บทที่ 152 เจ้าไร้ยางอาย! เจ้านั่นแหละที่ไร้ยางอาย!
โยนแผ่นหยกให้แล้ว สวีเสี่ยวซานก็หมุนตัวจากไปทันที ในใจสาบานกับตัวเองว่าหากกลับสำนักไปแล้วจะต้องไปขอทรัพยากรจากบิดาของตนเองเสียหน่อย ต่อไปเมื่อออกจากสำนักใช้ยันต์ก่อนแล้วค่อยใช้อาวุธวิเศษ แบบนี้เวลาโอ้อวดตนถึงจะได้ดูน่าเกรงขาม
นิสัยของเขาเย่อหยิ่งถือดี ความรู้สึกที่มีต่อสำนักไม่ได้มากมายอะไรนัก รู้สึกว่าถูกชะตากับใครก็นับเป็นเพื่อน หากเขม่นใครก็เข้าไปต่อยตี ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุน เขารู้สึกถูกชะตาแบบฝืนใจ
แน่นอนว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนแพ้ เขาก็จะแย่งชิงเอาตัวล่อปราณชีพจรดินของป๋ายเสี่ยวฉุนมาอย่างไม่ลังเล ตอนนี้ในเมื่อสู้ไม่ได้ เขาจึงคิดว่าต้องเล่นงานอย่างลับๆ
ยังไม่ทันที่เขาจะจากไปได้ไกลนัก เบื้องหลังของเขาก็มีเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา
“ช้าก่อน ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เอาเปรียบใคร เจ้าให้ข้ายืมอาวุธชิ้นนี้ ข้าก็จะมอบของสองสิ่งให้กับเจ้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนถือหยกโบราณเอาไว้ พลันรู้สึกโปร่งสบายไปทั้งร่าง ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง สมองก็ปลอดโปร่งขึ้นมาเยอะมาก คล้ายว่าก่อนหน้านี้เขาอยู่ก้นแม่น้ำจึงหายใจไม่คล่อง ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว
แต่เขาก็รู้สึกว่าเจ้าสวีเสี่ยวซานผู้นี้มอบหยกโบราณให้ตนง่ายดายเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญ รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นกับดัก ดังนั้นจึงตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง เอากระบี่บินที่หลอมพลังจิตมาแล้วสองครั้งออกมาสองเล่ม แอบถูยาประหลาดเม็ดสุดท้ายลงไปเบาๆ หลังจากที่กระบี่มีกลิ่นของยาประหลาดติดไปด้วยแล้วจึงโยนออกไป
“ของไร้ค่าไร้ราคา เอาไปเล่นเถอะ”
กระบี่บินสองเล่มที่หลอมพลังจิตมาแล้วสองครั้งลอยดิ่งเข้าหาสวีเสี่ยวซาน หลังจากรับมาสวีเสี่ยวซานก็กวาดตามองหนึ่งครั้ง พลันดวงตาทั้งคู่ก็เบิกกว้าง อึ้งตะลึงไม่น้อย
“หลอมพลังจิตสองครั้ง? ให้ข้าง่ายๆ แบบนี้เลย? ให้ข้าเอาไปเล่น…แถมยังให้ตั้งสองเล่ม!” สวีเสี่ยวซานกลืนน้ำลายลงคอ สำหรับเขาแล้วการหลอมพลังจิตสองครั้ง แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นประมาณค่าไม่ได้ ทว่าในมือของนักพรตรวมลมปราณก็มีให้เห็นไม่มากนัก จุดสำคัญที่สุดคือท่าทางยกให้แบบส่งๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่คล้ายว่าโยนสิ่งของธรรมดาทั่วไปให้ตนเอง นี่ทำให้สวีเสี่ยวซานมีคำตัดสินใหม่สำหรับความร่ำรวยของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที
และตนก็ยิ่งได้เรียนรู้สิ่งใหม่อีกอย่างหนึ่งว่า การโยนอาวุธวิเศษหลอมพลังจิตด้วยท่าทีไม่ใส่ใจเช่นนี้ต่างหากถึงจะเป็นวิธีโอ้อวดตนได้ดีที่สุด คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ มองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างละเอียดหนึ่งครั้ง ครั้งนี้เขารู้สึกถูกชะตาป๋ายเสี่ยวฉุนจากใจจริง ดังนั้นจึงถอนหายใจยาวหนึ่งที
“ช่างเถอะๆ ป๋ายเสี่ยวฉุน ในเมื่อเจ้าปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ ข้าสวีเสี่ยวซานเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะหลอกเจ้าแล้ว หยกชิ้นนี้แม้ว่าใช้เพียงลำพังจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ทว่าก็แค่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็หมดผล ทั้งยังมีผลข้างเคียงด้วย” สวีเสี่ยวซานถอนหายใจ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง แล้วจึงโยนหยกอีกชิ้นมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุน
“ใช้ร่วมกันสองชิ้นถึงจะสามารถขับไล่คำสาปแช่งของวิญญาณร้ายได้ตลอดไป”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบรับหยกชิ้นที่สองมา พอได้ยินคำพูดของสวีเสี่ยวซานเขาก็หรี่ตา ในใจรู้สึกว่าเจ้าสวีเสี่ยวซานผู้นี้ช่างร้ายกายยิ่งนัก เห็นว่าอีกฝ่ายหมุนตัวกำลังจะจากไป ในใจเขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายถือว่ายังพอเป็นคนดีอยู่บ้าง ดังนั้นจึงกัดฟันกรอด ตะโกนเรียกสวีเสี่ยวซาน
“ช้าก่อน สวีเสี่ยวซาน ช่างเถอะๆ ในเมื่อเจ้าปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกไม่ดีที่จะหลอกเจ้าแล้ว เจ้าเอากระบี่บินสองเล่มนั้นคืนมาให้ข้า ข้าจะเปลี่ยนอันใหม่ให้”
สวีเสี่ยวซานชะงักฝีเท้า ตาเบิกโพลงขึ้นทันที รีบหยิบกระบี่บินสองเล่มนั้นออกมา หลังจากมองดูอย่างละเอียดก็มองไม่ออกว่ามีตรงไหนผิดปกติ ทว่าไม่กล้าจะเก็บไว้ต่อ รีบโยนคืนไปให้ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง รับกระบี่บินมา เปลี่ยนสองเล่มใหม่มอบให้สวีเสี่ยวซาน
สวีเสี่ยวซานมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าเหยเก แม้เขาจะไม่รู้ว่ากระบี่บินสองเล่มนั้นมีปัญหาอะไร แต่ก็พอจะนึกภาพออกได้ว่า หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่บอกตน จุดจบของตนต้องอนาถมากอย่างแน่นอน…
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา ประสานสายตามองสวีเสี่ยวซาน
ผ่านไปครู่หนึ่ง สวีเสี่ยวซานก็ถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งครั้ง ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของเขาทอประกายคมกล้า แรกเริ่มเดิมทีเขาแสร้งทำเป็นถูกชะตาป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนหลังรู้สึกถูกชะตาจริงๆ และตอนนี้ก็…รู้สึกถูกชะตาอย่างมาก
“ได้เจอคนที่นิสัยเหมือนกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ป๋ายเสี่ยวฉุน ช่างเถอะๆ ความจริงแล้วหยกสองชิ้นนั้นยังจำเป็นต้องใช้สัจจคาถาอีกท่อนหนึ่งถึงจะใช้ได้ผลอย่างแท้จริง มิฉะนั้นมันจะกลายมาเป็นลำแสง แม้ว่าสามารถหลีกเลี่ยงวิญญาณร้ายได้ แต่กลับคงอยู่ยาวนานไม่สลายไป ปิดผนึกตบะของตัวเองอย่างน้อยหนึ่งเดือนขึ้นไป หนึ่งเดือนนี้ เจ้าจะทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” สวีเสี่ยวซานยิ้มเจื่อน หยิบเอาแผ่นหยกหนึ่งแผ่นโยนให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
“เจ้าร้ายกาจเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นี่หากว่าเขาใช้หยกชิ้นนั้นก่อนสร้างฐานราก ตัวเองถูกผนึกตบะ สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เกรงว่าหนึ่งเดือนต่อมาต่อให้ผนึกคลายลงก็ต้องเสียโอกาสในการสร้างฐานรากไปอยู่ดี
“เจ้าก็เหมือนกันนั่นแหละ! แต่ว่าข้าเป็นคนของสำนักธาราโลหิต เจ้าเป็นคนของสำนักธาราเทพ เดิมทีพวกเราก็เป็นศัตรูกันอยู่แล้ว” สวีเสี่ยวซานไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง คราวนี้เขาไม่มีอะไรปิดบังไว้อีกแล้วจริงๆ สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก และการได้เจอคนเช่นป๋ายเสี่ยวฉุน ก็เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาเช่นกัน
“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าจริงใจกับข้าถึงเพียงนี้ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่อยากหลอกเจ้าต่อไป เมื่อครู่อาวุธวิเศษทั้งหมดที่เจ้าใช้รับมือข้า จำเอาไว้ว่าอย่าเอามาใช้ที่นี่อีก บนอาวุธเหล่านั้นข้าล้วนโปรยยาลงไปบางส่วน ซึ่งสามารถล่อวิญญาณร้ายออกมาได้ ทางที่ดีก็ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน ก้มหน้าพูดเตือนหนึ่งประโยค
