Skip to content

A Will Eternal 155

บทที่ 155 ฝ่าทะลุพันธนาการขั้นที่หนึ่ง!

เบื้องล่างพายุหมุนลูกที่สี่คือพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง เวลานี้บนพื้นที่ราบมีค่ายกลขนาดใหญ่ทอประกายแสงแวววาวคอยปกป้องอยู่รอบด้าน ในค่ายกลแห่งนี้ก็มีลูกศิษย์รวมลมปราณผู้หนึ่งนั่งอยู่

คนผู้นี้สวมชุดคลุมยาวของสำนักธาราทมิฬ คือชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปโฉมหล่อเหลาเย็นชา ขณะที่นั่งทำสมาธิ อักขระมากมายก็ว่ายวนไปทั่วร่างของเขา อักขระทุกตัวล้วนแฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้าง เวลานี้ได้ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน กลายมาเป็นสายโซ่หนึ่งเส้นหมุนโอบล้อมด้วยความรวดเร็ว

อีกทั้งความว่างเปล่ารอบกายของชายหนุ่มคนนี้ยังบิดเบือน มีพลังดับสูญกระจายออกมาเป็นระลอก นั่นคือ…การแสดงออกของวิชาวายชีวาตม์!

ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของสำนักธาราทมิฬ เป็นคนแรกของสำนักธาราทมิฬที่ฝึกวิชาวายชีวาตม์สำเร็จในรอบสามพันปี จิ๋วต่าว พลานุภาพของพลังวายชีวาตม์นี้สามารถดับทุกชีวิตให้สูญสิ้น ทุกที่ที่ผ่าน ทุกอย่างสลายสูญ และยิ่งสามารถรวมออกมาเป็นลายวางวาย ในข้อมูลถึงขั้นมีบันทึกไว้ว่า เขาเคยต่อสู้กับสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าฝีมือจะไล่เลี่ยกัน

“กุ่ยหยา ศึกครั้งก่อนนี้ไม่รู้แพ้ชนะ รอข้าสร้างฐานรากเสร็จเมื่อไหร่จะสู้กับเจ้าอีกรอบ และข้าจะต้องสังหารศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของสำนักธาราเทพอย่างเจ้าให้สิ้นซาก!” จิตสังหารในดวงตาจิ๋วต่าวลุกโหม สูดลมหายใจเข้าลึก มือทั้งสองทำมุทราโบกสะบัดอย่างแรง น้ำวนในร่างกลายมาเป็นแรงดึงดูด ก่อตัวขึ้นมาเป็นพายุหมุนเชื่อมต่อเข้ากับนภากาศ ทำให้บนท้องฟ้าปรากฏเป็นน้ำวนใหญ่ยักษ์

เมื่อมันหมุนวนเสียงดังอื้ออึง ปราณชีพจรดินจำนวนมากพลันพุ่งทะลักเข้ามา

ยามนี้น้ำวนใหญ่ยักษ์ทั้งสี่ที่อยู่บนฟากฟ้าสี่ทิศต่างกันไป ต่างฝ่ายต่างโดดเด่นสะดุดตา แบ่งเฉลี่ยกันอยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาต

ลูกศิษย์ที่เหลือของอีกสี่สำนักในโลกกระบี่อุกกาบาต แต่ละคนยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม มองเห็นว่าตอนนี้มีคนสร้างฐานรากได้ถึงสี่คน มองเห็นว่าปราณชีพจรดินของโลกใบนี้กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง พวกเขารู้ว่าปราณชีพจรดินมีจำนวนจำกัด รู้ว่าหากตัวเองยังมัวชักช้าก็จะหมดหวังในการสร้างฐานราก เป็นเพียงแค่ใบไม้ที่ช่วยขับให้คนอื่นโดดเด่น

การเข่นฆ่ายิ่งเหี้ยมโหด เวลาเพียงชั่วครู่ ตลอดทั้งโลกกระบี่อุกกาบาต คนตายยิ่งมีมาก

ไม่นาน ขณะที่ทุกคนล้วนดวงตาแดงฉานบ้าคลั่งกันอยู่นั้น ทะเลสาบที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่คล้ายจะระเบิดออก พริบตาที่เสียงกัมปนาทสะเทือนปฐพีดังออกมา น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สามของเขาก็สิ้นสุดลง

