บทที่ 163 เจ้าแย่งข้าชิง!
สำหรับนักพรตส่วนใหญ่แล้ว เมื่อมาอยู่ต่อหน้าปราณชีพจรฟ้า ไม่มีคำว่าสหายร่วมสำนัก มีแต่การแย่งชิง!
เพราะยังไงซะปราณชีพจรฟ้านี้ ไม่ว่าจะสร้างฐานรากแล้วหรือยังไม่ได้สร้างฐานราก ขอแค่ได้มาครองก็สามารถนำปราณชีพจรฟ้านี้ไปสร้างฐานรากวิถีฟ้าได้!
ต่อให้เป็นวิถีฟ้าที่อ่อนแอที่สุดก็ยังอยู่เหนือจุดสุดยอดของชีพจรดิน สำหรับนักพรตที่อยู่ที่นี่แล้ว นี่ก็คือโอกาสที่จะได้ขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว!
หากซ่งเชวียได้ไป ด้วยชีพจรดินของน้ำขึ้นน้ำลงแปดครั้ง กลายมาเป็นวิถีฟ้า ถึงแม้จะไม่ใช่วิถีฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุด ทว่าก็เป็นรองแค่ขั้นเดียวเท่านั้น บุกไปแปดทิศก็สิ้นราบแปดทิศ
เช่นเดียวกัน หากป๋ายเสี่ยวฉุนได้ไปครอง ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็น…ผู้สร้างฐานรากวิถีฟ้าด้วยน้ำขึ้นน้ำลงชีพจรดินเก้าครั้ง…ซึ่งหลายปีมานี้ตลอดทั้งแม่น้ำทงเทียนตะวันออกตอนล่าง…ยังไม่เคยมีมาก่อน!
เขาจะกลายมาเป็นสร้างฐานรากวิถีฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุด!
แต่สิ่งที่ดึงดูดป๋ายเสี่ยวฉุนได้มากที่สุด ไม่ใช่การได้เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ทว่าเป็นอายุขัยที่เพิ่มขึ้นมาห้าร้อยปี สร้างฐานรากวิถีมนุษย์หนึ่งร้อยปี สร้างฐานรากวิถีดินสองร้อยปี สร้างฐานรากวิถีฟ้า…จะอยู่ได้นานถึงห้าร้อยปี!
ห้าร้อยปี ฟังดูเหมือนไม่มาก สำหรับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ไม่ทันไรเวลาหลายพันปีหรือหนึ่งหมื่นปีก็ผันผ่านไปจึงไม่ถือว่ายาวนาวเท่าไหร่นัก ทว่าสำหรับมนุษย์ทั่วไป อย่างน้อยนี่ก็เป็นตัวแทนช่วงเวลาการเติบโตของคนอีกสิบกว่ารุ่น สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว นี่คือโอกาสที่จะทำความใฝ่ฝันซึ่งมีมาเนิ่นนานของเขาให้กลายเป็นจริง
แล้วจะไม่ให้เขาคลั่งได้อย่างไร!
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่บ้าคลั่ง แทบทุกคนของที่นี่ล้วนคลุ้มคลั่งกันไปหมด มีเพียงนักพรตบางส่วนเท่านั้นที่เนื่องจากเหตุผลนานัปการ รวมกับที่ส่วนใหญ่ต่างก็กำลังสร้างฐานราก จึงสะกดกลั้นความสะท้านสะเทือนในใจลงไป ซึ่งโหวอวิ๋นเฟยก็เป็นหนึ่งในนั้น รวมถึงลูกศิษย์สำนักธาราเทพที่กำลังรวบรวมปราณชีพจรดินภายใต้ความช่วยเหลือของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เลือกที่จะถอนหายใจและยอมปล่อยมือเช่นกัน
ทว่าคนอื่นไหนเลยจะยอมสละได้!
