Skip to content

A Will Eternal 410

บทที่ 410 เรื่องประหลาดใจของเฝิงโหย่วเต๋อ

และเวลานี้ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ป๋ายเสี่ยวฉุนไปจากศาลาปราบมารได้สิบวันแล้ว พวกจางต้าพั่งต่างก็ร้อนใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจภารกิจในครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเป็นรูปธรรมเท่าใดนัก แต่หลังจากที่จ่ายคะแนนคุณความดีจำนวนไม่น้อยไปให้กับฝ่ายต่างๆ จึงตรวจสอบจนรู้ความว่านักพรตสร้างฐานรากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องไปสังหารมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

เพียงแต่ว่าเมื่อพวกเขาพยายามติดต่อกับป๋ายเสี่ยวฉุนเพราะหวังจะบอกเรื่องทั้งหมดแก่เขา แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมถึงติดต่อป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้!

ราวกับว่าเนื่องจากเกาะหย่งต้งห่างไกลจากที่นี่เกินไป หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะสาเหตุอย่างอื่น จึงยากที่จะติดต่อกันได้

และขณะที่พวกเขากำลังร้อนใจอยู่นั้นเอง บนสายรุ้งแดนฟ้า ศาลาปราบมารหนึ่งในสิบสมาคม เจ้าศาลาที่เป็นเจินเหรินก่อกำเนิดผู้นั้นกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในตำหนักใหญ่ของศาลาปราบมาร

สำหรับเรื่องของคนกลุ่มใหม่ที่พามาก่อนหน้านี้ เขาเลิกสนใจไปนานแล้ว คนเหล่านี้จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เพราะอย่างไรซะตลอดหลายปีมานี้ลูกศิษย์ของศาลาปราบมารก็ตายไปเยอะจนเกินจะนับ

ทว่าโดยทั่วไปแล้ว เนื่องด้วยเป็นภารกิจแรก ระดับความเสี่ยงอันตรายจึงมีไม่มาก มักจะเป็นภารกิจที่มีอัตราทำสำเร็จสูง ก่อนหน้านี้เขาก็แค่ถามอวิ๋นเต้าจื่อลวกๆ เท่านั้น ไม่ทันได้ซักไซ้รายละเอียดก็กลับเข้ามาอยู่ในตำหนักใหญ่และจมจ่อมอยู่กับการฝึกบำเพ็ญตบะแล้ว

เวลานี้ขณะที่เจินเหรินก่อกำเนิดกำลังเข้าฌาน ทันในนั้นถุงเก็บของบนร่างของเขาก็มีแสงเปล่งประกาย ผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนอ่อนโยนปราณีผู้นี้พลันเบิกตาโพลง ขมวดคิ้วฉับคล้ายไม่สบอารมณ์ที่มีคนมาขัดจังหวะการบำเพ็ญตบะของตน

เมื่อก้มหน้าลงหยิบเอาแผ่นหยกออกมาจากในถุงเก็บ หลังจากกวาดพลังจิตมองผ่านหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนสี เบิกตากว้างทันทีทันใด

ผู้เฒ่าใบหน้าเมตตาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นัยน์ตาเผยความเหลือเชื่อ ทั้งยังตะลึงระคนสงสัย

“นี่คือ…ทูตทงเทียน…เรียกข้าไปพบ!!”

ทูตทงเทียนเขาพอจะรู้จักอยู่บ้าง รู้ว่าคนผู้นี้ลึกลับเกินคาดเดา ว่ากันว่ามาจากมหาสมุทรทงเทียนและหยุดพักอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราชั่วระยะเวลาสั้นๆ แม้แต่บุรพาจารย์ครึ่งเทพที่มากบารมีของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ยังเคารพยำเกรงคนผู้นี้อยู่หลายส่วน

และบุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้ก่อนหน้านั้นตนก็ได้แต่มองจากที่ไกลๆ ครั้งเดียว ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับเรียกเข้าไปพบเป็นการส่วนตัว นี่ทำให้ผู้เฒ่าผู้มีใบหน้าเมตตากระวนกระวายใจทันที และยิ่งไม่กล้าถ่วงเวลาล่าช้า จึงลุกขึ้นยืน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็สาวเท้าเดินเร็วๆ ออกไปนอกตำหนักใหญ่ กลายร่างเป็นรุ้งยาวบินขึ้นด้านบน ผ่านสายรุ้งชั้นที่สอง ตรงดิ่งขึ้นไปยังสายรุ้งชั้นที่หนึ่งซึ่งอยู่ด้านบนสุด

สถานที่แห่งนี้มีผนึกต้องห้ามดำรงอยู่ ทว่าหลังจากที่ผนึกนี้กวาดผ่านร่างของผู้เฒ่าก็สลายตัวไปทันที ยอมปล่อยให้เขาเข้าไป ทำให้ผู้เฒ่าค่อยๆ เข้าไปใกล้รุ้งชั้นที่หนึ่งพร้อมความหวาดวิตก

รุ้งชั้นที่หนึ่งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีเพียงชั้นเดียว ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็คือบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา และหลังจากที่ทูตทงเทียนมาเยือน ทูตลึกลับผู้นั้นก็ได้อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน

เวลานี้ผู้เฒ่าได้แต่ขยับเข้าไปใกล้รุ้งชั้นที่หนึ่งด้วยท่าทีกระสับส่าย ไม่กล้าเหยียบเข้าไปข้างใน ได้แต่ประสานมือคารวะโค้งตัวต่ำอยู่ด้านนอก

