Skip to content

A Will Eternal 191


บทที่ 191 เขาซือเฟิงมีรางวัลให้

ตั้งแต่ในถ้ำเก็บศพ บนพื้นดิน บนพืชหญ้า บนก้อนหินใหญ่ พริบตานั้นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนได้มารวมตัวกันอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน กลายร่างเป็นกำแพงกางกั้น สกัดการโจมตีของสวีเสี่ยวซาน

เสียงตูมดังสะเทือนฟ้า เส้นไหมสีเขียวเหลือคณานับพังทลายลงในพริบตา ทว่าขณะเดียวกันกับที่มันพังทลายลงก็ทำให้การโจมตีที่แฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยวของสวีเสี่ยวซานอ่อนกำลังไปด้วย สามารถกั้นขวางเอาไว้ได้

ทุกคนที่อยู่รอบด้านอึ้งค้าง ทว่ายังไม่ทันที่พวกเราจะร้องอุทานออกมา…

ตามมาติดๆ ด้วยเงาร่างมากมายที่บินถลาออกมาจากในถ้ำเก็บศพ และยังมีบางส่วนที่พุ่งทะลุผ่านก้อนหินจนหินแตกกระจัดกระจาย ร้องคำรามเสียงประหลาด ประเดี๋ยวเดียวก็มาโผล่พรวดอยู่หน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

เงาร่างเหล่านั้นคือศพหลอมจำนวนมากเหลือหลาย พวกมันรูปร่างพิกล แต่ละร่างล้วนแผ่ไอดุร้ายแข็งแกร่งและอ่อนแอแตกต่างกันออกไป สิ่งเดียวที่เหมือนกันก็คือบนร่างของศพหลอมทุกตน ล้วนมีขนสีเขียวงอกออกมา!

“นั่นคือ…สมควรตายเอ๊ย นั่นมันศพหลอมของข้า!! เย่จั้ง ข้าจะฆ่าเจ้า!”

“เป็นไปไม่ได้ ศพหลอมของข้า เหตุใดถึงไปปกป้องเย่จั้ง!!”

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!! เย่จั้ง เจ้ารนหาที่ตาย!!” ทุกคนรอบด้านยามนี้รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ สีหน้าบูดเบี้ยวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พากันคำรามก้อง หลายคนหยิบเอาแผ่นหยกออกมาควบคุมศพหลอม พอทดลองทำดูแล้วพบว่าศพหลอมของตัวเองกลับไม่มีการตอบรับใดๆ แต่ละคนก็สำลักลมหายใจ

ภาพนี้ทำให้สวีเสี่ยวซานหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน แม้ว่าการโจมตีของเขาจะแข็งแกร่ง ทว่าศพหลอมที่อยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนยามนี้มีนับร้อยตน ทุกตนล้วนช่วยกันสกัดกั้นการจู่โจม ต่อให้สวีเสี่ยวซานแข็งแกร่งเพียงใด การโจมตีของเขาก็มิอาจดำรงอยู่ได้นานนัก

ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลือนลั่น หลังจากพลังโจมตีกระแทกให้ศพหลอมหลายสิบศพแตกกระจายออก คลื่นความตายนี้ก็สลายหายวับไป ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น เขาเองก็มองเซ่อเหมือนกัน

มองศพหลอมรอบกาย รวมไปถึงอีกหลายศพที่กำลังตะเกียกตะกายออกมาจากถ้ำซึ่งถล่มลงอย่างต่อเนื่อง บินถลาเข้ามารวมตัวกันอยู่ข้างกายของตัวเอง ไม่นานศพหลอมนับพันก็ปรากฏตัวอย่างพร้อมเพรียง โอบล้อมเขาเอาไว้ภายใน ทุกตนร้องคำรามใส่สวีเสี่ยวซาน

คนรอบด้านจากที่สูดลมหายใจเฮือกๆ เพราะความตะลึงลาน มาบัดนี้กลับเงียบกริบไร้สรรพเสียง ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนหนังหัวชาหนึบเพราะภาพประหลาดเบื้องหน้า พร้อมใจกันถอยหลัง มองศพหลอมนับพัน มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่เวลานี้ถูกศพหลอมซึ่งในร่างมีไอดุร้ายอบอวลปกป้องโอบล้อมไว้เป็นชั้นๆ ทุกคนจิตใจสะท้านไหว