พริบตาเดียว คนนับร้อยที่ยังเหลืออยู่ล้วนเปล่งเสียงคำรามแหบห้าวดังเซ็งแซ่ แต่ละคนโจนทะยานบินดิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า บินดิ่งเข้าหาปราณชีพจรฟ้าสีทองเส้นนั้นที่กำลังเยื้องกรายลงมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเร็วที่สุด ดวงตาของเขาแดงฉาน ก่อนที่จะพุ่งกระโจนออกไป เขาเอามือตบป้าบลงไปบนหน้าอก สีดำบนข้อมือของเขาลอดทะลุมารวมกันอยู่ตรงหน้าอก กลายเป็นไข่มุกสีดำเม็ดหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คืออาวุธคุ้มกันตัวที่หลี่ชิงโหวมอบให้ พอกดลงไปบนไหล่ของโหวอวิ๋นเฟยมันก็หลอมละลายปกคลุมไปทั่วตัวของโหวอวิ๋นเฟย ช่วยคุ้มกันการสร้างฐานรากของเขา ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดีดตัวผลุง ทะยานดิ่งขึ้นฟ้าไป
“ปราณชีพจรฟ้าเป็นของข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดัง บัดนี้เขาเป็นบ้าไปเสียแล้ว ในสมองไม่มีความคิดอื่นใดเหลืออยู่ มีเพียงสิ่งเดียว…ช่วงชิงเอาปราณชีพจรฟ้ามา ใครหน้าไหนก็ตามที่แย่งชิงกับเขา เขาจะไม่มีทางยอมทั้งนั้น!
เพราะว่าปราณชีพจรฟ้าเส้นนั้น ก็คือชีวิตของเขา!
“แย่งชีพจรฟ้าของข้า ก็เท่ากับตัดอายุขัยของข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนบินทะยานเร็วปรื๋อ เหยียบย่างลงไปบนท้องฟ้า ในบรรดาคนทั้งหมด เขาเป็นคนแรกที่เข้าใกล้ปราณชีพจรฟ้า เอื้อมมือออกไปคว้า
ทว่าขณะที่เขาคว้าปราณชีพจรฟ้าไว้ได้นั้นเอง ถ้ำของซ่งเชวียที่อยู่ไกลออกไป เข็มทิศในมือซ่งเชวียส่งแสงจ้าบาดตา มีอิทธิพลต่อปราณชีพจรฟ้า
ทำให้ปรานชีพจรฟ้าที่อยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุนพลันแตกออก ลอดทะลุจากมือของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นสองส่วน เกินครึ่งพุ่งออกไปไกลด้านหน้า ส่วนเล็กๆ เกือบครึ่งเปลี่ยนทิศทางตรงดิ่งไปยังสถานที่ที่ซ่งเชวียอยู่
ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาแดงก่ำดุจเลือด ไม่ได้สนใจปราณชีพจรฟ้าส่วนน้อยนั้น สายตาตกอยู่ที่ปราณชีพจรฟ้าส่วนมากซึ่งห้อทะยานอยู่เบื้องหน้า ไล่กวดไปอย่างว่องไว คิดจะคว้าเอามาครองไว้อีกครั้ง
ทว่าเวลานี้เอง กุ่ยหยาที่อยู่ห่างจากที่แห่งนี้ไปไม่ไกล ยามนี้เงยหน้าคำรามก้อง ปราณภูตตลอดร่างโหมตลบ ระเบิดออกอย่างเต็มรูปแบบ ต่อให้สูญเสียเท่าใดก็ไม่เสียดาย ท่ามกลางเสียงดังอื้ออึง ไอหมอกรอบกายเขาเข้มข้นขึ้น ด้านในมีเสียงภูตผีร้องโหยหวน และยิ่งมีมือปีศาจที่แฝงไว้ด้วยไอดุร้ายหลายมือยื่นทะลุขึ้นไปในก้อนมฆ
เมื่อครู่ตอนที่เข้าขัดขวางซ่งเชวีย พยายามทำลายค่ายกลของซ่งเชวียให้พังทลายนั้น กุ่ยหยากังวลว่าฐานรากแห่งนักพรตยังไม่มั่นคง จึงไม่ได้แสดงศักยภาพออกมาเต็มกำลัง ทว่าตอนนี้เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าฐานรากแห่งนักพรตจะมั่นคงหรือไม่ พลังในการสู้รบพุ่งปะทุทะยานขึ้นสูงทันทีทันใด
“ไสหัวไป!” กุ่ยหยาแผดเสียง ปราณภูตไร้ที่สิ้นสุดม้วนตลบพุ่งเข้าสู่ท้องนภา คิดจะขัดขวางไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ปราณชีพจรฟ้า ช่วงชิงเอาชีพจรฟ้ามาครองเสียเอง!