“เจ้า เจ้า!! ไร้ยางอาย!” สวีเสี่ยวซานเบิกตากว้าง รีบตรวจตราถุงเก็บของและอาภรณ์ของตัวเองทันที ครู่ใหญ่เขาก็มองไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน เอ่ยปากเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เจ้าก็เหมือนกันนั่นแหละ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าถลึงตาโต้กลับ
ทั้งสองคนประสานสายตากัน ไม่นานต่างฝ่ายก็ต่างหัวเราะกันขึ้นมา สวีเสี่ยวซานยิ้มพราย มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความจริงจัง
“หวังว่าวันหน้าจะยังได้เจอกันอีก” พูดจบเขาก็หมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว
ห่างออกไปไกล สวีเสี่ยวซานบินทะยานพลางเปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วย ในใจยังหวาดผวาไม่หาย เขารู้สึกว่าความร้ายกาจของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ด้อยไปกว่าตัวเอง คนแบบนี้ ต่อไปเวลาเจอกันต้องระวังให้มาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ทอดถอนใจเช่นนี้ รู้สึกว่าถึงแม้สวีเสี่ยวซานจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิต แต่กลับเป็นคนหนึ่งที่คบเป็นเพื่อนได้
“แต่ว่าคนผู้นี้เจ้าเล่ห์เกินไป ไม่ซื่อสัตย์จริงใจเหมือนข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อไปเจอหน้าเขาต้องระวังตัวให้ดี เฮ้อ ข้าเนี่ยเป็นคนซื่อสัตย์เกินไปจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็หมุนตัวบึ่งทะยานจากไป
หลังจากตรวจดูหยกสองชิ้นนั้นอย่างละเอียดแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงท่องสัจจคาถากระตุ้นพลังของหยกโบราณ รอบด้านเขาพลันเกิดม่านแสงพร่าเลือน
ม่านแสงนี้เปล่งแสงวาบหนึ่งครั้งก็ค่อยๆ จางหายไป ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จิตสัมผัสก็ยากที่จะสัมผัสถึง ทว่าในสายตาของวิญญาณร้าย ม่านคุ้มกันชั้นนี้ที่อยู่รอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นดั่งสถานที่ต้องห้ามของพวกมัน
สามชั่วยามต่อมา เด็กหญิงชุดขาวปรากฏตัวขึ้นอีกหลายครั้ง ทว่าทุกครั้งเมื่อเข้าใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะถูกดีดกระเด็นออกไปทันที สีหน้าค่อยๆ บิดเบี้ยว เปล่งเสียงร้องแหลมกำสรด ทว่ากลับยังคงทำอะไรป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เช่นเดิม
นั่นถึงได้ทำให้นางหายตัวจากไปในความว่างเปล่าอย่างไม่เต็มใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนคลายใจได้ในที่สุด รู้ว่าหยกโบราณนั้นใช้ได้ผลก็รีบหาสถานที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เมื่อเจอทะเลสาบแห่งหนึ่งจึงดำดิ่งลงไป ขุดถ้ำขึ้นมาที่ก้นทะเลสาบ แล้วนั่งลงทำสมาธิ
เมื่อแน่ใจอีกครั้งแล้วว่าพลังของหยกสามารถขับไล่วิญญาณร้ายได้จริง ดวงตาของคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็วาววับ หยิบเอาตัวล่อปราณชีพจรดินออกมา
“สร้างฐานรากชีพจรดิน…แม้ว่าจะช้าไปหลายวัน ทว่าข้าก็ยังคงเป็นคนแรกอยู่ดี!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววคาดหวัง กำผลึกสีเทาที่รวมตัวกันออกมาเป็นตัวล่อปราณชีพจรดิน พลังวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณสิบระเบิดตูม หลังจากไหลวนทั่วร่างครบหนึ่งวงจรก็ห้อทะยานดั่งม้าป่าตรงเข้าหาผลึกสีเทาในกำมือ
ผลึกหินนี้เป็นเหมือนถ้ำที่ไม่มีก้น เมื่อพลังวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนไหลรวมเข้าไปก็ถูกดูดซับทันที นั่นทำให้ผลึกหินนี้ทอประกายแสงสีเทา และยิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท้ายที่สุดก็มีเสียงกัมปนาทดังออกมา
