Skip to content

A Will Eternal 192

บทที่ 192 การประลองที่หน้าผาโลหิต

แผล็บเดียวเวลาก็ผ่านไปหลายเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนคือหนึ่งในไม่กี่คนของผู้ร่วมประลองสร้างฐานรากที่ทำภารกิจเสร็จก่อน แม้จะทำเสร็จล่วงหน้า ทว่ายังไงซะก็ยังไม่ถึงเวลาที่สำนักกำหนดไว้ ทำได้เพียงรอให้คนอื่นทยอยกันทำภารกิจเสร็จ ถึงจะสามารถเปิดการประลองสร้างฐานรากได้

หลายเดือนมานี้เขาไม่ได้ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า แต่ฝึกฝนวิชาเนื้อคงกระพันอย่างตื่นเต้นฮึกเหิม พูดได้ว่านับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มบำเพ็ญเพียรมา ภายใต้การไร้ซึ่งแรงกดดันใดๆ ก็ไม่เคยตั้งใจฝึกบำเพ็ญตบะมากเท่าตอนนี้มาก่อน

ทุกครั้งที่ฝึกวิชาเนื้อคงกระพัน เขาจะเสียวปลาบไปทั้งร่าง แรกเริ่มเขายังปรับตัวไม่ได้ หลังๆ เริ่มเกิดความเคยชิน และตอนนี้เขายังถึงขั้นหาความเบิกบานท่ามกลางความเจ็บปวดนี้ได้ด้วย

“ฮ่าๆ พละกำลังของข้ากำลังเพิ่มมากขึ้น จงเจ็บต่อไปเถอะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าบานเป็นกระด้ง ทุกวันจะต้องร่ายรำหมัดมวยอยู่ในถ้ำสถิต สัมผัสถึงกำลังของตัวเองที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมองเห็นกระไอเลือดหลายเส้นที่ลอยขึ้นมาจากพื้นดินรอบด้านเวลาที่เขาโคจรวิชาเนื้อคงกระพัน ก็ทำให้เขาตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด

“ที่นี่เป็นสถานที่วิเศษของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจริงๆ ก่อเรื่องไม่เพียงแต่ไม่ถูกลงโทษ ทั้งยังได้รางวัลด้วย แถมฝึกวิชายังเร็วขนาดนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ นับวันก็ยิ่งรู้สึกว่าสำนักธาราโลหิตเหมาะสมกับตัวเอง ทว่าคิดไปคิดมาก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองดูจะอยู่ผิดข้างไปสักหน่อย…ดังนั้นจึงรีบปรับความคิดตัวเองทันที

“ข้าเป็นคนของสำนักธาราเทพ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเตือนตัวเองอยู่ในใจ จมจ่อมอยู่กับความรู้สึกเสียวแปลบปลาบอีกครั้ง

จนกระทั่งถึงวันนี้หลังจากผ่านมาแล้วหลายเดือน วิชาเนื้อคงกระพันของป๋ายเสี่ยวฉุน ในที่สุดก็โคจรครบเก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้งรอบที่สามได้สำเร็จ ในร่างส่งเสียงดังกัมปนาท ทั้งด้านหลังยังมีเงาร่างมายาของช้างขนาดยักษ์สามตัวปรากฏขึ้นมา

ดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันเบิกโพลง นัยน์ตาโชนแสงแรงกล้า ลุกขึ้นยืนด้วยความดีอกดีใจ กำหมัดต่อยออกไปด้านหน้า เสียงกรีดผ่าอากาศดังสนั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก

“พลังของช้างตัวที่สาม อยู่ที่นี่ช่างฝึกได้เร็วยิ่งนัก อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงตำแหน่งหลังมือของสำนักธาราโลหิตเท่านั้น หากไปอยู่ที่นิ้วมือ เข้าใกล้น้ำตกโลหิต…ต้องยิ่งไวกว่าเดิมแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่า ครุ่นคิดว่าจะออกไปเดินเตร่ข้างนอกเสียหน่อย ทว่าสีหน้าพลันกระตุก ตบลงไปบนถุงผ้า ในมือปรากฏแผ่นหยกตัวตนของเขา