พริบตาเดียวคนทั้งสองก็ปะทะกันกลางอากาศ เพิ่งเริ่มต่อสู้กุ่ยหยาก็ใช้ท่าไม้ตายเสียแล้ว ฟ้าดินส่งเสียงดังครั่นครืน ในกลุ่มหมอกพลันปรากฎมือภูตขนาดยักษ์สิบข้างพร้อมกัน แต่ละข้างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของสร้างฐานราก บดบังแสงตะวันบนฟากฟ้า พุ่งเข้าประหัตรประหารป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีออมมือ
“เจ้าบอกให้ใครไสหัวไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเร่งความเร็วไม่หยุดยั้ง สะบัดปลายแขนเสื้ออย่างแรงหนึ่งครั้ง เบื้องหน้าเขาก็เกิดเสียงกัมปนาทสะท้อนก้อง ปราณสีม่วงแผ่ไพศาล ก่อตัวกันกลายมาเป็นกระถางใบใหญ่น่าตื่นตะลึงหนึ่งใบ พุ่งเข้าโจมตีมือภูตทั้งสิบของกุ่ยหยาโดยตรง พลังน้ำขึ้นน้ำลงชีพจรดินเก้าครั้งในร่างกายของเขาระเบิดเต็มกำลัง เมื่อปลุกเสกกระถางม่วงก็ทำให้พลังของกระถางม่วงใบนี้ยิ่งน่าหวาดกลัว
เสียงตูมตามดังเลือนลั่น มือภูตทั้งสิบของกุ่ยหยาพังทลาย แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กุ่ยหยากระอักเลือด ร่างถูกพลังมหาศาลม้วนตลบให้ถอยร่นออกไป แสงสีทองตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงระยับ ดุจดั่งเทพสงคราม มองดูแล้วเหมือนจะไม่เป็นอะไร ทว่าความจริงแล้วเลือดลมในร่างของเขาก็กำลังเดือดพล่านอย่างรุนแรงเช่นกัน
กุ่ยหยาน้ำขึ้นน้ำลงเจ็ดครั้ง ห่างจากเขาแค่สองครั้ง อีกทั้งตอนยังอยู่ในขั้นรวมลมปราณทั้งคู่ก็ฝีมือสูสีกัน ยังดีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าพันธนาการขั้นที่หนึ่งไปแล้ว จึงทำลายแรงบีบคั้นลงไปได้
ยามนี้เมื่อบีบให้กุ่ยหยาถอยร่นไปได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดร่างเตรียมเอื้อมคว้าปราณชีพจรฟ้าเส้นนั้น แต่ตอนนี้เอง ทันใดนั้นเสียงคำรามที่แฝงไว้ด้วยความดุร้ายก็ดังลอยมา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!” เสียงนั้นดังอยู่ข้างหู รุ้งยาวเส้นหนึ่งกรีดผ่าอากาศกลายเป็นแสงกระบี่น่าพรั่นพรึงพุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ในแสงกระบี่ก็คือซ่างกวานเทียนโย่ว เขาในเวลานี้ไม่สนใจฐานรากแห่งนักพรตของตัวเองอีกต่อไป ทั้งยังถึงขั้นร่ายเวทคาถาลับ ไม่เสียดายที่ต้องเปิดใช้ผนึกแห่งสังสารวัฏบางอย่างในกายของตัวเอง กลายร่างมาเป็นกระบี่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความโหดเหี้ยม พุ่งทะลุผ่านภากาศตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเผือดสี กระบี่นี้ของซ่างกวานเทียนโย่วทำให้เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤต พริบตาที่ไอกระบี่เข้ามาใกล้ ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายคมกริบ มือทั้งสองทำมุทราและโบกสะบัดไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ในร่างของเขาพลันมีเงามายาของมังกรยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมา หัวมังกรอ้าปากคำรามออกมาจากหน้าอก ตรงเข้าหาไอกระบี่เล่มนั้น
ขณะเดียวกัน ด้านหลังของเขาก็มีภาพมายาของช้างยักษ์ตัวหนึ่งกำลังร้องคำราม ยกขาหน้าทั้งสองขึ้น หันไปทางซ่างกวานเทียนโย่วแล้วกระทืบลงไปแรงๆ