บนนภากาศ มังกรยักษ์ตัวนั้นแผดเสียงคำราม ในทะเลสาบ บนมหาสมุทรวิญญาณขั้นที่สองในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันปรากฏมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สามที่ยิ่งกว้างใหญ่ไพศาลมากกว่าเดิม

“พลังมังกรเสร็จสิ้น ตอนนี้คือพลังคชสาร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาแดงก่ำ คำรามต่ำหนึ่งเสียง นอกร่างของเขาพลันเกิดภาพมายาของช้างยักษ์หนึ่งตัวซ้อนทับเข้ากับร่างกายของเขา แล้วกระทืบลงไปบนพื้นแรงๆ หนึ่งที

ตูม!

น้ำวนครั้งที่สี่ในร่างป๋ายเสี่ยวฉุนพลันบังเกิดขึ้นมา น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่าน้ำวนชั้นที่สามก่อนหน้านั้น บนฟากฟ้าเวลาเดียวกันนี้ หลังจากน้ำวนชั้นที่สามนิ่งสงบลง บนน้ำวนชั้นที่สามก็มีน้ำวนชั้นที่สี่ขนาดเขื่องปรากฏพรวดออกมา!

ในน้ำวนนี้ ภาพของช้างยักษ์ที่คล้ายกำลังคำรามชัดเจนเกินสิ่งใดเปรียบ หนุนนำให้น้ำวนหมุนติ้วรวดเร็ว

หนึ่งชั่วยามต่อมา ฟางหลินตามติดกระชั้นชิด น้ำวนของน้ำขึ้นน้ำลงชั้นที่สี่ของเขาก็ก่อตัวกันออกมาเช่นกัน ส่วนซ่งเชวียและจิ๋วต่าว เวลานี้น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สามใกล้จะสิ้นสุดลง หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่ก็อุบัติขึ้นมาเช่นกัน!

โดยเฉพาะซ่งเชวียที่ยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ ในน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่ ตรงกลางหว่างคิ้วของใบหน้าขนาดยักษ์นั้นปรากฏเป็นรูปพระจันทร์เลือดหนึ่งดวงขึ้นมา ความเร็วในการดูดดึงเหนือล้ำเกินกว่าคนอื่น เด่นชัดเป็นพิเศษ

“ซ่งเชวียผู้นี้ น้ำขึ้นน้ำลงของเขาเพิ่งจะรอบที่สี่ แต่กลับมีแรงดึงดูดที่น่าหวาดกลัวได้ขนาดนี้!”

“บัดซบ หรือว่าเขาจะเลียนแบบอู๋จี๋จื่อ ไปสู่จุดสุดยอดของปราณชีพจรดิน สร้างน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งจริงๆ!”

“แย่แล้ว หากเกิดผู้ที่สร้างน้ำขึ้นน้ำลงแปดครั้ง เช่นนั้นปราณชีพจรดินที่ถูกดึงดูดไปก็ยิ่งมากมหาศาล จะทำให้คนอื่นๆ สำเร็จได้ยาก จำเป็นต้องรีบรวบรวมตัวล่อปราณชีพจรดินแล้ว!”

ขณะที่ทุกคนกำลังร้อนรนกังวลใจอย่างถึงที่สุดอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นหลังจากผ่านไปสิบชั่วยามนับตั้งแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มสร้างฐานรากมาจนถึงตอนนี้ กลางท้องฟ้า…ปรากฏพายุหมุนลูกที่ห้าขึ้นมา!

ตูมๆๆ!

วินาทีที่พายุหมุนลูกที่ห้านี้พุ่งสูงขึ้นแตะเข้ากับท้องฟ้าก็ขยายวงกว้างกลายมาเป็นน้ำวน ใต้น้ำวนมีกลุ่มควันสีดำหนาทึบ ในกลุ่มควันนั้นก็คือกุ่ยหยา

น้ำวนทั้งห้าลูกหมุนวนอยู่บนนภากาศ ทำให้ทุกคนต้องเงยหน้าขึ้นมอง เวลาผันผ่าน ฐานะของกุ่ยหยา หลังจากที่น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่หนึ่งและรอบที่สองสิ้นสุดลงได้ไม่นาน เมื่อน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สามปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ด้านในนั้นพลันปรากฏเป็นภูตภูเขาขนาดใหญ่ยักษ์หนึ่งตน คนอื่นๆ จึงรู้ทันทีว่าเป็นใคร

“กุ่ยหยา! กุ่ยหยาแห่งสำนักธาราเทพ!”