ยามนี้แผ่นหยกกำลังเปล่งประกายแสงน้อยๆ หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมรวมพลังวิญญาณเข้าไป ในสมองของเขาก็มีน้ำเสียงเย็นชาอำมหิตทั้งยังอึมทะมึนดังก้องขึ้นมา

“ลูกศิษย์ฝ่ายในเย่จั้ง ได้รับโอกาสร่วมประลองสร้างฐานรากครั้งที่สอง อีกสามวันตอนเที่ยงจงไปที่หน้าผาหมื่นโลหิต ช่วงชิงโอกาสสร้างฐานรากกับผู้ร่วมประลองคนอื่น!”

“ไปที่หน้าผาหมื่นโลหิต? หรือว่าการประลองสร้างฐานรากครั้งนี้เลือกจัดในหุบเหวหมื่นโลหิต?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำแผ่นหยก ความคิดฉุกวาบ เขารู้จักหุบเหวหมื่นโลหิตเพราะก่อนหน้านี้ได้สอบถามเย่จั้งตัวปลอมเกี่ยวกับเชื้อไฟสี่สีของสำนักธาราโลหิต ซึ่งหญ้าสี่ใบก็ถือกำเนิดขึ้นในหุบเหวหมื่นโลหิตแห่งนี้

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววคาดหวัง คุณสมบัติในการร่วมประลองสร้างฐานรากครั้งนี้ที่เขารอคอย ในบรรดาคนที่ร่วมประลองทั้งหมดสามารถพูดได้ว่าเขาเป็นคนที่ใส่ใจมากที่สุด และก็ทั้งไม่ใส่ใจมากที่สุด

ที่พูดว่าใส่ใจเพราะเมื่อกลับจากการประลอง ฐานะนี้จะทำให้เขาเผยตบะสร้างฐานรากออกมาได้ อีกทั้งยังสามารถเลือกยอดเขาจงเฟิง กลายเป็นผู้พิทักษ์ เขยิบเข้าไปใกล้วัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญอีกหนึ่งก้าว

ที่พูดว่าไม่ใส่ใจ ก็เพราะว่าเดิมทีเขาคือสร้างฐานรากวิถีฟ้าอยู่แล้ว

นึกถึงว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพ ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงคิดว่าตัวเองควรมีคุณธรรมและมีน้ำใจ ทอดถอนใจได้ก็สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ วางมาดเคร่งขรึม เชิดหน้าขึ้น

“คราวนี้ขอโทษทีนะ ข้าไม่สามารถให้พวกเจ้าสร้างฐานรากสำเร็จได้ เพราะว่าข้าคือหนอนบ่อนไส้!” ขณะที่ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างสมกับเป็นบุคคลผู้สร้างคุณูปการให้กับสำนักธาราเทพเสียจริง โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็สร้างคุณความดีครั้งใหญ่ให้กับสำนักอีกแล้ว

ดังนั้นจึงนั่งบำเพ็ญตบะต่อด้วยความเบิกบาน

สามวันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนจัดระเบียบตัวเองหนึ่งรอบ วางมาดอำมหิตของเย่จั้ง ทั้งยังฝึกฝนสายตาของตัวเองเป็นพิเศษ ทำให้เมื่อมองดูแล้วสายตาของเขาอบอวลไปด้วยไอดุร้าย จากนั้นถึงได้ออกจากถ้ำเดินไปทางหน้าผาหมื่นโลหิต

หน้าผาหมื่นโลหิตคือหนึ่งในสถานที่ลึกลับสองแห่งของพื้นที่ส่วนในสำนักธาราโลหิต ซึ่งสถานที่อีกแห่งหนึ่งก็คือซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์

หน้าผาหมื่นโลหิตนี้คือเหวลึกแห่งหนึ่ง ในหุบเหวเต็มไปด้วยแสงสีเลือดก่อตัวกันกลายมาเป็นพื้นที่ลึกลับขนาดไม่ใหญ่มากนัก

