บทที่ 200 นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมย บังเอิญจังเลย…
รุ้งยาวที่เซวี่ยเหมยแปลงกายมามีความเร็วน่าตกใจ ทั้งยังก่อให้เกิดเสียงกรีดผ่าอากาศแหลมดังท่ามกลางรัตติกาลมืดมิด เมื่อนางเข้ามาใกล้เขาจงเฟิง เสียงนี้ก็ดังก้องสะท้อนไปทั่วเขาจงเฟิงทันที
เซวี่ยเหมยวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในสำนักมาโดยตลอด ถึงขนาดที่ว่าไม่ว่านางจะทำเรื่องอะไร ถึงแม้นางจะไม่ได้ทำตัวอันธพาล ทว่าในสายตาของคนอื่น เนื่องจากบิดาของนางคือบุรพาจารย์อู๋จี๋ จึงทำให้นางดูเผด็จการอยู่เสมอ
เมื่อหลายปีก่อน เซวี่ยเหมยตระหนักรู้ถึงข้อนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรนางจึงถือโอกาสวางอำนาจเผด็จการให้ถึงที่สุดเสียเลย ยามนี้เมื่อเข้ามาใกล้ เสียงกัมปนาทดังสะเทือนฟ้า ทำให้พวกผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสที่อยู่ส่วนล่างของนิ้วเขาจงเฟิงพากันแตกตื่น แต่ละคนรีบเดินออกมาจากในถ้ำ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเงาร่างที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศคือเซวี่ยเหมย
เงาร่างนี้คล้ายม่านสีเลือดผืนหนึ่ง สามารถมองเห็นเรือนร่างสะโอดสะองน่าตื่นตะลึงในผ้าม่านนั้น รวมไปถึงดวงตาคู่งามใต้หน้ากากที่เปล่งประกายเย็นชา!
ภาพนี้ทำให้จิตใจของคนมากมายสะท้านสะเทือน
“นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยกลับมาที่เขาจงเฟิงแล้ว?”
“แม้ว่านางจะเป็นผู้อาวุโสของเขาจงเฟิง แต่เนื่องจากไม่กินเส้นกับผู้อาวุโสใหญ่ น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นนางมาที่นี่!”
“เอ๊ะ ทิศทางนั้น…”
ขณะที่คนกลุ่มนี้ใจหายวาบ ก็มีคนมองเห็นว่าทิศทางที่เซวี่ยเหมยมุ่งหน้าไปเหมือนมีปราณเลือดเข้มข้นกำลังรวมตัวกัน ถึงขนาดส่งผลกระทบไปทั่วด้าน ทำให้ปราณเลือดที่ลอยตัวขึ้นบนภูเขาต่างไหลทะลักไปที่นั่น ลำแสงสีเลือดค่อยๆ อาบย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีแดงโร่
ภาพนี้ทำให้นักพรตเหล่านี้ดวงตาเปล่งแสงวาบ
“ที่นั่นคือถ้ำสถิตของนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมย ปราณเลือดพวกนี้…”
“หรือว่ามีสมบัติล้ำค่าชิ้นใดของนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยจะจุติขึ้นมาบนโลก?!”
หลังจากที่ทุกคนคาดเดาเสร็จก็พากันบินทะยานตรงไปยังถ้ำแห่งนั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กำลังดูดปราณเลือดมาจากถ้ำด้านหลังอย่างเต็มกำลัง มองเห็นว่าวิชาอมตะมิวางวายของตัวเองกำลังเกิดพละกำลังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กำลังของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นพรวดพราว ร่างของเขามองดูแล้วเหมือนเป็นปกติ ทว่าในความเป็นจริงแล้วเลือดเนื้อทุกก้อนล้วนกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
“บทเนื้อคงกระพันขั้นแรก…ร่างสิบคชสารสิบผีร้าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น สูดลมหายใจเข้าลึก สัมผัสได้ว่าพลังในร่างของตัวเองกำลังเพิ่มพูนทบทวีจนเกิดดังสนั่นหวั่นไหว
แปดคชสาร เก้าคชสาร…แล้วก็ไต่ระดับสูงขึ้นสู่สิบคชสารอย่างรวดเร็ว!!
