงเข้ากดทับป๋ายเสี่ยวฉุน มือขวาตวัดโบก เมื่อน้ำเต้าลูกหนึ่งปรากฏออกมาก็พ่นกรวดทรายสามพันเม็ดเข้าโอบล้อมสี่ทิศ ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
และเมื่อเขาสะบัดผม กระดิ่งหลายชิ้นที่แขวนห้อยอยู่บนเส้นผมของเขาก็หลุดออกไป กลายมาเป็นภาพลวงตา ตรงเข้าเข่นฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน
ที่ยิ่งน่าตื่นตกใจก็คือพอเขาอ้าปากกว้าง พ่นพัดสีเลือดเล่มหนึ่งออกมาจากปาก ขณะที่พัดเล่มนี้แกว่งไกว ในรัศมีร้อยจั้งก็มีหมอกสีเลือดฟุ้งตลบก่อร่างเป็นค่ายกล เสียงคำรามที่ดังลอยออกมาจากในหมอกสีเลือดกลายร่างเป็นกรงเล็บจำนวนนับไม่ถ้วน ซัดตลบอยู่ในหมอกเลือดตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนจากสี่ด้านแปดทิศ
“ที่ข้าสวีเสี่ยวซานมีก็คืออาวุธวิเศษและการฝึกหลอมซากศพ ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าจะสู้กับข้ารึ?!” สวีเสี่ยวซานหัวเราะเสียงดังด้วยความลำพองใจ ตบป้าบลงไปบนถุงเก็บของก็มีของวิเศษอีกยี่สิบกว่าชิ้นลอยออกมา ทุกชิ้นล้วนเป็นของระดับยอดเยี่ยม ทั้งยังมีขวดยาอีกหนึ่งขวดที่ถูกเขากลืนลงไปหมดในคำเดียว พลังวิญญาณที่สูญเสียไปก็ได้รับการชดเชยทันที หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยต้องใจหายใจคว่ำเพราะศึกครั้งนี้อย่างแน่นอน
ทว่าตอนนี้เอง ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถูกอาวุธวิเศษจำนวนมากล้อมโจมตี นอกร่างก็ปรากฏกระสาเซียนหนึ่งตัวกลายร่างมาเป็นโล่หมุนวนไปทั่วด้าน บนร่างก็ยิ่งมีแสงสีดำเปล่งวาบ ปกคลุมไปทั่วตัว
ขณะเดียวกันนั้นเขาพลันตบลงไปบนถุงเก็บของหนึ่งที ในมือมียันต์หลายร้อยแผ่นโผล่พรวดขึ้นมา แปะป้าบลงไปบนร่าง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ม่านแสงคุ้มกันแต่ละชั้นระเบิดออกอย่างพร้อมเพรียงกัน พริบตาเดียวม่านแสงหลายร้อยชั้น ความหนาพอห้าสิบกว่าจั้งก็แผ่พลังน่าครั่นคร้าม
“ที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนมีก็คือยันต์คุ้มกันกาย ลำพังแค่อาวุธวิเศษกระจอกพวกนั้น กล้ามาสู้กับข้ารึ?” ขณะที่เสียงหยิ่งทระนงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา ซากศพรอบด้านก็ถูกผลักออก กรวดทรายสามพันเม็ดมิอาจเข้ามาด้านในได้มากนัก ติดชะงักอยู่ด้านนอก และยังมีอีกไม่น้อยที่ถูกดีดกระเด็นไปไกล โลงศพทองสัมฤทธิ์เก้าโลงนั้นเมื่อกดลงมาก็มิอาจสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ ถูกขัดขวางให้อยู่ด้านนอก
ต่อให้เป็นสวีเสี่ยวซานเองก็ยังตาเหลือกตาพอง มองภาพนี้ด้วยความอึ้งงัน เซ่อไปทันที ทุกครั้งที่เขาต่อสู้กับผู้อื่นล้วนอาศัยอาวุธที่มากมายและซากศพที่ผ่านการฝึกหลอมมาแล้ว ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคนที่สูสีกับตัวเองอย่างป๋ายเสี่ยวฉุน
แม้จะไม่ใช่อาวุธวิเศษ แต่มูลค่าของยันต์หลายร้อยชิ้นนั้นก็มากพอที่จะทำให้สวีเสี่ยวซานขนพองสยองเกล้า
“ในข้อมูลบอกไว้ว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ลึกลับแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ไม่เห็นบอกเลยว่าเขามีเงินมากขนาดนี้!!” สวีเสี่ยวซานยิ้มเฝื่อน เขารู้ชัดถึงความน่ากลัวของตัวเองเป็นอย่างดี ซึ่งนั่นหมายความว่าย่อมเข้าใจระดับความน่ากลัวของคนที่เหมือนตัวเองด้วย โดยเฉพาะเมื่อเห็นยันต์มากมายเหล่านั้น เขาก็อิจฉาตาร้อนเป็นอย่างมาก เพราะยังไงซะอาวุธวิเศษยังจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณช่วยส่งเสริม แต่ยันต์ใช้พลังวิญญาณน้อยมาก ส่วนใหญ่ที่เผาผลาญไปล้วนเป็นพลังของตัวยันต์เอง
มูลค่าไม่ธรรมดา ทั้งยังมีข้อจำกัดด้านเวลาการใช้ ดังนั้นต่อให้เป็นสวีเสี่ยวซานเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองอย่างยิ่ง
เวลานี้เขากะพริบตาปริบๆ ยอมแพ้ป๋ายเสี่ยวฉุนจากใจจริง รู้สึกว่าเขาเหมือนตัวเองมากเกินไป ในใจยังถึงขั้นรู้สึกเสียดายคนแบบเดียวกัน หลังจากคิดๆ ดูแล้วจึงโยนหยกชิ้นนั้นไปให้ป๋ายเสี่ยวฉุน
“บัดซบเอ๊ย ข้าสวีเสี่ยวซานยังไม่เคยยอมแพ้ใครมาก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าถือว่าเป็นคนแรก ในเมื่อเจ้าต้องการสิ่งนี้ ยกให้นั้นไม่ได้ แต่ให้ยืมเล่นก็ไม่มีปัญหา!”
————