สวีเสี่ยวซานเองก็หนังหัวระเบิดเช่นกัน รู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงที่ห่างออกไปไม่ไกล ยามนี้ตาเหลือกถลน หลังจากที่เขาสร้างฐานรากสำเร็จเมื่อหลายปีก่อน ก็ต้องผ่านการแย่งชิงเหี้ยมโหดทารุณถึงได้กลายมาเป็นผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงอย่างทุกวันนี้ ควบคุมดูแลยอดเขาซือเฟิงแห่งนี้มาเกือบร้อยปี นึกว่าตัวเองเจอศพหลอมมามากแล้ว ความเข้าใจที่มีต่อศพหลอม ต่อให้เป็นนักพรตขั้นรวมโอสถก็ยังสู้ตนไม่ได้

ทว่าตอนนี้พอได้เห็นศพหลอมนับพันต่างพากันปกป้องป๋ายเสี่ยวฉุน ลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้น ดวงตาโชนแสงแรงกล้า

“เขาทำได้อย่างไร!!”

และขณะที่ทุกคนกำลังสะท้านสะเทือน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ใกล้ร้องไห้เต็มแก่

“จบกันๆ โรงเลี้ยงศพถูกข้าทำลายยับเยิน ศพหลอมพวกนี้ก็ไม่รู้เป็นอะไรถึงได้โอบล้อมพิทักษ์ข้าไว้ภายใน เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายพวกมันอีกแล้ว คราวนี้ข้าล่วงเกินลูกศิษย์ทีเดียวนับพันคน…นี่มันบีบให้ข้าเป็นกบฏต่อสำนักชัดๆ…จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ นี่หากอยู่สำนักธาราเทพ เขาก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ย่อมถูกลงโทษอย่างหนัก ส่วนสำนักธาราโลหิตนี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คาดว่าตัวเองคงต้องถูกตีจนตายแน่นอน

เขายังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ซุกซ่อนไว้ในจุดลึกของดวงตาลูกศิษย์พวกนั้นด้วย และเวลานี้เอง ด้านหลังของเขาพลันมีเสียงคำรามดังขึ้นมาหนึ่งเสียง ศพหลอมรอบด้านร่างสั่นเทา พากันเปิดทางให้อย่างพร้อมเพรียง

เห็นเพียงว่าในซากปรักหักพังของโรงเลี้ยงศพ มีเงาสูงใหญ่สีเขียวตลอดร่าง แผ่กระไอดุร้ายเข้มข้น เวลานี้กำลังเดินออกมาทีละก้าวอย่างเชื่องช้า เล็บมือทั้งสองของร่างนี้คมกริบราวกับใบมีด ผิวหนังเป็นสีเขียว มองดูแล้วเต็มไปด้วยความพิลึกพิลั่น ทั้งยังแสยะปากแยกเขี้ยวแหลมคม ทำให้คนมองสยดสยอง

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือบนร่างของมันมีขนสีเขียวขึ้นเป็นแพ ขนสีเขียวทุกเส้นล้วนยาวออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด บางส่วนเกี่ยวโยงเข้ากับศพหลอมนับพัน และยังมีบางส่วนที่ลอยพลิ้วกระจัดกระจายไปรอบด้าน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ศพขนเขียวสูงใหญ่ตนนี้เดินทีละก้าวจนมาหยุดอยู่หลังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง ทว่าไอดุร้ายบนร่างกลับโหมซัดตลบอบอวล

ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นสำลักลมหายใจอีกครั้ง!

“ควบคุม ความสามารถของศพเขียวนี้คือควบคุม!!”

“สวรรค์ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลยว่าจะมีศพสีเขียวแบบนี้อยู่ด้วย ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”

“อีกอย่างร่างของศพเขียวนี่ก็ไม่ธรรมดา แม้พลังจะสู้สร้างฐานรากไม่ได้ ทว่าก็เทียบเคียงได้กับรวมลมปราณขั้นเจ็ด แต่สามารถควบคุมศพที่มีพลังเทียบเท่าหรือแม้แต่พลังที่มากกว่ามันจำนวนมากต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่ากลัวของมัน!”