วินาทีนั้นสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดเสียงอื้ออึงดังหนึ่งครั้ง ในร่างมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลอยมาจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน เสียงนี้คนนอกไม่ได้ยิน ทว่ายามนี้มันกลับดังราวฟ้าผ่าอยู่ข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุน
เวลาเดียวกันนั้น ความรู้สึกเสียวปลาบตามเลือดเนื้อพลันพุ่งถาโถมเข้าใส่ราวน้ำขึ้นน้ำลง ทอดยาวออกไปทั่วทุกจุดในร่างกาย ทำให้เลือดเนื้อทุกก้อนสั่นไหว จนกระทั่งแล่นไปถึงเส้นผมทุกเส้น เลือดเนื้อทุกชุ่น แล้วจึงหยุดชะงักเล็กน้อย จากการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดเอาปราณเข้าปอดโดยไม่รู้ตัว การสั่นสะเทือนที่แผ่ไปทั่วร่างนี้พลันไหลย้อนกลับ เสียงครั่นครืนดังไปตลอดทาง ย้อนจากทุกตำแหน่งของร่างกายไปรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าอกของเขา แล้วหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว!
รวมตัวกันเป็น…พละกำลังที่มีพลังอำนาจไร้ที่สิ้นสุด!
พลังอำนาจนี้เกิดจากการสั่นสะเทือนหลายต่อหลายครั้งของพละกำลังเลือดเนื้อป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้ อีกทั้งท่ามกลางการสั่นสะเทือนนี้ เลือดเนื้อของเขาได้กลายมาเป็นน้ำวนลูกแล้วลูกเล่า ดูดเอาปราณเลือดจากรอบด้านและจากในถ้ำด้านหลังมาอย่างหิวกระหาย!
ปราณเลือดในขวดเลือดที่อยู่ในถ้ำนั้นราวกับม้าที่ถูกปลดบังเหียน ทะลุทะลวงลอดประตูใหญ่เข้าไปรวมกับปราณเลือดที่พุ่งมาจากสี่ด้านแปดทิศ ซัดกลิ้งไล่หลังห้อทะยานมาหา!
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นระรัว ขณะเดียวกันกับที่สัมผัสได้ถึงการระเบิดของกำลังในร่างกาย ก็แอบรู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง
ก่อนหน้านี้เขาคอยควบคุมร่างกายตนเองเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ให้สูดเอาปราณเลือดจากรอบด้านมา แต่ดึงมาแค่ปราณเลือดจากในถ้ำด้านหลังเท่านั้น นี่ถึงรักษาความสมดุลบางอย่างเอาไว้ได้ ทำให้ในจุดที่เขาอยู่ไม่สะท้อนแสงสีเลือด จึงยากที่คนอื่นจะสังเกตเห็น
ทว่าตอนนี้ จากการที่ร่างสิบคชสารสิบผีร้ายของเนื้อคงกระพันขั้นที่หนึ่งก่อตัวสำเร็จ ร่างของเขาสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำวนก่อรูปขึ้น ดึงดูดเอาปราณเลือดจากรอบทิศ ทำให้แสงสีเลือดของที่นี่พลันระเบิดออกจนเห็นเด่นชัดเป็นพิเศษ
แต่เขาขัดขวางไม่ทันแล้ว ร่างของเขาราวกับกำลังลอกคราบ หลังจากที่ปราณเลือดจากรอบด้านหลอมรวมเข้ามาในกายก็คล้ายกับกลายมาเป็นสายฟ้า เมื่อมันดังกัมปนาทอยู่ในหัวสมองของเขา ร่างของเขาก็สั่นเยือก ทุกครั้งที่สั่น พละกำลังก็จะระเบิดตูมออกมา
ไม่นานจากปริมาณกลายเป็นคุณภาพ พลังคชสารสิบตัวกลายมาเป็น…ร่างผีร้าย!
ตูมๆๆ!