“วิชายุทธ์ที่เขาฝึกคือภูตภูเขารังควานจิต!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ฟางหลิน ซ่งเชวีย จิ๋วต่าว กุ่ยหยา!”

จนถึงกระทั่งตอนนี้ นักพรตของสี่สำนัก ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ทั้งห้า ต่างอยู่ในฐานะเท่าเทียมกันและตั้งป้อมประจันหน้ากัน! พวกเขาล้วนถือได้ว่าเป็นผู้สร้างฐานรากกลุ่มแรก!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเร็วที่สุด น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่ได้ดำเนินไปเกือบครึ่งแล้ว ฟางหลินเป็นอันดับสอง น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่ของเขาช้ากว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งชั่วยาม ซ่งเชวียและจิ๋วต่าวรองลงมา ช้ากว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสองชั่วยาม

คนสุดท้ายคือกุ่ยหยา ช้ากว่าสิบชั่วยาม!

ป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้น้ำวนชั้นที่สี่ในร่างกายพัดหมุนไม่หยุด ดูดซับปราณชีพจรดินปริมาณมาก พลังของคชสารระเบิดเต็มกำลัง ผลักดันกล้ามเนื้อของเขาให้พุ่งโจมตีไปที่…พันธนาการขั้นแรกของห้าพันธการแห่งชีวิตอย่างต่อเนื่อง

การกระแทกโจมตีทุกครั้งล้วนทำให้ร่างของเขาสั่นเทิ้ม เดิมทีหากคนอื่นฝึกวิชาคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรจนถึงจุดสูงสุดก็จะสัมผัสได้กับพันธนาการ ทว่าเนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนมีวิชาอมตะมิวางวายอยู่กับตัว ทำให้ก่อนหน้านี้เขาได้สัมผัสกับพันธนาการไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ การโจมตีที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการ…ฝ่าทะลุขั้น!

ฝ่าไปยังพันธนาการขั้นที่หนึ่ง!

“ยืมใช้พลังคชสารส่วนใหญ่ ยืมใช้ปราณชีพจรดิน ฝ่าทะลุพันธนาการแห่งชีวิตขั้นที่หนึ่งในน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่นี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาแดงฉาน คำรามต่ำหนึ่งเสียง บุกโจมตีอีกครั้ง

เสียงฟ้าผ่าในสมองของเขาดังก้อง การพุ่งโจมตีที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในทุกครั้งทำให้ร่างกายของเขาคล้ายจะแตกสลาย ทว่ายังคงยืนหยัดต่อไป จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วยาม เวลาที่จำเป็นสำหรับน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่เหลืออีกเพียงแค่สี่ชั่วยามสุดท้ายเท่านั้น ด้วยพลังของน้ำขึ้นน้ำลงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนชักล่อเข้ามาในร่างกายทำให้การพุ่งโจมตียิ่งบ้าระห่ำมากขึ้น

ตูมๆๆ

เลือดสดไหลซึมออกมาจากมุมปากของเขา ร่างของเขาเกิดรอยปริแตก การพุ่งโจมตีพันธนาการขั้นที่หนึ่งของชีวิต ยากลำบากมากกว่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดเอาไว้เยอะมาก ต่อให้ตอนนี้เขาจะยืมใช้น้ำขึ้นน้ำลงที่แปลงออกมาจากปราณชีพจรดินมหาศาลก็ตาม ทว่าทดลองไปแล้วร้อยครั้งพันครั้งก็ยังมิอาจฝ่าทะลุไปได้

โอกาสที่จะยืมปราณชีพจรดินฝ่าทะลุพันธนาการขั้นที่หนึ่งเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากแสนยาก เพราะยังไงก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีใครสัมผัสพันธนาการได้เร็วเท่ากับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้

“ต้องฝ่าทะลุได้สิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด สูดลมแรงๆ หนึ่งที ปราณชีพจรดินถูกสูดเข้ามามากกว่าเดิม ไม่ได้โจมตีต่อ แต่เก็บสะสมรอให้พร้อม

