Skip to content

A Will Eternal 354

บทที่ 354 ชี้ไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนบอกให้กลุ่มคนที่ลาดตระเวนแยกย้ายกันไป ในใจของผู้เฒ่าก็คลายลงได้ในที่สุด เขารู้ว่าตัวเองน่าจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสนใจได้แล้ว และก็ถือว่าได้สร้างความสัมพันธ์ต่อกันอย่างแท้จริง

“ไม่กล้าพูดว่าทุกเรื่อง แต่พูดได้ว่าเรื่องส่วนใหญ่ ไม่มีอะไรที่แดนทุรกันดารของเราไม่รู้ สายลับของเรามีอยู่ทั่วทุกแห่งในแผ่นดินใหญ่ทงเทียน ไม่ว่าจะเป็นต้นน้ำ แม่น้ำตอนกลาง หรือว่าตอนล่างก็ล้วนมีคนของเราอยู่!” สำหรับคำถามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถามมา ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย นี่เป็นประโยคแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยถาม หลังจากที่เขาครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วก็ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ก็ยังฟังออกถึงความภาคภูมิใจ เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจในด้านการรายงานข่าวของตัวเองอย่างมาก

“ดี ข้าจะถามถึงคนคนหนึ่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงันไปครู่ก็เอ่ยปากเนิบช้า

“ตบะอะไร?” ผู้เฒ่าถามทันที

“น่าจะสร้างฐานราก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนตอบ

“ตบะสร้างฐานราก? เรื่องนี้ง่ายเลยล่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน เอาอย่างนี้ ครั้งนี้ข้าให้เปล่า ไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ จากเจ้า บอกชื่อของคนผู้นี้มาสิ แล้วก็เจ้าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเขา” ผู้เฒ่าผ่อนลมหายใจอยู่ในใจอีกครั้ง พูดอย่างสบายๆ สำหรับแดนทุรกันดารที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งในแผ่นดินใหญ่ทงเทียนแล้ว คิดจะรู้ข่าวของนักพรตสร้างฐานรากสักคน แม้ว่านักพรตสร้างฐานรากจะมีอยู่เยอะมาก ทว่ากลับไม่มีความเสี่ยงอะไร จึงถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นเล็กน้อย มองเงาผู้เฒ่ากล่าวอย่างมั่นใจถึงเพียงนี้ ในใจเขาก็เริ่มมีความหวัง ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปากทันที

“คนผู้นี้ชื่อตู้หลิงเฟย นาง…ตอนแรกที่อยู่ในสำนักธาราเทพ นางใช้ชื่อนี้ และก็เคยปรากฏตัวในการประลองบุตรโลหิตของสำนักธาราโลหิตหนึ่งครั้ง ข้าอยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง!!”

“ให้หาตัวตนของคนผู้นี้? ต่อให้เจ้าจะรู้แค่สองข้อนี้ ทว่าขอแค่คนผู้นี้เคยมีตัวตนอยู่จริง พวกเราก็สามารถตรวจสอบให้ได้ เจ้ารอสักครู่!” ผู้เฒ่าควันดำหัวเราะอย่างสง่างาม ร่างกายพลันพร่าเลือนแล้วหายวับไป คล้ายว่ากลับไปที่แดนทุรกันดารเพื่อทำการสื่อสารและเริ่มการค้นหา

ส่วนเฉินม่านเหยา เวลานี้นางหลับตาสนิท ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของผู้เฒ่าได้ทำให้นางตกอยู่ในตราผนึกบางอย่าง หากไม่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะทำให้วิญญาณของนางเสียหายจนมิอาจแก้ไขได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก รอคอยอย่างสงบ เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ออกมาเสียที ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มร้อนรนเล็กน้อย

แล้วก็ผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป ทันใดนั้นร่างของเฉินม่านเหยาก็สั่นเยือก ควันดำลอยออกมาจากกลางหว่างคิ้ว แล้วก่อตัวขึ้นเป็นเงาร่างของผู้เฒ่าอยู่เบื้องหน้านางอีกครั้ง

เพียงแต่ว่าครั้งนี้ใบหน้าของผู้เฒ่าซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววแปลกประหลาด หรืออาจเรียกได้ว่าเคว้งคว้างด้วยซ้ำ