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกโพลง เบื้องหลังมีเงาร่างของผีร้ายให้เห็นเลือนราง แม้ว่าจะยังพร่าเลือน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าเมื่อมันได้หล่อเลี้ยงตัวเอง ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็จะชัดเจนอย่างถึงที่สุด
เขารู้สึกว่าพละกำลังมากมายไร้ที่สิ้นสุดได้ก่อกำเนิดขึ้นมาจากเลือดเนื้อทุกก้อนในร่างกาย ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลามามัวตื่นเต้น ตรงจุดที่เขาอยู่สะดุดตาเกินไป แสงสีเลือดแผ่กระจายเป็นวงกว้างอย่างนี้ ย่อมดึงดูดสายตาคนอื่นแน่นอน
“สำนักธาราโลหิตนี่เผด็จการเกินไปแล้ว แม้แต่เวลาบำเพ็ญตบะก็ยังต้องคอยวิตกกังวล!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียด เขารู้ว่าคนไม่น้อยของสำนักธาราโลหิตต่างก็ตามหาตนมานานมากแล้ว หากถูกจับได้ว่าเขาเป็นตัวการ คนพวกนั้นย่อมระเบิดความเหี้ยมโหดออกมาเต็มที่ ผลลัพธ์คงเลวร้ายเกินคาดเดา
ยามนี้จึงลุกขึ้นกำลังจะหนีไปจากที่นี่ ทว่าตอนนี้เอง กลางอากาศที่ห่างออกไปไกล รุ้งยาวสีเลือดเส้นหนึ่งพลันเข้ามาใกล้เร็วราวสายฟ้าแลบ
พริบตาเดียว รุ้งยาวเส้นนี้ก็มาปรากฏกายอยู่กลางอากาศเหนือหัวของป๋ายเสี่ยวฉุน กลายร่างออกมาเป็นหญิงสาวสวมชุดคลุมยาวสีเลือด สวมหน้ากากสีแดงที่มีรูปดอกเหมยหนึ่งดอก
เซวี่ยเหมยมองถ้ำของตัวเองด้วยความอึ้งงัน รู้สึกงุนงงไม่น้อย นางยากที่จะจินตนาการได้ว่า ในสำนักธาราโลหิตแห่งนี้จะมีใครกล้าเป็นฝ่ายมาหาเรื่องนางถึงที่
หรือแม้แต่คิดจะมาบำเพ็ญตบะอยู่หน้าถ้ำของนาง เรื่องแบบนี้ ทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อ ตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ นางรู้สึกว่าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรตอนล่างที่นางรู้จัก คนที่กล้าทำเรื่องแบบนี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย…
นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าขวดเลือดที่อยู่ในถ้ำ ตอนนี้ว่างเปล่าแล้ว และถึงกระทั่งที่ว่าเนื่องจากถูกดูดปราณเลือดออกไปหมดในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ขวดเลือดนี้เกิดความไม่มั่นคงใกล้จะพังทลาย
วัตถุที่ตนตระเตรียมเอาไว้มาเป็นเวลาสิบกว่าปี กลับหายเกลี้ยงไปหมดในคืนเดียว…ร่างของนางสั่นน้อยๆ หายใจถี่กระชั้น อีกทั้งชั่วขณะที่นางมาถึง นางยังได้เห็นกับตาตัวเองว่าปราณเลือดเส้นสุดท้ายลอยออกมาจากในถ้ำแล้วมุดเข้าสู่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
ดวงตานางหงส์เย็นเยียบของเซวี่ยเหมยพลันโชติช่วงด้วยจิตสังหาร ร่างที่หายใจหอบรัวย้ายสายตาไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
“นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมย บังเอิญจังเลย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเสียววาบเหมือนวัวสันหลังหวะ ถูกเซวี่ยเหมยมองเสียจนขนลุกขนพอง เดิมคิดจะพูดว่าตัวเองแค่เดินผ่านทางมาเท่านั้น ทว่าปราณเลือดเบาบางรอบด้านกลับถูกเนื้อคงกระพันขั้นหนึ่งของตัวเองสูดรับมา และตอนนี้กำลังซอกซอนเข้าไปในกายของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ คิดจะหยุดยั้ง แต่ในระยะเวลาอันสั้นนี้เขายังทำไม่ได้…ดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที
“ที่นี่เป็นถ้ำของเจ้าเองหรือ? พวกเรามาปรึกษากันดีไหม…ข้าชดใช้ให้เจ้าได้นะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อย ยังไม่ทันพูดจบ เสียงลมคำรามจากรอบด้านดังขึ้น เงาร่างมากมายก็ทยอยกันปรากฏตัว คนเหล่านั้นคือผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสของนิ้วส่วนล่างยอดเขาจงเฟิง พอปรากฏตัวพวกเขาก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนทันที แล้วก็มองเห็นถ้ำที่อยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุน มากกว่านั้นคือสัมผัสได้ถึงความบางเบาของปราณเลือดรอบด้าน…โดยเฉพาะ…มองเห็นปราณเลือดแต่ละเส้นกำลังลอดทะลุเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างปิติยินดีต่อเนื่อง
ภาพนี้ทำให้นักพรตเหล่านั้นพากันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาทันที ขณะที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนทุกอย่างก็พลันกระจ่างแจ้ง จากนั้นไอสังหารก็ยิ่งพุ่งพล่าน
“เป็นเย่จั้งนี่เอง! ปราณเลือดลดลงฮวบฮาบ…เหมือนหลายวันก่อน…หรือว่าเป็นฝีมือของคนผู้นี้…”
“คนที่ทำให้ข้าต้องถูกพลังตีกลับหลายต่อหลายครั้งในช่วงนี้เป็นเจ้านี่เอง!!”