นี่ก็คือคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร หลังจากที่ฝึกสำเร็จแล้วได้กลายมาเป็นเวทคาถาอภินิหาร เวลานี้เมื่อปรากฏออกมาจึงปะทะเข้ากับซ่างกวานเทียนโย่วทันที
เสียงตูมดังกึกก้องสั่นสะเทือนแก้วหู ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า มังกรยักษ์เบื้องหน้าเขาแตกกระจาย ช้างยักษ์พังทลาย พลังมหาศาลระลอกหนึ่งพุ่งเข้ากระแทกไปทั่วร่าง แสงสีทองเปล่งประกายติดต่อกันหลายครั้ง ถึงจะยับยั้งเอาไว้
ส่วนซ่างกวานเทียนโย่วที่อยู่ตรงข้ามเวลานี้ก็พ่นเลือดสดออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายซูบเซียวลง โซเซถอยหลัง คล้ายว่ากระบี่นี้เผาผลาญพลังของเขาไปมากอย่างถึงที่สุด
ถูกถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ ปราณชีพจรฟ้าเส้นนั้นก็ยิ่งห่างออกไปไกล ยามนี้รอบด้านมีลูกศิษย์ของสามสำนักสิบกว่าคนทะยานเข้ามาใกล้ กำลังเข่นฆ่าแย่งชิงกัน
ส่วนกุ่ยหยาก็สละการต่อสู้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เผ่นโผนไปทางปราณชีพจรฟ้า ซ่างกวานเทียนโย่วกัดฟัน เข้าใกล้ด้วยความรวดเร็วเช่นกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาแดงฉาน ปีกด้านหลังพัดกระพือ พริบตาเดียวก็ลอดทะลุความว่างเปล่า ล้ำหน้ากุ่ยหยาและซ่างกวานเทียนโย่ว ห้ำหั่นเข้าไปในกลุ่มคน เขาสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง พลังมหาศาลระลอกหนึ่งระเบิดออกสี่ทิศ กลายมาเป็นการพุ่งโจมตี ม้วนตลบพัดเอาคนรอบด้านจำนวนนับไม่ถ้วนถอยกรูดต่อเนื่อง มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนเอื้อมออกไป…คว้าปราณชีพจรฟ้าเส้นนั้นมาไว้ในมือ
คราวนี้เขามีประสบการณ์แล้ว ยามที่คว้าจับเอาไว้ได้จึงบีบอย่างแรง ให้ปราณชีพจรฟ้านี้หลอมรวมเข้าไปในนิ้วมือของเขา ทำให้นิ้วชี้มือขวาของเขาอบอวลไปด้วยปราณชีพจรฟ้าเข้มข้น
คนรอบด้านมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนแย่งเอาปราณชีพจรฟ้าไปได้ ไอสังหารก็ลุกโชติช่วง
“เขายังดูดซับไปไม่ได้ทันที ตัดนิ้วมือของเขา แย่งเอาชีพจรฟ้ามา!”
“ฆ่าเขา!!”
นักพรตสามสำนักสิบกว่าคนรอบด้านลงมืออย่างบ้าคลั่งทันที ในบรรดาคนเหล่านี้มีไม่น้อยที่เป็นสร้างฐานราก เวลานี้พอลงมือเสียงก็ดังสะเทือนเลือนลั่นไปสี่ทิศ โดยเฉพาะลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิตที่เวทคาถาแปลกประหลาด หนึ่งในนั้นปลดปล่อยหัวปีศาจราวกับวิญญาณชั่วร้าย อ้าปากเตรียมเขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุน
ยังมีลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตอีกคนที่ร่างกายแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด เมื่อลงมือพลันมีมือขนาดใหญ่ปรากฏออกมา ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนั้นเกิดขึ้นกับจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ทว่าเขาไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก วินาทีที่คนสิบกว่าคนล้อมโจมตีพร้อมเพรียง ไอสังหารก็ตลบอวลขึ้นมาในดวงตาเขาเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะกลัวตาย แต่เหตุการณ์ที่เทือกเขาลั่วเฉินครั้งนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจมานานแล้วว่า วิธีที่จะไม่ทำให้ตัวเองตาย ก็คือต้องฆ่าคนที่คิดฆ่าตัวเอง!