การเตรียมพร้อมครั้งนี้สะสมไปอีกสี่ชั่วยามเต็ม วินาทีที่น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่ใกล้จะสิ้นสุดลงนั้นเอง ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายดุจสายฟ้าแลบ

“ทะลุซะ!” เขาแผดเสียงก้อง น้ำขึ้นน้ำวนอันน่าหวาดผวาที่สะสมมาตลอดสี่ชั่วยามเต็มระเบิดออกมาในร่างกายเขาทันที เสียงอุโฆษดังแปดทิศ พริบตาที่มันกระจายไปทั่วร่างนั้นก็ราวกับได้กลายมาเป็นไม้ขนาดมหึมาหนึ่งท่อน ส่วนร่างของเขากลายมาเป็นกำแพงขวางกั้น และไม้ท่อนใหญ่นี้ก็กำลังพุ่งเข้ากระแทกกำแพง

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…ชั่วระยะเวลาสั้นๆ การกระแทกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้กำแพงกั้นเกิดรอยแตกร้าว เมื่อพลังโจมตีทั้งหมดที่ซ่อนเร้นอยู่ในน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่ได้กระแทกลงมาเป็นครั้งสุดท้าย ในที่สุดกำแพงกางกั้นก็สั่นไหว เกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ คล้ายจะพังทลายลง

และเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง เขามีความรู้สึกรุนแรงอย่างหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่าบนร่างตัวเองราวกับมีภูเขาห้าลูกดำรงอยู่!

ภูเขาทั้งห้าลูกนี้ตั้งฐานรากอยู่ในร่างกายของเขา เมื่อปรากฏขึ้นมาก็กดทับร่างจนแทบจะหายใจไม่ออก ทว่าในเวลาปกติไม่อาจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้เลยแม้แต่นิด มีเพียงยามนี้เท่านั้นที่สัมผัสได้แจ่มชัดอย่างถึงที่สุด

เขามีความรู้สึกพลุ่งพล่านรุนแรง คิดจะพังถล่มภูเขาทั้งห้าลูกนี้ ไม่อยากให้ร่างกายถูกกดทับอยู่อีกต่อไป!

“ภูเขาทั้งห้าลูกนี้ก็คือห้าพันธนาการแห่งชีวิต!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามก้อง เมื่อเสียงตูมตามในร่างดังสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน ฐานของภูเขาลูกแรกในร่างที่กลายมาเป็นพันธนาการ บัดนี้เมื่อมาอยู่ภายใต้พลังน้ำขึ้นน้ำลงโหมกระหน่ำรุนแรง ก็พลัน…พังทลายลง!

ชั่วขณะที่ถล่มทลายลงมานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือดสด ชีพจรทุกเส้น เลือดเนื้อทุกก้อนมีลางว่าจะแตกออกเป็นจุณ ทว่าก็กลับเข้ามารวมตัวกันอีกครั้ง

เมื่อเกิดการพังทลาย ร่างของเขาก็สั่นระริก ลมปราณที่เหนือล้ำความสามัญระลอกหนึ่งก่อกำเนิดขึ้นในเลือดเนื้อของเขา ไหลทะลักไปทั่วร่าง ความรู้สึกเช่นนั้นดุจดั่งว่าโลกใบนี้ได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เหมือนว่ามีสีสันเพิ่มมากขึ้น เหมือนว่ามีชีวิตชีวาเพิ่มมากขึ้น และความรู้สึกที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสัมผัสได้ว่า…เหมือนร่างกายจะโปร่งเบาขึ้นมา

ประหนึ่งห้าภูเขาใหญ่ที่มองไม่เห็นซึ่งเดิมทีแบกอยู่บนหลังของเขา บัดนี้ภูเขาลูกหนึ่งในนั้น…ได้แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ

พันธนาการขั้นแรกของชีวิต ฝ่าทะลุ!

และในวินาทีที่ฝ่าทะลุไปได้ พละกำลังกล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มขึ้นพรวดพราด เกินขีดจำกัดกล้ามเนื้อที่นักพรตรวมลมปราณสามารถมีได้ ไต่ขึ้นสูงสู่ระดับกล้ามเนื้อของสร้างฐานรากโดยตรง!