“ต้องเป็นฝีมือของคนผู้นี้แน่นอน สมควรตายเอ๊ย ต้องเป็นเขาแน่!”
ขณะที่สายตาซึ่งเต็มไปด้วยไอสังหารเหล่านั้นกวาดมาบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียง ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเล็กน้อย
“คือว่า พี่น้องทุกท่าน ทุกคนเป็นคนกันเอง…ข้าชดใช้ให้ดีไหม…” หน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ขณะที่กำลังจะอธิบาย ทว่าเวลานี้เอง เซวี่ยเหมยที่อยู่กลางอากาศ สูดลมหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง เชิดคางขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ อีกที นิ้วมือเรียวยาวราวลำเทียนชี้มาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“ฆ่าเขาซะ”
น้ำเสียงเย็นเยียบ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นางพูดแค่เพียงสามคำนี้เท่านั้น ทว่าคำพูดทั้งสามคำกลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชาอย่างถึงที่สุด อยู่สูงส่งเกินผู้ใด สั่งการง่ายดายราวกับแค่จะบดขยี้มดสักตัว
นักพรตสร้างฐานรากทุกคนรอบด้าน พอได้ยินคำพูดนี้ แต่ละคนก็ระเบิดจิตสังหารออกมาเต็มกำลัง สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะบารมีและชื่อเสียงของเซวี่ยเหมย และยังมีส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงเวลาหลายวันนี้ ทุกคนถูกทรมานด้วยการที่ปราณเลือดลดฮวบไปกลางดึกจนคลุ้มคลั่ง
วันนี้ในที่สุดก็หาตัวการเจอ มีหรือที่จิตสังหารจะไม่ลุกโชติช่วง ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะไม่ใช่ตัวการ ทว่าในสายตาของคนเหล่านี้ ยังไงเขาก็หนีไม่พ้นส่วนพัวพันไปได้
และวินาที่คำพูดของเซวี่ยเหมยดังลอยไปนั้นเอง ทุกคนรอบด้านก็ลงมือทันควัน พริบตาเดียวเวทอภินิหารจำนวนเหลือคณานับก็กลายมาเป็นปราณกระบี่สีเลือดเส้นแล้วเส้นเล่าตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
นี่คือการลงมือพร้อมกันของนักพรตสร้างฐานรากทุกคน ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่แทบจะหนังหัวระเบิด คนหลายสิบคนที่สร้างฐานรากแล้วพวกนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองฝึกวิชาเนื้อคงกระพันขั้นแรกได้สำเร็จ ก็ต้านทานการลงมือจากพวกคนที่อยู่ในระดับเดียวกันมากมายขนาดนี้ไม่ได้ ยามนี้จึงรีบถอยหลังกรูด เตรียมเผ่นหนี
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว แน่จริงก็เข้ามาสู้กับข้าตัวต่อตัวสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามอย่างไม่ยินยอมหนึ่งประโยค
เสียงกัมปนาทดังก้องตามหลังเขามา ทุกคนลงมือด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อให้เกิดการโจมตีดุเดือด ลักษณะพลังน่าหวาดผวา เขย่าคลอนไปแปดทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนขวัญกระเจิง เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคนพวกนี้…คิดจะฆ่าตนจริงๆ
“ทำกันเกินไปแล้ว ก็แค่ดูดปราณเลือดนิดหน่อยแค่นั้นเอง ข้าก็เป็นนักพรตสร้างฐานรากของสำนักธาราโลหิตเหมือนกันนะ พวกเจ้าคิดจะฆ่าข้าแบบนี้ต้องการบีบให้ข้าเป็นกบฏต่อสำนักหรือไง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น ขณะที่ร้องเสียงแหลมก็เผ่นหนีอย่างรวดเร็ว หลบหลีกเวทคาถามากมายด้านหลัง หัวอกหัวใจสั่นคลอนไปหมด เขารู้สึกว่าเซวี่ยเหมยผู้นั้นช่างอันธพาลยิ่งนัก ขนาดเขาพูดไปแล้วแท้ๆ ว่ายินดีชดใช้ให้ ทว่านางกลับยังสะบัดปลายแขนเสื้อ แถมยังเชิดคาง ท่าทางที่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเขาเช่นนี้ อีกฝ่ายดันทำได้ด้วย!
