Skip to content

A Will Eternal 201

บทที่ 201 ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน…

ตอนที่ฟ้าใกล้จะสว่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนระแวดระวังไปตลอดทาง มองเห็นว่าจะหนีออกไปพ้นยอดเขาจงเฟิงได้แล้ว ทว่ายามนี้เอง ผีเสื้อสีเลือดอีกหนึ่งตัวก็มาปรากฏกายอยู่ด้านหน้าเขา

หลังจากมองเห็นผีเสื้อ ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังตากระตุกทันควัน ไร้ซึ่งความลังเลใด หันขวับเปลี่ยนทิศทาง เสียงอึกทึกดังสะท้อน เสียงฮึดฮัดเย็นชาดังออกมาจากรอบด้าน

“คิดจะหนีออกจากเขาจงเฟิง ไม่มีทาง!”

“เย่จั้ง นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยต้องการให้เจ้าตาย ฆ่าเจ้าแล้ว แน่นอนว่านางยอมช่วยออกหน้าให้ เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!”

นักพรตสร้างฐานรากหลายสิบคนรอบด้าน แต่ละคนไอสังหารอบอวล ทั้งยังมีประกายแสงจากอาวุธวิเศษเปล่งประกายระยับ ทุกคนพร้อมใจกันลงมือ คิดจะโอบล้อมสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน

มองเห็นว่าคนรอบด้านโอบล้อมเข้ามา ไม่สามารถหนีได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด ดวงตาเผยให้เห็นเส้นเลือดฝอย

“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามแค้นเคือง ในสมองมีวิชาอภินิหารของบทเนื้อคงกระพันลอยขึ้นมา…ชนาเขย่าภูเขา!

วิชาอภินิหารนี้มีเพียงฝึกเนื้อคงกระพันขั้นที่หนึ่งสำเร็จแล้วเท่านั้นถึงจะเอาออกมาใช้ได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่สามารถร่ายใช้ ทว่ากลับคอยฝึกฝนให้ชำนาญอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา ยามนี้เนื่องจากเนื้อคงกระพันบทแรกฝึกสำเร็จ เขาจึงถือโอกาสเอาออกมาใช้เสียเลย

“วิชาของสำนักธาราเทพเอามาใช้ไม่ได้ คนพวกนี้คิดจะฆ่าข้า อันที่จริงข้าก็ฆ่าพวกเขาได้เหมือนกัน เพียงแต่ข้าตัวคนเดียว ยังไงก็เสียเปรียบ…” มองดูเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดดาล ทว่าในใจกลับกำลังครุ่นคิดว่าควรจะหนีอย่างไร ยามนี้จึงคำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง เลือดเนื้อทุกก้อนตลอดร่างสั่นสะท้าน ความเร็วระเบิดออกในบัดดล

การระเบิดประเภทนี้คือการกระตุ้นกำลังทุกด้านของร่างกายในระยะเวลาอันสั้น ให้มันก่อตัวออกมาเป็นพลังพุ่งชน ทำลายทุกสิ่งให้ย่อยยับ สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

หลังจากโคจรวิชา แสงสีเลือดตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโหมซัดสาด เสียงตูมดังหนึ่งครั้งก็พุ่งตัวออกไป ความเร็วนั้นเร็วมากจนพริบตาเดียวก็หายวับไม่เหลือเงา และนักพรตสร้างฐานรากคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าเขา เพิ่งจะร่ายเวทคาถาก็ต้องเปล่งเสียงร้องโหยหวน ร่างถูกป๋ายเสี่ยวฉุนชนโครมเข้าใส่พร้อมกับนักพรตสร้างฐานรากอีกสามคนที่อยู่ข้างกายเขา คนทั้งสี่ราวกับกลายมาเป็นร่างเดียวกัน กระเด็นออกไปในรัศมีสิบกว่าจั้ง

ภายใต้การพุ่งชนของป๋ายเสี่ยวฉุน นักพรตสร้างฐานรากทั้งสี่คนนี้กระอักเลือดกันหมด ถอยกรูดต่อเนื่อง สีหน้าพรั่นพรึง เผยความหวาดกลัวและตื่นตะลึง จนกระทั่งถูกชนกระเด็นออกไปไกลร้อยจั้ง คนทั้งสี่ก็กระอักเลือดอีกครั้ง บนร่างระเบิดพลังมหาศาล แต่กลับถูกเหวี่ยงกระชากออกไปอย่างแรง

ทุกคนรอบด้านสำลักลมหายใจ มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่พุ่งเข้าชนจนเกิดเป็นทางเส้นยาว ยามนี้สะบัดร่างหนึ่งครั้ง พริบตาเดียวก็ลงไปจากเขาจงเฟิง จิตใจพวกเขาสั่นเยือก

“เจ้าเย่จั้งผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ!!”