“เป็นอย่างไรบ้าง มีคำตอบหรือไม่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถาม

“เอ่อ…เจ้าเปลี่ยนคำถามเถอะ” ผู้เฒ่ามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความลังเล

“หา? เมื่อครู่เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าคำถามนี้ง่ายมาก ก็แค่ตามหาคนคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ทำไม หาไม่เจองั้นรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ กล่าวด้วยความเดือดดาล

ผู้เฒ่ายิ้มเจื่อน นัยน์ตาที่เลื่อนลอยมีความหวาดกลัวเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งเสี้ยว เงียบงันไปครู่ใหญ่สุดท้ายเขาก็ส่ายหัว

“หาไม่ได้จริงๆ”

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลง หลังจากมองผู้เฒ่าหนึ่งครั้งก็หยิบเอาถุงเก็บของออกมากะทันหัน

“เจ้าเต่าน้อยอยู่ข้างในนี้ ข้าหามันไม่เจอ แต่ข้ารู้ว่ามันยังอยู่ ข้ามอบมันให้พวกเจ้า เจ้าจงสืบหาตัวตนของตู้หลิงเฟยให้แก่ข้า!”

“เจ้าเปลี่ยนคำถามเถอะ ผู้หญิงคนนี้…ข้าผู้อาวุโสตามหาให้เจ้าไม่ได้จริงๆ เมื่อครู่นี้เพียงแค่ข้ากลับไปบอกให้คนตามหา ผลคือทั้งเมืองสั่นสะเทือน ทั้งยังชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินด้วย ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ…สายลับของพวกเราที่อยู่ด้านนอก อยู่ๆ กลับมีหลายคนที่ตายไปอย่างไร้สาเหตุ!

เป็นแบบนี้แล้วข้าจะหาให้เจ้าอีกได้อย่างไร คนผู้นี้ที่เจ้าเอ่ยถึงหากไม่ลึกลับอย่างถึงที่สุด ก็ต้องมีภูมิหลังยิ่งใหญ่จนมิอาจจินตนาการได้ ทางที่ดีที่สุดเจ้า…อย่าไปมีเรื่องด้วยเลย หรือให้ดีกว่านั้นคือไม่ต้องเจอกันอีกตลอดกาล”

ผู้เฒ่ามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำแล้วยิ้มเจื่อนอีกครั้ง เขาไม่ได้โกหกป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อครู่ตอนที่กลับไปสืบหามีการเปลี่ยนแปลงสะท้านฟ้าสะเทือนดินเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ในใจเขาเองก็กลัดกลุ้ม แล้วก็รู้สึกเหลือเชื่อกับการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ถามคำถามง่ายๆ แต่กลับชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลเช่นนี้ อีกทั้งยังมีความรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ช่างลึกลับไม่น้อย

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน ในใจมีคลื่นยักษ์ถาโถมอีกครั้ง เขามองออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก ผ่านไปครู่ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปที่ผู้เฒ่าอีกครั้ง

“ไม่มีเบาะแสอะไรสักนิดเลยหรือ?”

เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนดึงดันถึงเพียงนี้ ผู้เฒ่าจึงลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาอยากรักษาความสัมพันธ์กับป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ดังนั้นจึงกัดฟันกรอดพลันเอ่ยว่า

“เบาะแสมีเพียงข้อเดียว เมื่อครู่ในบรรดาสายลับที่ตายไป มีเกินครึ่ง…ที่ตายอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา! ส่วนนี่จะหมายถึงอะไร เจ้าคงต้องพิจารณาเอาเอง!”