เสียงตูมตามดังลั่นระเบิดเต็มกำลังอยู่ในพื้นที่นิ้วส่วนล่างของเขาจงเฟิงในค่ำคืนนี้ นักพรตจำนวนมาก แต่ละคนไอสังหารตลบอบอวล ไล่โจมตีป๋ายเสี่ยวฉุน
ทว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนเร็วอย่างถึงที่สุด ยามนี้เขาราวกับกระต่ายที่ถูกเหยียบหาง ห้อทะยานอย่างต่อเนื่อง ปากก็ร้องโหยหวน
“ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว…” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม มองเห็นคนรอบด้านที่ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นจึงยิ่งออกแรงวิ่งสุดแรงเกิด
เซวี่ยเหมยที่อยู่กลางอากาศไม่ได้ลงมือ เวลานี้นางกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดินก้าวเข้าไปในถ้ำ มองขวดเลือดขวดนั้น จิตสังหารในดวงตาโชนแสงขึ้นอีกครั้ง เนิ่นนานถึงได้สะกดกลั้นลงไปได้ รีบโคจรค่ายกล เพื่อไม่ให้ขวดเลือดเสียหายเนื่องจากปราณเลือดลดไปเป็นจำนวนมาก
เวลาเดียวกันนั้น ตลอดทั้งพื้นที่นิ้วส่วนล่างยอดเขาจงเฟิงเต็มไปด้วยความโกลาหล เสียงกรีดร้องของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงคำรามเกรี้ยวกราดของทุกคนประสานรวมเข้าด้วยกัน ดังสะท้อนไปสี่ทิศ
“ไอ้หมอนี่ทำไมถึงได้วิ่งเร็วขนาดนี้!”
“วันนี้ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!!”
“เย่จั้ง หากเจ้าไม่ตาย ข้าเสินซ่วนจื่อไม่ยอมเลิกรา!”