สวีเสี่ยวซานหายใจถี่ระรัว จ้องเขม็งไปที่ศพสีเขียว ดวงตาค่อยๆ เผยประกายดุเดือด ยังไม่ทันที่เขาจะเปิดปาก เสียงหัวเราะยาวๆ เสียงหนึ่งพลันหลุดออกมาจากปากของผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

“ดี ดี ดี!” ภายใต้ความตื่นเต้น ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงถึงกับพูดคำว่าดีติดต่อกันสามครั้ง สะบัดร่างหนึ่งทีก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีศพขนเขียวยืนอยู่ข้างหลัง

การปรากฏตัวของเขา พลานุภาพบนร่างแผ่ซ่าน ทำให้ซากศพเหล่านั้นตัวสั่นเทิ้ม ทว่ายังคงคำรามเสียงต่ำเช่นเดิม ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงไม่แยแสแม้แต่นิด ดวงตาจ้องไปที่ศพเขียวตาไม่กะพริบ ราวกับมองเห็นสมบัติล้ำค่า ความฮึกเหิมค่อยๆ ตีตื้นขึ้นมา

“เจ้าชื่อเย่จั้ง?” เขาหมุนตัวไปทางเย่จั้ง แววตาที่เหมือนมองเห็นของล้ำค่ายิ่งปรากฏเด่นชัด

“ลูกศิษย์เย่จั้ง คารวะท่านผู้อาวุโส!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร รีบวางมาดเคร่งขรึม ประสานมือคารวะ

“ศพขนเขียวนี่เจ้าเป็นคนหลอมเองรึ? หลอมอย่างไร?” ผู้อาวุโสเขาซือเฟิงรีบซักถามทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เล่าตามความจริงว่ายาวิเศษที่ตัวเองหลอมทำให้ศพหลอมนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง จากนั้นก็กลายมาเป็นอย่างที่เห็น ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังคัดลอกตำรับยาไว้บนแผ่นหยก แล้วส่งมอบให้กับผู้เฒ่าเบื้องหน้าอย่างนอบน้อม

ถึงขนาดลองสื่อสารกับศพขนเขียวนี้อย่างลับๆ หลังจากพบว่าแค่ตัวเองนึกคิดก็สามารถควบคุมมันได้ จึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่หลอมยาเขาได้ใส่เลือดของตัวเองลงไปด้วย ดังนั้นเพื่อฉวยโอกาสแสดงความจริงใจ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะลงโทษตัวเองน้อยลง จึงส่งมอบแผ่นหยกควบคุมศพขนเขียวให้กับผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงไปพร้อมกัน

เขาเองก็มองออกว่ารอบด้านมีคนไม่น้อยรู้จักผู้เฒ่าคนนี้ และยังมีบางส่วนที่พอเห็นหน้าผู้เฒ่าชัดเจนสีหน้าก็พลันถอดสี ก้มหัวต่ำทำความเคารพ ดังนั้นจึงเดาออกว่าตัวตนของผู้เฒ่าคนนี้ย่อมไม่ธรรมดา

รับแผ่นหยกเอาไว้ หลังจากผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงพิจารณาอย่างละเอียด ประกายแสงในดวงตาทั้งคู่ก็ยิ่งร้อนแรง หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

“เย่จั้ง ข้าคือผู้อาวุโสใหญ่ของยอดเขาซือเฟิง เจ้าทำดี ทำดีมาก นี่คือศพรูปแบบใหม่ วิธีการหลอมข้าผู้อาวุโสจะเอากลับไปศึกษาสักหน่อย ครั้งนี้เจ้าได้สร้างคุณความดีใหญ่หลวงให้กับยอดเขาซือเฟิงของเรา!”

“แค่ทำโรงเลี้ยงศพเล็กๆ พังจะแค่ไหนกันเชียว อย่าว่าแต่เจ้าไม่ได้ตั้งใจเลย อีกอย่างก็ไม่มีคนตายด้วย ต่อให้เจ้าฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ขอแค่อุทิศตนเพื่อสำนัก ทุกอย่างก็เป็นแค่เรื่องขี้ผง!”

“ใครก็ได้ มอบหินวิเศษให้เขาห้าพันก้อน คะแนนคุณความดีสามหมื่นคะแนน ประกาศออกไปว่าหินวิเศษของคนผู้นี้ หากใครกล้าแย่งชิงเอาไป มันผู้นั้นคือศัตรูของข้า!” ผู้อาวุโสใหญ่ยอดเขาซือเฟิงปิติยินดี หัวเราะเสียงดัง ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน แววชื่นชมในดวงตาก็ยิ่งเข้มข้น สะบัดร่างม้วนตลบเอาศพขนเขียวพวกนั้นตรงกลับไปยังเขาซือเฟิง