ในความเป็นจริงแล้วนี่คือโลกใบเล็กๆ ที่เกิดจากรอยแผลบนหลังมือของมือยักษ์นี้ หลังจากถูกปรับปรุงจึงกลายมาเป็นสถานที่ลับแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนี้มีหญ้าสี่ใบขึ้นหนาแน่น ซึ่งหญ้าสี่ใบก็คือเชื้อไฟของไฟสี่สี ถือเป็นพืชหญ้าเฉพาะถิ่นของสำนักธาราโลหิต โดยทั่วไปแล้วลูกศิษย์ล้วนสามารถนำมาใช้ในการฝึกบำเพ็ญตบะได้ หรือหากนำไปเป็นทรัพยากรแลกเปลี่ยนกับคนนอกก็มีราคาไม่ธรรมดาเช่นกัน

เพียงแต่ว่าหากคิดครอบครองหญ้าสี่ใบ จำเป็นต้องอาศัยโชคช่วย เพราะในหุบเหวที่มีหญ้าสี่ใบนี้งอกขึ้นมีสัตว์โลหิตอยู่ด้วย สัตว์โลหิตเหล่านี้ไม่มีสติปัญญา มีเพียงใจที่รักการเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง คล้ายว่าเป็นชีวิตไม่สมบูรณ์แบบที่ถือกำเนิดขึ้นมาเองของมือยักษ์สำนักธาราโลหิต

พวกมันจะโจมตีทุกชีวิตที่บุกเข้าไปในหุบเหว

สถานที่ประลองสร้างฐานรากครั้งนี้ ผู้อาวุโสใหญ่สี่ท่านของสำนักธาราโลหิตเป็นผู้เลือกให้ดำเนินการที่นี่

ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง สถานที่แห่งนี้มีคนเจ็ดแปดคนมาถึงก่อนหน้าเขาแล้ว บางคนนั่งสมาธิเพียงลำพัง บางคนเข้าใกล้กันเล็กน้อย กำลังพูดคุยกันเสียงเบา

พอป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงก็มองเห็นจ้าวอู๋ฉางได้ทันที นัยน์ตาจ้าวอู๋ฉางมีประกายแสงเย็นเยียบวาบผ่าน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคู่แข่งของเขา ทว่าบนใบหน้ากลับเค้นรอยยิ้มออกมา ทักทายเรียกป๋ายเสี่ยวฉุนให้เข้าไปหาอย่างกระตือรือร้น

พวกเขาที่รวมตัวกันล้วนเป็นคนที่ไปชุมนุมในถ้ำวันนั้น

“ครั้งนี้ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประลองมีสามสิบกว่าคน ทว่าโอสถสร้างฐานรากมีน้อยมาก ในหุบเหวแห่งนี้ ไม่เพียงต้องเข่นฆ่ากันเอง ยังต้องเผชิญหน้ากับสัตว์โลหิตด้วย”

“ทำตามที่พวกเรานัดแนะกันไว้ พอเข้าไปแล้วร่วมมือกันฆ่าคนอื่นก่อน จากนั้นพวกเราค่อยมาเลือกผู้ที่จะได้โอสถสร้างฐานรากกันทีหลัง”

ขณะที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองทางหน้าผาหมื่นโลหิตที่อยู่ด้านข้าง ทางเข้าหุบเหวแห่งนี้เป็นเส้นยาว ยาวหลายสิบจั้ง ด้านล่างมีแสงสีเลือดตลบอบอวล มองไม่เห็นก้นเหว ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงลมหายใจมากมาย ราวกับว่าในที่แห่งนี้มีการดำรงอยู่ของบางอย่างที่น่าหวาดกลัว ซึ่งมันกำลังอ้าปากกว้างรอเขมือบอยู่เบื้องล่าง

ทั้งยังได้ยินเสียงคำรามอื้ออึงดังลอยมาแว่วๆ ด้วย

“สัตว์โลหิตของที่นี่ ว่ากันว่าบางตัวมีตบะเหนือสร้างฐานรากขึ้นไป สำหรับพวกเราแล้ว ระดับความอันตรายของที่นี่ไม่น้อยไปกว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากเลย” เมื่อจ้าวอู๋ฉางเอ่ยปากอย่างปลงตก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พยักหน้า ดึงสายตากลับ