“เขาคือสร้างฐานรากขั้นต้นแน่หรือ?”

“เมื่อครู่ศิษย์พี่โจวที่ถูกเขาพุ่งเข้าชน คือสร้างฐานรากขั้นกลางเชียวนะ!”

“ในเมื่อล่วงเกินคนผู้นี้ก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาหนีไปได้อีก ไหนๆ นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยก็เอ่ยปากแล้ว ยังไงคนผู้นี้ก็ต้องตาย!” ทุกคนมองหน้ากันไปมา เสินซ่วนจื่อกัดฟันกรอด ไล่ตามไปเป็นคนแรก คนอื่นๆ อีกหลายสิบก็ดวงตาเปล่งประกาย ไล่กวดไปอีกครั้ง

คนทั้งกลุ่มไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะที่ห้อตะบึงอยู่ในสำนักธาราโลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับไปมองหนึ่งครั้ง พบว่าคนพวกนี้ตามประชิดกัดไม่ปล่อยก็ให้ขัดเคืองอย่างมาก จากนั้นจึงกัดฟันกรอด

“ไปเขาซือเฟิง! ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงเห็นความสำคัญของข้า ข้าไปยอดเขาของเขา ตามกฎของสำนักแล้ว ผู้พิทักษ์ของยอดเขาจงเฟิงเหล่านี้ไม่มีป้ายคำสั่งก็ไม่มีทางเข้าไปได้!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววเด็ดเดี่ยว หันขวับกลับไปชี้หน้าพวกนักพรตสร้างฐานรากเขาจงเฟิงเหล่านั้น

“พวกเจ้าแน่จริงก็ห้ามไปไหน ตามนายท่านเย่ของเจ้าให้ได้ตลอดนะ ใครไม่ตามมาคนนั้นเป็นหมา!” คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งทำให้ไอสังหารในดวงตานักพรตสร้างฐานรากพวกนั้นเพิ่มทวี ไล่กวดเร็วมากขึ้น

แม้ว่าพวกเขาจะเร็ว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเร็วยิ่งกว่า ห้อทะยานตรงไปที่เขาซือเฟิงทันที

ไม่นานก็มาถึงเขาซือเฟิง ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง แผ่นหยกแผ่นหนึ่งก็ปรากฏออกมา คลื่นของค่ายกลเขาจงเฟิงกวาดมาที่ร่างเขา ไม่ได้ขัดขวาง ทว่าพวกผู้พิทักษ์สร้างฐานรากเขาจงเฟิงที่ตามหลังเขามากลับไม่มีสิทธิ์นี้ จึงถูกขัดขวางให้อยู่ด้านนอกเขาซือเฟิงทันที

“เย่จั้ง!!” คนพวกนี้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จ้องเขม็งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่เหยียบย่างเข้าไปในเขาซือเฟิง

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็เชิดคางขึ้น หยุดชะงักแล้วมองคนพวกนั้นที่อยู่นอกเขาซือเฟิงด้วยท่าทางได้ทีขี่แพะไล่

“มาสิ ข้ารอพวกเจ้าอยู่ในนี้ มาๆๆ พวกเรามาต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนวางอำนาจบาตรใหญ่เต็มที่ หลังจากเอ่ยปากอย่างโอหัง กลุ่มคนที่อยู่นอกเขาซือเฟิง แต่ละคนยิ่งเต็มไปด้วยไอสังหาร ทว่ากลับจนใจ ไม่มีป้ายคำสั่งพวกเขาก็เข้าไปในเขาซือเฟิงไม่ได้ จำเป็นต้องไปยื่นเรื่องขอก่อน

“เฮ้อ ในเมื่อพวกเจ้าไม่กล้ามาสู้กับข้า ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวอย่างปลงตก ไม่สนใจพวกผู้พิทักษ์เขาจงเฟิงที่ถูกเขาพูดจาเสียดสีอีก สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เดินขึ้นไปบนเขาซือเฟิง

ฉากไล่ฆ่าอลหม่านครั้งนี้ ระดับสูงของสำนักธาราโลหิตก็จับตามองอยู่เช่นกัน แต่ไม่คิดจะห้ามปราม ผู้อาวุโสไท่ซ่างบางส่วนบนเขาจู่เฟิงที่มองเห็นภาพนี้ยังถึงขนาดรู้สึกว่าน่าสนใจมากด้วยซ้ำ