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง มองผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงจากไป ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบด้านต่างก็มองตนด้วยสายตาแค้นเคือง ทว่ากลับทำเพียงกัดฟันแยกย้ายกันไป มองเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของยอดเขาซือเฟิงที่นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยแววให้กำลังใจ มอบหินวิเศษห้าพันก้อนให้กับตัวเอง และก็ให้ตนหยิบแผ่นหยกตัวตนออกมา กรีดผ่านหนึ่งครั้ง คะแนนคุณความดีสามหมื่นคะแนนก็เข้าไปอยู่ในนั้น

ส่วนสวีเสี่ยวซาน ไม่ว่าในใจจะคิดเช่นไร ทว่าบนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้ม เดินเข้าไปพูดคุยผูกสัมพันธ์ ความนัยที่แฝงในทุกประโยคก็คือต้องการตำรับยาจากป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คัดลอกตำรับยาหนึ่งฉบับให้กับสวีเสี่ยวซานอย่างใจกว้าง ตำรับยานี้เป็นเพียงสูตรขั้นต้นเท่านั้น สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ไม่มีค่าอันใด

สวีเสี่ยวซานเบิกบาน หลังจากให้คะแนนภารกิจครั้งนี้กับป๋ายเสี่ยวฉุนในระดับสูงสุดแล้ว ถึงได้รีบร้อนจากไปราวกับคนได้รับของล้ำค่า

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองรอบกายที่ค่อยๆ ว่างเปล่า แล้วก็มองไปยังโรงเลี้ยงศพที่ตัวเองทำพังอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนหน้านี้เขาเตรียมใจรอรับการลงโทษไว้แล้ว ทว่าสถานการณ์ที่ผลิกผันไปเช่นนี้ทำให้เขาตระหนักได้อย่างลึกล้ำว่า ที่นี่…แตกต่างไปจากสำนักธาราเทพจริงๆ ด้วย

“ที่นี่ดีเหลือเกิน…มือยักษ์มีสายเลือดเดียวกันกับข้า ทำให้ฝึกวิชาเนื้อคงกระพันได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยาที่ข้าหลอมออกมาสร้างเรื่องเดือดร้อน สำนักไม่เพียงแต่ไม่ซักไซ้เอาความ กลับยังมอบรางวัลให้ด้วย” ป๋ายเสี่ยวทอดถอนใจ ในใจก็เข้าใจดีว่าหากครั้งนี้ตนไม่ได้หลอมซากศพเช่นนั้นออกมา อีกทั้งยังก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คาดว่าแม้แต่ตายก็คงตายตาไม่หลับ และผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงนั่นก็คงไม่คิดจะมองตนแม้แต่หางตา

สิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงให้ความสำคัญก็คือผลลัพธ์ที่ออกมา ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนนั้น เขาไม่สนใจ และไม่แยแสความรู้สึกของผู้อื่นด้วย ในสายตาของเขามีเพียงผลประโยชน์เท่านั้น!

ในความเป็นจริงแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนยังรู้แจ่มแจ้งด้วยว่าสำนักธาราโลหิตแห่งนี้ ความคิดอย่างผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงก็เป็นตัวแทนความคิดของคนระดับสูงส่วนใหญ่ในสำนักธาราโลหิตด้วย มีคนไม่น้อยยังถึงขั้นคิดว่ายิ่งลูกศิษย์ทนความทรมานได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายความว่าสำนักมีพลังแฝงมากเท่านั้น

ยังไงซะหากพูดกันจากรากฐานของสำนักธาราโลหิตแล้ว นี่คือสำนักมาร เน้นย้ำในเรื่องความเป็นหนึ่ง เน้นย้ำในเรื่องของจิตใจที่บ้าคลั่ง!

ไม่ใช่หลักการนายได้ดี ขี้ข้าพลอยขึ้นสวรรค์ แต่เป็นหลักการหนึ่งขุนพลเหยียบย่ำอยู่บนซากศพนับพันนับหมื่น!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินอยู่บนทางของสำนักด้วยความปลง เดินไปทางถ้ำสถิต ตอนนี้เขาทำภารกิจสำเร็จแล้ว รอให้คนอื่นทำภารกิจสำเร็จตามเวลาที่กำหนดก็สามารถเข้าร่วมการประลองสร้างฐานรากได้เลย