เลือดเนื้อทั้งหมด ชีพจรทั้งหมด กระดูกทั้งหมด วินาทีนี้ล้วนล้ำเลิศเหนือชั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามยาว ชั่วขณะที่เสียงคำรามดังออกไป ทะเลสาบอึงอล น้ำวนชั้นที่สี่ของเขาบนท้องฟ้าค่อยๆ นิ่งสงบลง และน้ำวนชั้นที่ห้าก็เผยร่างออกมาตามกัน!

ในน้ำวนชั้นที่ห้านี้พลันปรากฏเป็นภูเขาลูกหนึ่งที่พังทลายลง!

น้ำขึ้นน้ำลงครั้งที่ห้านี้ไม่ได้เกิดจากการชักนำของคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร และภูเขาลูกนี้ก็ไม่ได้เกิดจากวิชายุทธ์คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรเช่นกัน นี่คือ…น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่ห้าซึ่งเกิดขึ้นมาเองหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าทะลุพันธนาการขั้นที่หนึ่งของชีวิตได้แล้ว!

เวลาเดียวกันนั้น น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่ของฟางหลิน ซ่งเชวีย จิ๋วต่าวก็ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย และเวลานี้น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สามของกุ่ยหยาก็เสร็จสมบูรณ์ลงเช่นกัน กำลังเริ่มน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สี่

และเวลานี้เอง ท่ามกลางการห้ำหั่นและแย่งชิงตลอดสิบกว่าชั่วยามของลูกศิษย์สี่สำนักในโลกกระบี่อุกกาบาต ในที่สุดก็มีนักพรตที่รวบรวมตัวล่อปราณชีพจรดินเกิดขึ้นมาใหม่เป็นกลุ่มที่สอง

คนแรกของกลุ่มที่สองนี้ก็คือซ่างกวานเทียนโย่ว เขาสร้างน้ำวนที่เป็นของตัวเขาเอง และน้ำวนของสวีเสี่ยวซานก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแทบจะเวลาเดียวกัน

คนที่ตามมาหลังจากนั้น ก็คือ…เป่ยหันเลี่ย!

เป่ยหันเลี่ยที่ถูกขนานนามให้เป็นม้ามืดท่ามกลางศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของครั้งนี้ สร้างน้ำวนชีพจรดินที่เป็นของเขาซึ่งหมุนวนอยู่กลางท้องฟ้าตามหลังซ่างกวานเทียนโย่วและสวีเสี่ยวซานมาติดๆ

คนสุดท้ายที่ปรากฏตัว…คือสำนักธาราโอสถ จ้าวโหรว!

นางนั่งขัดสมาธิอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าของนางมีร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ไร้ซึ่งลมหายใจแห่งชีวิต หน้าตาเละเทะไม่เหลือเค้าเดิม เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด

กงซุนหว่านเอ๋อร์ตายแล้ว ทว่าศพของนางกลับขยับเคลื่อนไหวได้ แม้ว่าจะแข็งทื่อ แต่กลับมีควันพิษเป็นระลอกลอยออกมาจากในร่างของนาง สามารถมองเห็นตะขาบและแมลงพิษจำนวนนับไม่ถ้วนเจาะทะลุทะลวงเข้าไปตามทวารทั้งเจ็ดของนาง และหากมีผู้แข็งแกร่งอยู่ที่นี่ แค่มองปราดเดียวก็จะเห็นได้ว่าสมองของกงซุนหว่านเอ๋อร์นั้นกลวงโบ๋ ด้านในมีแมงมุมที่มีใบหน้าเป็นคนเข้ามาแทนที่ คอยควบคุมศพของกงซุนหว่านเอ๋อร์!

ทำให้กงซุนหว่านเอ๋อร์กลายมาเป็นหุ่นเชิดที่มีพิษร้ายตนหนึ่ง!

“กงซุนหว่านเอ๋อร์ เจ้าคือหุ่นพิษที่ข้าหลอมออกมาเป็นตนแรก ไม่ต้องรีบร้อน อีกไม่นานหรอก พี่ชายของเจ้าก็จะกลายมาเป็นคนต่อไป!” นัยน์ตาของจ้าวโหรวเผยความอำมหิตและอาฆาตพยาบาท นางปิดดวงตาทั้งคู่ลง น้ำวนบนฟากฟ้าหมุนเคลื่อนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version