“ในสำนักไม่ได้คึกคักอย่างนี้มานานแล้ว พลังพุ่งชนนั่นดูคล้ายวิชาของเขาเส้าเจ๋อเฟิงอยู่ไม่น้อย”

“เจ้าเด็กเย่จั้งนี่น่าสนใจไม่เบา ถึงขนาดยั่วยุให้คนมากมายขนาดนี้ไล่ฆ่าได้”

“เจ้าเด็กนี่ไม่เลวเลย หนีเอาตัวรอดไปที่เขาซือเฟิงได้ หากวันหน้าเด็กผู้นี้ไม่ตาย ไม่แน่ว่าอาจกลายมาเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนหนึ่งของสำนักธาราโลหิตเรา”

บนเขาซือเฟิง ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อตะบึงไปตลอดทาง ระหว่างทางเมื่อพบผู้พิทักษ์ของเขาซือเฟิงเขาก็จะหยิบแผ่นหยกออกมาทันที นักพรตสร้างฐานรากเหล่านั้นของเขาซือเฟิงกวาดสายตามองแค่ครั้งเดียวก็ไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีก

และก็เป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งจากตีนเขามาจนถึงเขตนิ้วส่วนบน ระหว่างทางยังเห็นศพหลอมจำนวนไม่น้อย เขารู้สึกว่าตลอดทั้งเขาซือเฟิงเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว

ยังดีที่มีแผ่นหยกคอยคุ้มกันจึงไม่เกิดอันตรายใดๆ จนกระทั่งมาถึงนอกถ้ำสถิตของผู้อาวุโสใหญ่แห่งเขาซือเฟิง

“เย่จั้งขอพบผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิง” มาถึงที่นี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบประสานมือคารวะ เอ่ยเรียกเสียงดัง ไม่นานนัก ถ้ำก็เปิดออก มีเด็กรับใช้สองคนเดินออกมา

เด็กรับใช้สองคนนี้มองป๋ายเสี่ยวฉุน แสดงท่าทีให้เขาตามเข้าไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดเดียวก็มองออกว่าเด็กรับใช้สองคนนี้ต่างก็เป็นศพหลอม ในใจตื่นเต้น สูดลมหายใจเข้าลึก ครุ่นคิดว่าตัวเองหนีมาหลบภัย ดังนั้นจึงเผยสีหน้าท่าทางอ่อนน้อมออกมา เดินตามเข้าไปในถ้ำ ไม่นานนัก ก็มองเห็นผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน

ยามนี้ผู้อาวุโสมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยรอยยิ้มยิบหยี นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววขบขัน เห็นได้ชัดว่าภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกไล่ฆ่าก่อนหน้านี้ เขาก็สังเกตเห็นเช่นกัน

“เป็นอย่างไร เขาซือเฟิงของข้าดีใช่ไหมล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าผู้อาวุโสก็บอกเจ้าไปแล้ว มาที่เขาซือเฟิงของข้า ทุกอย่างมีครบหมด เขาจงเฟิงนั่นมีแต่ความวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ” ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ข้างกายผู้อาวุโสใหญ่คนนี้มีดุรณีน้อยอยู่นางหนึ่ง สีหน้าของนางไร้อารมณ์ กำลังช่วยบีบนวดไหล่ให้เขา ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองหนึ่งครั้งก็ดูออกว่านี่คือศพหลอมตนหนึ่ง อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าเป็นระดับที่ไม่ธรรมดาด้วย

เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมบนร่างของอีกฝ่ายถึงไม่มีขน กำลังครุ่นคิดว่าหรือบางทีมันอาจจะไปขึ้นในจุดอื่น…ใจอยากลองศึกษาดู ทว่าไม่กล้าถามมาก ยามนี้ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบทำท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมทันที

“คนพวกนั้นทำกันเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ฝึกวิชาเท่านั้น พวกเขาไม่ให้ข้าฝึก แถมยังไล่ฆ่าข้าด้วย หากไม่เป็นเพราะข้าวิ่งได้เร็ว ชีวิตน้อยๆ นี่คงหายไปแล้ว!”

ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ

“นี่คือประเพณีสืบทอดของสำนักธาราโลหิตเรา พวกเขาไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ หรอก อย่างมากก็แค่ทำให้เจ้าเจ็บหนักเท่านั้น แต่ว่า…สามารถให้คนมากมายขนาดนั้นไล่ฆ่าได้ เรื่องนี้ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนักในสำนักธาราโลหิตของเรา”

“แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าคือหน่ออ่อนที่ดีซึ่งมีความเป็นมารอยู่ในตัว ช่างเถอะ เจ้ามาอยู่ที่เขาซือเฟิงของข้าก็แล้วกัน อย่ากลับไปเลย” ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงยิ่งมองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งชื่นชม ยามนี้จึงพูดชักชวน

ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าผู้อาวุโสใหญ่ของเขาซือเฟิงผู้นี้ช่างดีกับตัวเองยิ่งนัก ตัวเองยังไม่ทันเอ่ยปาก อีกฝ่ายก็เสนอขึ้นมาเอง ยามนี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึก รีบพยักหน้า

“แล้วก็อีกอย่าง หากเป็นผู้พิทักษ์สร้างฐานรากคนอื่นก็ยังไม่เท่าไหร่ เจ้าอย่าได้ไปหาเรื่องเซวี่ยเหมยเชียว ภูมิหลังของนางในสำนักธาราโลหิตยิ่งใหญ่มาก เจ้า…หลบได้ก็หลบ อย่าไปยั่วยุให้นางอารมณ์เสียอีกเด็ดขาด” ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย ในใจคิดว่าหากไม่ใช่เพราะตนต้องการทำตัวสงบเสงี่ยมล่ะก็ มิฉะนั้นหากตนเปิดเผยตัวตนว่าเป็นลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ เป็นลำดับผู้สืบทอดที่แน่นอน เป็นสร้างฐานรากวิถีฟ้าของสำนักธาราเทพ ไม่ว่าตัวตนใดก็สามารถทำให้นางหนูจอมเกเรอย่างเซวี่ยเหมยตกใจจนหน้ากากหลุดลงมาได้

“หึ นางจะมีภูมิหลังใหญ่สู้ข้าได้หรือ? ภูมิหลังของข้ายิ่งใหญ่เสียจนแม้แต่ตัวข้าก็ยังกลัว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ มีความรู้สึกเหมือนตัวเองสวมอาภรณ์เลิศหรูงดงาม แต่ดันออกมาเดินยามวิกาล

ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงมองออกถึงความไม่ยินยอมของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหัวเราะออกมา ไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อ แต่คว้าตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ซักถามเรื่องธูปหอมที่ใช้หลอมศพอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฟ้าค่อยๆ มืดลง ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงถึงได้ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไป ส่วนตัวเองศึกษาต่อด้วยความฮึกเหิม

เด็กรับใช้ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนพาเขาไปที่ถ้ำสถิตแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงนิ้วส่วนล่าง มองเห็นถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทอดถอนใจ ที่แห่งนี้ดีกว่าถ้ำของเขาบนเขาจงเฟิงมากมายนัก

เวลาผันผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปแล้วสองเดือน สองเดือนมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ไปจากเขาซือเฟิงเลยแม้แต่ครั้งเดียว อยู่ที่นี่เขาก็ฝึกบำเพ็ญตบะ สูดเอาปราณเลือดมาเช่นกัน ทุกครั้งที่สูดก็จะต้องมีปราณเลือดเข้มข้นปกคลุมไปสี่ทิศ

โดยเฉพาะหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฝึกฝนการสูบเลือดได้ชำนาญมากขึ้น ปราณกระบี่คงกระพันของเขาก็ยิ่งมากขึ้น ทุกครั้งที่บำเพ็ญตบะ ท่ามกลางปราณเลือดนอกร่างที่ตลบอบอวล กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ กำลังก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

และก็ด้วยเหตุนี้ ปริมาณปราณเลือดที่จำเป็นจึงยิ่งมหาศาลมากขึ้น ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่จำเป็นต้องไปเดินเตร็ดเตร่อย่างเมื่อครั้งที่อยู่บนเขาจงเฟิงอีกแล้ว อยู่ในถ้ำของตัวเองเขาก็สามารถกระตุ้นเรียกปราณเลือดจากรอบด้านมาให้รวมกันได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้พิทักษ์สร้างฐานรากที่อยู่ตรงส่วนนิ้วด้านล่างของเขาซือเฟิงต่างก็พากันขมวดคิ้วมุ่น แม้ปราณเลือดจะไม่ลดลงฮวบฮาบเช่นที่เขาจงเฟิง ทว่าปราณเลือดนี้กลับลดลงทุกเวลานาที ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนสูบเอาไปต่อเนื่อง ทำให้การฝึกบำเพ็ญตบะของพวกเขาช้าลงไปด้วย

ทุกคนหงุดหงิดในตัวป๋ายเสี่ยวฉุน ถึงขั้นมีใจอยากสังหาร หลังจากที่อารมณ์เช่นนี้แผ่กระจายออกไปถึงระดับหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้เช่นกัน เวลาออกไปข้างนอกเขามักจะมองเห็นสายตาไม่เป็นมิตรของคนเหล่านั้น เขามีความรู้สึกว่าหากตัวเองเลยเถิดกว่านี้อีกสักนิดก็คงจุดไฟสังหารของคนพวกนี้ได้เลย