เสียงตูมๆๆ ดังอย่างต่อเนื่อง นักพรตสร้างฐานรากเหล่านี้ไล่กวดโจมตีไม่หยุด ทว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนเร็วเกินไป อีกทั้งยอดเขาจงเฟิงก็ใหญ่มาก เขาหนีวนไปวนมารอบเขาจงเฟิง ครึ่งชั่วยามต่อมา นักพรตสร้างฐานรากเหล่านี้ต่างก็ค้นพบอย่างอึดอัดขัดใจว่าพวกเขาไล่ตามไม่ทัน ป๋ายเสี่ยวฉุนหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว
“เขาต้องไปซ่อนตัวอยู่แน่นอน!”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะซ่อนตัวได้ตลอดชีวิต”
“ไม่เป็นไร ต่อให้ข้าเสินซ่วนจื่อจะได้รับบาดเจ็บ ยังไงก็ต้องพยากรณ์ให้ได้ว่าคนผู้นี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน!” ขณะที่ทุกคนหาป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เจอ พากันฮึดฮัดเสียงเย็นอยู่นั้น เสินซ่วนจื่อกัดฟันกรอด เริ่มคำนวณทันที
ผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาของเขาก็ยิ่งแดงก่ำ เมื่อมือขวายกขึ้นชี้ออกไปไกล บนปลายนิ้วของเขาก็มีผีเสื้อสีเลือดตัวหนึ่งบินออกมา ผีเสื้อตัวนี้พลันบินออกไปไกลทันที นัยน์ตาทุกคนเผยความเหี้ยมเกรียม ห้อทะยานตามผีเสื้อไป
ยามนี้ ด้านหลังถ้ำสถิตที่ลับสายตาคนแห่งหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียดอย่างไร้สิ่งใดเปรียบ เขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือกๆ
“ข้าเองก็ไม่รู้นี่นาว่านั่นคือถ้ำของเซวี่ยเหมย ข้านึกว่าไม่มีใครใช้ ไม่อยากปล่อยให้เสียเปล่า ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์เสีย ใจคิดจะต่อต้าน แต่พอนึกได้ว่าอีกฝ่ายมีคนมากขนาดนั้น…จึงยิ่งกลุ้มใจเข้าไปใหญ่ และทันใดนั้นเขาก็มองเห็นผีเสื้อสีเลือดตัวหนึ่งบินมา หลังจากอึ้งไปครู่ก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที ขาทั้งคู่กระทืบลงบนพื้นแรงๆ หนึ่งครั้งดังตูมก็กระโดดทะยานออกไปไกล
และชั่วขณะที่เขาดีดตัวออกไปนั้นเอง พื้นที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ เวทคาถามากมายกระแทกลงมาโครมคราม หากไม่เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งหนีได้ไว ช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ยามนี้ต้องเจ็บหนักแน่นอน
และขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกระโดดผลุงออกมา เงาร่างของนักพรตสร้างฐานรากมากมายก็มาถึงอย่างรวดเร็ว คิดจะขัดขวางเขา ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วยิ่งยวด รีบเปลี่ยนทิศทาง ห้อตะบึงสุดกำลัง
ไม่นานการไล่ล่ารอบใหม่ก็เกิดครั้งอีกครั้งบนเขาจงเฟิง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ขณะที่ทุกคนหาป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เจออีกครั้ง เสินซ่วนจื่อก็ทำมุทราคำนวณด้วยความภาคภูมิใจ ผีเสื้อสีเลือดอีกตัวบินออกไป พาทุกคนไปตามหาป๋ายเสี่ยวฉุน
“เจ้าเย่จั้งผู้นี้ เขาหนีไม่พ้นหรอก วิชาเจตนารมณ์ฟ้าดินของข้าเสินซ่วนจื่อ มีหรือจะปล่อยให้เขาหลีกหนีพ้น!”
ครั้งแล้วครั้งเล่า ป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่าไม่ว่าตัวเองจะไปหลบอยู่ที่ไหน ไม่นานก็จะต้องมีผีเสื้อสีเลือดตัวหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเวทคาถาของทุกคนที่พุ่งเข้าใส่
เขาเองก็ได้ยินคำพูดของเสินซ่วนจื่อจากในกลุ่มคนอย่างชัดเจน รู้ว่าคนคนนี้ถนัดการพยากรณ์ คำนวณหาจุดที่ตนอยู่ได้ ในใจเขาเคียดแค้นยิ่งนัก ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ แม้เย่จั้งตัวปลอมจะเคยเรียนรู้วิชาเจตนารมณ์ฟ้าดินเช่นกัน ทว่ากลับเป็นเพียงความรู้ผิวเผินเท่านั้น ไม่สามารถต่อกรกับเสินซ่วนจื่อได้เลย
“คนที่นี่เลวร้ายเกินไปแล้ว สำนักธาราเทพของข้านั่นแหละดีที่สุด…ที่นั่นต่อให้มีสายฟ้าฟาดผ่า ต่อให้มีฝนกรดตกลงมา ก็แค่โยนหินใส่ข้าเท่านั้น แต่คนที่นี่ เรื่องเล็กแค่นี้กลับจะฆ่าจะแกงกันขึ้นมาจริงๆ รังแกกันยิ่งนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ คิดถึงสำนักธาราเทพอย่างสุดซึ้ง
——