ผู้เฒ่าพูดจบก็ประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง

“หากเจ้าอยากติดต่อกับข้า สามารถติดต่อผ่านทางหน้ากากได้ตลอดเวลา หากไม่วางใจก็ติดต่อผ่านทางเหยาเอ๋อร์ แม้ว่าเหยาเอ๋อร์จะเป็นสายลับ ทว่าไม่มีเจตนาร้ายต่อสำนักสยบธาร ขอสหายนักพรตโปรดเมตตานางด้วย…”

คำพูดของผู้เฒ่าแฝงไว้ด้วยความวิงวอน จากนั้นจึงกลายร่างเป็นควันสีดำหายกลับเข้าไปกลางหว่างคิ้วของเฉินม่านเหยา

ร่างเฉินม่านเหยาสั่นเยือก หลังจากลืมตาขึ้นนางก็มองมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ทำท่าคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับไม่ได้เปิดปาก เลือกที่จะค้อมตัวคารวะหนึ่งครั้งแล้วกลับเข้าไปในถ้ำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่กลางอากาศ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มองจันทร์กระจ่าง เขานึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย

“สายลับในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราตายไปมากที่สุด…นี่จะเป็นการบอกได้หรือไม่ว่าตัวตนของตู้หลิงเฟย สามารถหาเบาะแสได้จากในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา”

“ตู้หลิงเฟย เจ้าเป็นใครกันแน่…”

“ปล่อยให้ข้าตามหาอยู่แบบนี้ ข้าเหนื่อยมากนะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจส่ายหัว เดิมทีตู้หลิงเฟยได้กลายเป็นอดีตสำหรับเขาไปแล้ว แต่ทว่ามักจะมีเส้นใยบางๆ ลึกลับที่คอยผูกมัดอยู่ในใจของเขา มิอาจลบเลือน

ท่ามกลางความเงียบงัน ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนตัวกลับไปที่เขาสยบธาร ไม่ได้กลับไปที่ถ้ำของตัวเอง แต่ไปหาเจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตง

สำหรับเรื่องของเฉินม่านเหยา เรื่องของแดนทุรกันดาร หรือแม้แต่เรื่องหน้ากาก ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าตัวเองมิอาจปิดบังต่อไปได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดเผยสายลับออกมาแล้ว ถ้าเช่นนั้นเขาก็จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้สำนักรับรู้

เช้าตรู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป เขาได้บอกเรื่องราวทั้งหมดให้ศิษย์พี่เจ้าสำนัก

เจิ้งหย่วนตงรับรู้แล้ว ส่วนเรื่องต่อจากนี้ เขาไม่อยากเข้าร่วมด้วย จะจัดการเช่นไร แน่นอนว่าย่อมต้องให้สำนักเป็นผู้ตัดสินใจ

และนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่เกินไป เจิ้งหย่วนตงเองก็ไม่อาจตัดสินใจได้โดยพลการ หลังจากที่เข้าพบบุรพาจารย์หลายท่านของสี่สาย บุรพาจารย์ทั้งสี่สายจึงเรียกตัวเฉินม่านเหยามาพูดคุย สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่ก่อให้เกิดคลื่นลมอะไร ทุกอย่างเหมือนปกติที่เคยเป็น

เฉินม่านเหยายังคงอยู่ในสำนักสยบธารเป็นเทพธิดาประจำใจของลูกศิษย์ชายแทบทุกคน และยังคงเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอยู่เช่นเดิม มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่รู้ว่าบุรพาจารย์ทั้งสี่สายย่อมต้องมีข้อตกลงบางอย่างร่วมกับอิทธิพลเบื้องหลังเฉินม่านเหยาอย่างแน่นอน

หลังจากวางเรื่องนี้ลง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มบำเพ็ญตบะต่อ ไม่ว่าจะเป็นคาถา

หันเหมินเลี้ยงความคิด หรือเอ็นคงกระพันล้วนอยู่ในช่วงดำเนินการอย่างเชื่องช้า ทว่าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลาง โดยเฉพาะตอนนี้สำนักสยบธารคือหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ ตำแหน่งที่ตั้งจึงมีปราณวิญญาณฟ้าดินที่เข้มข้นเกินกว่าตอนล่างมากมายนัก ทำให้การฝึกฝนของป๋ายเสี่ยวฉุนเร็วกว่าตอนอยู่แม่น้ำตอนล่างเยอะมาก

เช่นเดียวกัน ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ไม่ได้มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น อย่างพวกโจวซินฉีเองเมื่อได้ปิดด่านตลอดหลายเดือนมานี้ก็ทยอยกันเหยียบย่างเข้าสู่สร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบ

ที่รออยู่เบื้องหน้าของพวกเขาจึงเหลือแค่เพียงรวมโอสถเท่านั้น เพียงแต่ว่าไม่มีใครกล้ารีบร้อนรวมโอสถเฉกเช่นป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาต้องการเวลาในการเตรียมตัวอย่างน้อยสามสิบปีถึงจะเริ่มฝ่าทะลุไปยังขั้นตอนที่สำคัญยิ่งนี้

และระหว่างพวกเขาเองก็กำลังแข่งขันกันว่าใครจะได้รวมโอสถก่อน ส่วนเรื่องความขัดแย้งมากมาย ความไม่ลงรอยกัน พวกเขาก็ได้นัดหมายกันไว้ว่าหลังจากรวมโอสถแล้วจะมาแก้ไขทีเดียว

มีเพียงซ่งจวินหว่านเท่านั้นที่เป็นนักพรตรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบมานานแล้วจึงสามารถฝ่าทะลุขั้นได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ใช้การเตรียมตัวแค่ไม่กี่ปี

ขณะเดียวกันจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ รวมไปถึงพวกโหวเสี่ยวเม่ย เฮยซานพั่ง หลังจากที่ปรับตัวเข้ากับปราณวิญญาณฟ้าดินที่เข้มข้นของแม่น้ำตอนกลางได้แล้ว ตบะของพวกเขาก็ไต่ระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจางต้าพั่งที่ความเร็วพุ่งทะยานน่าตกใจมากที่สุด ตอนนี้กลายมาเป็นสร้างฐานรากขั้นกลางแล้ว

ทุกคนล้วนกำลังก้าวหน้า ตลอดทั้งสำนักสยบธารก็เป็นเช่นเดียวกัน อีกทั้งช่วงนี้ยังมีนักพรตรวมลมปราณอีกหลายกลุ่มที่ถูกส่งไปยังสถานที่ชีพจรดินของสำนักสยบธาร เพื่อเริ่มการประลองสร้างฐานรากรอบใหม่

สำนักแม่น้ำตอนกลางมีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากเป็นของตัวเอง จุดนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่แม่น้ำตอนล่างจะเทียบเคียงได้

ขณะเดียวกันกับที่สำนักเจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วัน เถี่ยตั้น…หลังจากที่หายตัวไปช่วงระยะเวลาหนึ่งก็พลันปรากฏตัวกะทันหัน

เมื่อมันมายืนอยู่นอกถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำจึงสัมผัสได้ทันที รีบเดินออกมาจากในถ้ำ มองปราดเดียวก็เห็นเถี่ยตั้น

บนร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ซึ่งบาดแผลเหล่านี้มีบางจุดที่คล้ายจะทะลุทะลวงร่างของเถี่ยตั้นไปด้วย

ทว่าสีหน้าของเถี่ยตั้นกลับคึกคักอย่างมาก ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายระยิบระยับแฝงเร้นไปด้วยแสงคมกล้าน่าหวาดหวั่น โดยเฉพาะบนร่างของมันที่ถึงขนาดมีปราณ…ซึ่งแสดงให้เห็นว่าใกล้จะฝ่าทะลุขั้นแผ่กระจายออกมา!

หลังจากที่สำนักสร้างเสร็จ เถี่ยตั้นก็หายตัวไป เรื่องนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดี เนื่องจากมีความเชื่อมโยงบางอย่างต่อกัน เขาจึงรู้ว่าเถี่ยตั้นไม่เป็นอะไร เดิมยังนึกว่ามันคงไปเกี้ยวสัตว์ตัวเมียอย่างที่เคยทำ ทว่าตอนนี้เขาถึงเพิ่งได้รู้ว่าเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ของเถี่ยตั้นประสานเข้ากับดวงตาของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเข้าใจขึ้นมาในบัดดล…ว่าทำไมเถี่ยตั้นถึงได้หายตัวไป ทำไมถึงได้กลับมาพร้อมบาดแผลมากมาย

นั่นเป็นเพราะ…หลายครั้งที่มันได้แต่มองป๋ายเสี่ยวฉุนตกอยู่ในวิกฤตโดยที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ทำให้มันรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ มิอาจปกป้องป๋ายเสี่ยวฉุนได้ มันถึงพยายามทุ่มเทอย่างสุดตัวเช่นนี้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version