“คนที่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว พูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ลงไม้ลงมือ ไม่มีความอดทนกันเลยสักนิด…”

“ข้ากลับไปดีกว่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มเครียด ไตร่ตรองว่าผ่านไปสองเดือนทางฝ่ายเขาจงเฟิงก็น่าจะหยุดกันแล้ว ดังนั้นจึงกัดฟัน ไปจากเขาซือเฟิง ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนสนใจ กลับไปยังถ้ำที่ภูเขาจงเฟิงอย่างเงียบเชียบ

เขาบำเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำอย่างระมัดระวัง ไม่สูดเอาปราณเลือดมามากเกินไปนัก แม้ว่าตบะจะเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า ทว่าตอนนี้มองเห็นว่าจะฝึกกระบี่โลหิตสำเร็จแล้ว จึงไม่สนใจว่าจะช้าหรือเร็ว

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน วันนี้ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหลับตาฝึกวิชากระบี่โลหิต ร่างของเขาพลันสั่นเยือก เขาสัมผัสได้ว่าบัดนี้โลหิตปลิดโลกาของตน ในที่สุดก็ฝ่าทะลุขั้นได้แล้ว!

ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาโชนแสงแรงกล้า มือทั้งคู่ทำมุทราชี้ไปด้านหน้าหนึ่งครั้ง!

“โลหิตปลิดโลกา!” ตามหลังเสียงของเขาที่ดังก้อง ปราณเลือดรอบด้านโหมซัดสาดทันที ปราณเลือดในร่างของเขาก็ยิ่งแผ่ซ่านออกมาด้านนอก ทำให้เกิดเป็นหมอกสีเลือดลอยโขมงอยู่ในถ้ำ

หมอกเหล่านี้ซัดกลิ้งไล่หลังกันต่อเนื่อง ทั้งยังระเบิดความแหลมคมออกมา ท่ามกลางการร่ายคาถาด้วยมือทั้งสองข้างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เปลี่ยนแปลงไปมา หมอกเหล่านี้บีบอัดเข้าหากันอย่างบ้าคลั่ง ส่งเสียงปังปังดังสนั่นหวั่นไหว

ไม่นานก็เข้ามารวมตัวกัน ปรากฏเป็นปลายกระบี่ จากนั้นปราณเลือดก็เกาะกันขึ้นเป็นตัวกระบี่ แผ่ขยายทอดยาวออกไปอย่างรวดเร็ว มาถึงโกร่งกระบี่ แล้วปราณเลือดก็ก่อตัวเร็วจี๋จนกลายมาเป็นด้ามกระบี่!!

สุดท้ายกระบี่เล่มใหญ่สีเลือดเล่มหนึ่งก็เผยกายออกมา!

กระบี่ใหญ่นี้เป็นสีชาดตลอดเล่ม อานุภาพเกรียงไกรคล้ายสามารถทำลายกำแพงเหล็กที่แข็งแกร่งได้ รูปร่างไม่เพียงแต่โบราณและเรียบง่าย ทั้งยังแผ่พลานุภาพสยบรุนแรง น่าอกสั่นขวัญหาย ขณะเดียวกันแค่มองปราดเดียวก็ทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรเลือด จนป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่เหนือล้ำเกินขั้นต้นของสร้างฐานรากไปแล้ว

โดยเฉพาะหากเพิ่มพลังวิถีฟ้าหนึ่งเส้นที่อยู่ในกายของป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไป เขาก็เชื่อว่าต่อให้เป็นสร้างฐานรากวิถีดินขั้นกลาง เมื่อมาอยู่ต่อหน้าตนก็ต้องหวาดผวาไปตามๆ กัน

“สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าบานเป็นกระด้ง เต้นแรงเต้นกา มองกระบี่โลหิตด้านหลัง ตื่นเต้นจนไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบาย ความรู้สึกเช่นนั้นคือความฮึกเหิมที่เกิดขึ้นหลังจากที่ตนต้องทนลำบากลำบนมาหลายเดือน

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ก็รีบเก็บเสียง ทอดถอนใจที่ตัวเองตื่นเต้นจนเกือบจะลืมไปแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน ขณะที่กำลังส่ายหัว ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เหลือกถลน เอามือขึ้นมาอุดปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว มองเหม่อไปยังมุมหนึ่งของถ้ำ…

เหงื่อเย็นๆ…ไหลริน

——

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version