และวันนี้ หากไม่ใช่คนพวกนี้ที่ต้องตาย ก็เป็นเขาที่ต้องดับสิ้น เมื่ออยู่ภายใต้ปราณชีพจรฟ้า ไม่มีคำว่าเหตุผล มีเพียงโอกาส!
“พวกเจ้า…รนหาที่ตาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงต่ำ นอกจากเมื่อครู่นี้ที่เขาฆ่าคนเพราะความโกรธแค้นหลังจากสร้างฐานรากสำเร็จแล้ว ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้ เขาก็ไม่อยากฆ่าคนมากมายนัก ต่อให้เป็นลูกศิษย์ของอีกสามสำนักที่เหลือ เขาก็ไม่มีใจคิดอยากสังหาร
ทว่าตอนนี้…เขาจะเปิดฉากการเข่นฆ่าครั้งใหญ่แล้ว!
ขณะที่เสียงเขาดังก้อง ผิวหนังทองคงกระพันของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนโคจรไปจนถึงจุดสูงสุด
เสียงตูมดังครั้งเดียวก็ต้านทานวิชาอภินิหารของคนเหล่านี้ไว้ได้ เลือดลมทั่วร่างเขาโถมซัดสาด มุมปากมีเลือดสดไหลซึม เคลื่อนตัวว่องไวจนร่างพร่าเลือน เหวี่ยงหมัดติดต่อกันสิบกว่าครั้ง อัดกระแทกคนละหนึ่งหมัด!
ตูมๆๆ!
หมัดที่แฝงไว้ด้วยไอสังหาร หมัดที่ทะลุฝ่าพันธนาการร่างกายมนุษย์ หมัดที่เป็นจุดสุดยอดของชีพจรดินของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้กลายมาเป็นพายุหมุนสีเลือดโหมกระโชกดังกระหึ่ม ลูกศิษย์สามสำนักสิบกว่าคนที่อยู่รอบด้าน หลังจากถูกหมัดนี้กระแทกใส่ ร่างก็สั่นสะท้าน ระเบิดตูมกลายมาเป็นไอหมอกสีเลือด
กุ่ยหยาและซ่างกวานเทียนโย่วเองเมื่อถูกกระแทกด้วยหมัดนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี จำต้องถอยร่น
ยังมีลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตอีกคนหนึ่ง ชั่วขณะที่ร่างเขาแหลกลาญนั้น ไม่รู้ว่าร่ายวิชาอภินิหารอันใด วิญญาณถึงได้หลุดออกมาจากร่างก่อน ร่างกายเป็นเพียงแค่เปลือกอันว่างเปล่า วินาทีที่สิ้นใจ มีหน้ากากเลือนรางอันหนึ่งกำลังทำท่าจะหลบหนี ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตเห็นจึงคว้าเอาไว้ได้ พอออกแรงบีบกลับพบว่าไม่สามารถทำลายมันได้ จึงใช้ตบะปิดผนึกมันเอาไว้แล้วโยนเข้าไปในถุงเก็บของ
ตอนที่เขาหมุนตัว คนสิบกว่าคนที่อยู่รอบกายถูกจำกัดเกลี้ยง ทว่าห่างออกไปไม่ไกล ยังมีนักพรตสามสำนักจำนวนมากยิ่งกว่าเดิมพุ่งเข้ามาเข่นฆ่าด้วยดวงตาแดงก่ำ มีร่างหนึ่งเร็วที่สุด พุ่งล้ำนำหน้าทุกคน ทะยานเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ปล่อยปราณชีพจรฟ้าเดี๋ยวนี้!” คนผู้นั้นก็คือสวีเสี่ยวซาน สีหน้าของเขาซับซ้อน แต่ก็ยังคงโบกมือ รอบด้านเกิดเสียงกัมปนาทดังอื้ออึง โลงหินขนาดยักษ์เก้าโลงปรากฏขึ้น ด้านบนมีตราผนึก มีเพียงตบะสร้างฐานรากเท่านั้นถึงจะสามารถเสกใช้มันได้ ไอความตายแผ่ซ่าน ในยามนี้เมื่ออยู่ภายใต้ตบะสร้างฐานรากของสวีเสี่ยวซาน โลงหินเปิดออก ศพเก้าตนที่ตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยขนสีดำโผล่พรวดออกมา!
แต่ละตนต่างระเบิดปราณของสร้างฐานราก!
————