คนอื่นๆ เริ่มทยอยกันมาถึง บางคนเข้ามารวมกลุ่มด้วย ทว่าส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่รอบด้าน มองสหายร่วมสำนักทุกคนด้วยดวงตาเย็นชา

ช่วงเที่ยง ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองสร้างฐานรากในครั้งนี้ก็มาถึงกันครบ มีคนมากถึงสามสิบเจ็ดคน

และเวลานี้เอง ทันใดนั้น บนยอดเขาทั้งสี่แห่งที่อยู่ห่างออกไปไกล แต่ละยอดเขามีรุ้งยาวหนึ่งเส้นห้อคำรามเสียงดังราวฟ้าผ่าเข้ามาใกล้ ผู้ที่บินมาจากยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิงคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ชายผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ ตลอดร่างอบอวลไปด้วยปราณสีเลือด เมื่อมองไกลๆ จะเห็นได้ว่ารัศมีหลายจั้งรอบกายเขามีหมอกสีเลือดหมุนวนอบอวล น่าตื่นตะลึงอย่างมาก

โดยเฉพาะเบื้องหลังเขาที่คล้ายจะมีเงาร่างมายาซึ่งมองเห็นได้ไม่ชัด เห็นเพียงคร่าวๆ ว่ารูปร่างเหมือนมือขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง ดูคล้ายคลึงกับมือยักษ์ของสำนักธาราโลหิตอยู่หลายส่วน

และที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือบนมือขวาของชายวัยกลางคนผู้นี้ บนผิวที่โผล่ออกมาด้านนอกกลับมีรอยแตกระแหงหลายเส้น

เขาก็คือผู้อาวุโสใหญ่แห่งยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิง ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ที่มาจากยอดเขาอู๋หมิงเฟิงคือคนแคระผู้หนึ่ง คนแคระผู้นี้ไว้ผมสั้น บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นหนึ่งเส้น เท้าของเขาเหยียบย่างอยู่บนหมอกควันสีดำ มองอย่างละเอียดจะเห็นว่าหมอกควันที่ว่านั้นคือหัวปีศาจหัวหนึ่ง สีหน้าดุร้าย พลานุภาพแผ่กระจาย พาชายแคระตรงดิ่งมายังที่แห่งนี้

ผู้อาวุโสใหญ่ของยอดเขาซือเฟิง ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเห็นมาแล้ว ซึ่งก็คือผู้เฒ่าใบหน้ายับย่น ทว่าบนร่างกลับมีชีวิตชีวาทำให้คนมองรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนหนุ่มผู้นั้น

และคนสุดท้ายก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของยอดเขาจงเฟิง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ความสนใจมากที่สุด นั่นคือหญิงสาวผู้หนึ่ง สตรีอ้อนช้อยงดงามที่คล้ายว่าอยู่ในช่วงวัยที่สุกงอมถึงขีดสุด

หญิงสาวผู้นี้สวมอาภรณ์ได้อย่างร้อนแรงใจกล้า ทั้งๆ ที่เป็นชุดนักพรตธรรมดา ทว่าเมื่อมาอยู่บนกายนางกลับเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน ขาเรียวยาวขาวราวหิมะ ทั้งยังมีช่วงสะโพกที่กระชับแน่นตึงงอนงามนั่นอีก เท่านี้ก็มากพอให้ทุกคนที่เห็นอดไม่ไหวจนต้องมองนานอีกหน่อย

หน้าอกอวบอิ่มผลิพุ่งจนชุดนักพรตแทบไม่สามารถโอบประคองเอาไว้ได้ เหมือนสามารถระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา ยังมีผมยาวสีแดงเพลิงนั่นอีก ทำให้ตลอดทั้งร่างของนางราวกับกองไฟกองหนึ่ง

และใบหน้าของนางก็งามล้ำอย่างยากจะอธิบาย ใบหน้ารูปแตงคล้ายแฝงไว้ด้วยความงามหยาดเยิ้มมาตั้งแต่กำเนิด ดวงตาทั้งคู่เผยประกายเย้ายวนอ่อนช้อย ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเอง เมื่อมองเห็นนางก็ยังสูดลมหายใจเฮือกโดยไม่รู้ตัว ส่วนคนอื่นหัวใจเต้นรัวแรง แต่กลับรีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามองนาน

“นางก็คือผู้อาวุโสยอดเขาจงเฟิง? อาหญิงน้อยของซ่งเชวีย ซ่งจวินหว่าน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอดไม่ไหวจึงมองไปอีกรอบ การมองครั้งนี้ดันประสานสายตาเข้ากับหญิงสาววัยสุกงอมผู้นี้พอดี

ซ่งจวินหว่านแย้มยิ้ม ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหนังหัวชาหนึบ ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยิ้มให้ เขากลับรู้สึกได้ถึงวิกฤตรุนแรง จึงรีบก้มหน้าลง

วินาทีที่เขาก้มหน้าลงนั้นเอง ดวงตาซ่งจวินหว่านเปล่งประกายวาบ ในใจรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เมื่อมองไปจากตำแหน่งของนาง ทุกคนที่อยู่บนหน้าผาหมื่นโลหิต มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่กล้าเงยหน้ามองนางเป็นครั้งที่สอง ทำให้นางไม่สบอารมณ์อย่างมาก ขณะที่กำลังจะลงโทษ อีกฝ่ายกลับมีความรู้สึกเฉียบไว ก้มหน้าลงไปทันที

เมื่อผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ท่านมาถึง ลูกศิษย์ทุกคนบนหน้าผาหมื่นโลหิตรีบประสานมือคารวะคนทั้งสี่อย่างพร้อมเพรียง

“คารวะผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ท่าน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในกลุ่มคนก็แสร้งทำท่าคำนับเช่นกัน แต่ในใจกำลังทอดถอนใจ ผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงท่าทางร้ายกาจเช่นนี้ ตนจะไปเอาวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญมาจากถ้ำสถิตของนาง ช่างเป็นเรื่องยากยิ่งนัก

“ทำตามแผนเดิมก็แล้วกัน ช่วงชิงเอาตำแหน่งของนางมา ให้ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงแทน” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจอยู่ในใจ หูก็ได้ยินเสียงซ่งจวินหว่าน ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเขาจงเฟิงดังลอยมา

“พวกเจ้าล้วนเป็นผู้พ่ายแพ้จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานราก ตามหลักแล้วควรถูกลงโทษ ทว่าครั้งนี้หลังจากที่พวกข้าทั้งสี่คนปรึกษากับเจ้าสำนัก จึงเห็นสมควรว่าจะแหกกฎให้พวกเจ้าได้ลงประลองสร้างฐานรากวิถีมนุษย์กันอีกครั้ง”

“ใช้โอสถสร้างฐานรากในการเลื่อนขั้น ก็คือสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ ส่วนอัตราความสำเร็จนั้นบอกไม่ได้ บางคนใช้โอสถสร้างฐานรากหนึ่งเม็ดก็สำเร็จ บางคนจำเป็นต้องใช้สองเม็ด สามเม็ด ครั้งที่มากที่สุดของสำนักธาราโลหิตเรา คือลูกศิษย์คนหนึ่งใช้โอสถสร้างฐานรากถึงหกเม็ดถึงจะเลื่อนขั้นได้สำเร็จ!”

“ขวดโอสถในมือข้าตอนนี้มีโอสถสร้างฐานรากสิบเม็ด” ซ่งจวินหว่านยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของนางหยาดเยิ้ม ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย ทว่าความชั่วร้ายนี้ไม่เพียงไม่สามารถลดความงามของนางลงไปได้ กลับยิ่งทำให้นางน่ามองมากกว่าเดิม ดุจดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมคม

ขณะที่พูดมือขวาของนางก็มีขวดยาขวดหนึ่งปรากฏขึ้นมา หลังจากยิ้มเสร็จก็โยนยาขวดนั้นลงไปในหุบเหวหมื่นโลหิตด้านข้างทันที

“ไปแย่งกันเถอะ พวกเจ้ามีเวลาแค่เดือนเดียว หนึ่งเดือนหลังจากนี้ พวกเราจะรับพวกเจ้าขึ้นมาเอง ผู้ที่สร้างฐานรากได้สำเร็จ สามารถเลือกเป็นผู้พิทักษ์ของยอดเขาได้!”

——

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version