ท่ามกลางเสียงนี้ ผลึกหินดั่งถูกเผาไหม้ กลายมาเป็นเส้นใยสีเทา เจาะทะลวงเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของป๋ายเสี่ยวฉุน และเวลาสามสิบกว่าชั่วลมหายใจ หลังจากผลึกหินสั่นไหวแล้วหายวับไป ปราณสีเทาจำนวนมากระเบิดออก มุดลอดเข้าไปในร่างกายป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งหมด
นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนแดงเรื่อ ปราณสีเทาเข้าไปในร่างกาย หลอมรวมเข้ากับชีพจร เวียนว่ายไปทั่วร่าง ความรู้สึกราวถูกฉีกกระชากร่างแผ่ออกเป็นวงกว้าง ความเจ็บปวดมหาศาลนั้นคล้ายปราณสีเทากลายร่างมาเป็นโซ่เหล็กของจริง เสียดสีไปทั่วเลือดเนื้อในร่างกาย
ความเจ็บปวดทรมานนี้ทำให้เขาตัวสั่นระริก ทว่าเมื่อเทียบกับการฝึกวิชาอมตะมิวางวายแล้ว เห็นได้ชัดว่าอ่อนเบากว่าเยอะมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ร้องสักแอะ กัดฟันยืนหยัดต่อไป หลังจากที่ปราณสีเทาเส้นสุดท้ายมุดลอดเข้าไปในร่างกายแล้ว ในที่สุดปราณสีเทาในร่างกายเขาก็ร้อยเรียงเข้าด้วยกันกลายมาเป็นวงกลมวงหนึ่ง
วินาทีที่วงกลมนี้ก่อเป็นรูปร่างขึ้นมา ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดเสียงดังอึงอล เขย่าจิตคลอนวิญญาณ
ตบะตลอดร่างของเขากลายเป็นธารวิญญาณปะทุเดือดพล่าน ระเบิดออกและไหลเวียนไปทั่วทุกตำแหน่งในร่างกาย เหมือนไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทว่าในความเป็นจริงเมื่อมองอย่างละเอียด สามารถมองเห็นว่าพลังวิญญาณเหล่านี้กำลังจะกลายมาเป็นน้ำวน
น้ำวนนี้ก็คือปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง!
พลังวิญญาณกลายเป็นน้ำวน ก่อตัวกันเป็นน้ำขึ้นน้ำลง เปลี่ยนปราณให้เป็นของเหลว สร้างฐานรากนักพรตด้วยชีพจรดิน ตัดขาดความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา!
“น้ำขึ้นน้ำลง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นพรวด เส้นเอ็นตลอดร่างปูดโปน ตะโกนเสียงแหบแห้งพร้อมร่างที่สั่นระริก
ตูมๆๆ!
ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ น้ำวนในร่างของเขาเพิ่มขึ้นพรวดพราด และการเพิ่มขึ้นของมันก็คล้ายก่อเกิดเป็นหลุมดำ ดูดเอาปราณชีพจรดินทั้งหมดในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนออกมาในพริบตาเดียว แต่นั่นก็ยังไม่ถึงหนึ่งในพันด้วยซ้ำ
แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าขอแค่น้ำวนนี้ก่อร่างขึ้นมาได้สำเร็จ ก็จะมีคุณสมบัติดูดซับปราณชีพจรดินมหาศาลที่สะสมมาตลอดหกสิบปีในโลกกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้
พริบตานั้น พลังดึงดูดที่ว่านี้ทะลุผ่านร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ปกคลุมไปทั่วทั้งถ้ำ ทำให้บนผนังหินในถ้ำเกิดปราณชีพจรดินเป็นเส้นๆ ตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
พลังดึงดูดนี้ยังแผ่วงกว้างออกไปอีก ไม่นานตลอดทั้งทะเลสาบก็เดือดพล่าน ปราณชีพจรดินจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาเกาะตัวกัน อีกทั้งพลังดึงดูดนี้ยังขยายขนาดออกไปอย่างต่อเนื่อง ท้องฟ้าทั่วทั้งโลกกระบี่อุกกาบาตพลันโหมซัดสาดเป็นลูกคลื่น แปรเปลี่ยนออกมาเป็นปราณชีพจรดินจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งทะยานมายังสถานที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ ลมและเมฆพัดกระพือฮือโหม!
เวลานี้ลูกศิษย์สี่สำนักทุกคนที่อยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาตล้วนเงยหน้าขึ้นมา แต่ละคนสีหน้าตะลึงลาน มีทั้งตกใจ มีทั้งกริ่งเกรง มีทั้งซับซ้อน มีทั้งเหลือเชื่อ
“น้ำขึ้นน้ำลง สวรรค์ นี่ก็คือขึ้นน้ำลงของสร้างฐานรากชีพจรดิน!!”
“ใครกัน นี่เพิ่งจะหนึ่งเดือนกว่าเท่านั้น ไฉนถึงได้รวบรวมปราณชีพจรดิน เริ่มสร้างฐานรากชีพจรดินได้แล้ว!”
“คือซ่งเชวีย? กุ่ยหยา? จิ๋วต่าว? หรือว่าฟางหลิน!!”
——