ยามนี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปเดินมาพลันเห็นว่าเบื้องใต้ป้ายศิลาขนาดยักษ์สูงพอคนสามคนต่อกัน มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น สายลมพัดให้ผมเส้นยาวและชายกระโปรงของนางพลิ้วสะบัด ร่างทั้งร่างที่แผ่เสน่ห์เฉพาะตัวออกมาคล้ายจะปลิวไปตามลม

บนใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้สวมหน้ากากสีเลือดทับไว้ บนหน้ากากมีดอกเหมยหนึ่งดอก เวลานี้นางกำลังเงยหน้าที่งดงามขึ้น แววตาคล้ายระทมทุกข์

ป๋ายเสี่ยวฉุนจำอีกฝ่ายได้ในทันที แค่เอ่ยชื่อนางก็ทำให้คนไม่น้อยในสำนักหน้าเปลี่ยนสีได้ นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมย

ริมขอบของป้ายศิลาขนาดใหญ่สูงเท่าคนสามคนนั้นแตกผุผัง คล้ายซากปราการไม่สมบูรณ์แบบชิ้นหนึ่ง ที่นี่คือที่ตั้งของปราการโอสถแห่งหนึ่งของสำนักธาราโลหิต ซึ่งไม่ว่าลูกศิษย์คนใดก็ล้วนสามารถมาสังเกตเพื่อตระหนักรู้ได้ ชื่อเสียงของมันเทียบเคียงได้กับหน้าผาหมื่นโลหิต…ซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์!

ว่ากันว่าคนที่ประจักษ์แจ้งจะมองเห็นภาพมายาของการหลอมยาบนปราการโอสถแห่งนี้ หากเข้าใจและตระหนักรู้ก็จะประจักษ์แจ้งในวิถีโอสถ ป้ายศิลานี้สำนักธาราโลหิตแย่งมาจากสำนักธาราโอสถเมื่อหมื่นปีก่อน สำนักธาราโอสถมาขอซื้อกลับคืนไปหลายครั้ง ทว่าสำนักธาราโลหิตก็ไม่เคยตกลง

แม้ว่าสำนักธาราโลหิตจะมีอาจารย์โอสถอยู่น้อย ทว่าเนื่องจากซากปราการแห่งนี้ เมื่อแปดพันปีก่อนจึงมีอัจฉริยะวิถีโอสถผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้น เขาสร้างยามหัศจรรย์ของโลกที่เรียกว่าโอสถเลือดคงกระพันออกมา ฮือฮากันไปทั้งสำนัก และที่คนผู้นี้สามารถทำสำเร็จได้ก็เพราะหลังบรรลุจากซากปราการแห่งนี้ ขอบเขตความรู้ด้านการหลอมยาของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นมาก

คนที่สามารถประจักษ์แจ้งจากซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์มีน้อยมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เคยได้ยินเย่จั้งตัวปลอมพูดถึงมาก่อน แม้แต่เย่จั้งตัวปลอมเองก็ยังเคยมาทำความเข้าใจอยู่ที่นี่นานมาก ทว่าไม่ได้ผลพวงอะไรกลับไป ยามนี้เมื่อเดินผ่าน ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังเซวี่ยเหมย ขณะเดียวกันก็มองซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์นั่นอยู่หลายทีด้วย

แทบจะวินาทีเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป เซวี่ยเหมยจับสังเกตได้ คิ้วงามใต้หน้ากากขมวดมุ่น ผินหน้ามากวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและหยิ่งยโส ราวกับเทพมารผู้สูงส่งก้มหน้ามองลงมายังมดตัวน้อยบนพื้นดิน จากนั้นนางก็กระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศ กลายร่างเป็นรุ้งสีเลือดเส้นหนึ่งบินไปทางยอดเขาจู่เฟิง

ถูกสายตาที่มองราวกับตนเป็นมดไร้ค่ากวาดผ่าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดือดปรี๊ดขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าเซวี่ยเหมยผู้นี้ช่างจองหองยิ่งนัก

“แน่แค่ไหนกันเชียว นายท่านป๋ายของเจ้าคือสร้างฐานรากวิถีฟ้าเชียวนะ เผยตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่ เจ้าต้องตกใจจนขวัญกระเจิงแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พอใจ พึมพำอยู่ในใจ ฮึดฮัดเสียงเย็นหนึ่งครั้งก็เชิดหน้าขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ

“สักวันหนึ่งข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะดีดนิ้วให้เจ้าสิ้นราบพนาสูร!”

————-

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version