“เจ้าศาลาปราบมารแห่งสายรุ้งแดนฟ้า เฝิงโหย่วเต๋อขอเข้าพบท่านทูตทงเทียน”

ประโยคของเขาจบลง ความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขาก็มีเงาพร่าเลือนเงาหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ เงานี้มองประเมินผู้เฒ่าหนึ่งครั้ง บอกเป็นนัยให้เขาเดินตามมา แล้วจึงเดินไปทางสายรุ้ง

ผู้เฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที เดินตามเงาพร่าเลือนนั้นไปพร้อมความตื่นเต้นและไม่เป็นสุข หลังจากค่อยๆ เดินขึ้นไปบนสายรุ้งแล้วก็มาถึงในหุบเขาแห่งหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเข้มข้นตลบอบอวล มีเสียงนกร้องเสนาะหูและบุปผาส่งกลิ่นหอมกำจาย ด้านในหุบเขาแห่งนี้ยังมีบ่อน้ำอยู่อีกหนึ่งแห่ง ในบ่อมีปลาเจ็ดสีจำนวนไม่น้อยกำลังแหวกว่ายไปมา บางครั้งก็โผล่พ้นน้ำ ทำให้มองเห็นว่าหัวของปลาเหล่านั้นมองดูแล้วไม่ต่างจากลูกมังกรเท่าไหร่นัก

และข้างบ่อน้ำก็มีกระท่อมไม้อยู่หนึ่งหลัง มองเห็นได้รำไรว่าในกระท่อมไม้มีร่างหนึ่งกำลังนั่งดีดพิณ เสียงพิณบรรเลงดังสะท้อน ท่ามกลางความสง่างามกลับมีจิตสังหารซุกซ่อนอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีอิทธิพลต่อปราณวิญญาณรอบด้าน จึงทำให้ปราณวิญญาณในหุบเขาแห่งนี้ลอยวนเข้ามารวมตัวกันเป็นเงาของสัตว์ร้ายตัวแล้วตัวเล่า ทำเอาคนมองหวาดผวาพรั่นพรึง

ผู้เฒ่าลมหายใจสะดุด ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง เมื่ออยู่ห่างจากกระท่อมไม้หลังนั้นประมาณร้อยจั้ง เขาก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบรุนแรงระลอกหนึ่งจึงไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่ก้มหน้าประสานมือ โค้งตัวคารวะต่ำๆ

“เฝิงโหย่วเต๋อคารวะท่านทูตทงเทียน” สีหน้าของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง สำหรับบุคคลที่แม้แต่บุรพาจารย์ครึ่งเทพก็ยังให้ความเคารพผู้นี้ ไม่ว่าจะเคารพที่ตบะหรือยำเกรงที่ภูมิหลัง เฝิงโหย่วเต๋อก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่านี่ไม่ใช่บุคคลที่เขาสามารถมีเรื่องด้วยได้

“เฝิงโหย่วเต๋อ…” ครู่ใหญ่ ในกระท่อมไม้ก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมา เสียงนี้แฝงเร้นไว้ด้วยอำนาจน่าเกรงขาม ลำพังเพียงแค่เอ่ยชื่อของเขาก็ทำให้สีหน้าของเฝิงโหย่วเต๋อเคร่งเขรึมยิ่งกว่าเดิมในฉับพลัน รีบก้มหัวคำนับอีกครั้ง

“ไม่ต้องตื่นเต้นไป ที่เรียกให้เจ้ามาที่นี่เพราะตัวข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการให้เจ้าทำ…”

“ท่านทูตโปรดพูด! เรื่องใดก็ตามที่ท่านสั่งความ ข้าผู้แซ่เฝิงจะพยายามทำให้สำเร็จอย่างสุดความสามารถ!” เฝิงโหย่วเต๋อสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ราวกับว่าเมื่อเขารับปากแล้วต้องทำได้อย่างแน่นอน

“ในศาลาปราบมารของเจ้ามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง นามว่าป๋ายเสี่ยวฉุน…ช่วงระยะเวลาที่คนผู้นี้อยู่ในสายรุ้งแดนฟ้า ห้ามให้มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นกับเขาเป็นอันขาด หากเจ้าสามารถทำได้ รอจนเขากลายเป็นก่อกำเนิดและได้เข้าสู่สมาคมผู้อาวุโสเมื่อใด ตัวข้าจะมอบโชควาสนาในการเป็นคนฟ้าให้แก่เจ้า!” หลังจากที่คนในห้องเงียบงันไปชั่วครู่ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น คำพูดที่นางกล่าวออกมาทำให้เฝิงโหยวเต๋ออึ้งค้าง ทว่าเขาเป็นถึงนักพรตก่อกำเนิด ทั้งยังเป็นเจ้าศาลาปราบมาร จึงมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายอยู่แล้ว รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ยิ่งเข้าใจน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น

โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคคลยิ่งใหญ่อย่างคนตรงหน้านี้ ตนยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกต้องมากเท่านั้น และตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลาให้ทำความเข้าใจอะไรมากนัก เมื่อเขาได้ยินคำว่าโชควาสนาในการเป็นคนฟ้าดังออกมา ดวงตาของเฝิงโหย่วเต๋อก็โชนแสงแรงกล้า คำพูดนี้หากออกจากปากคนอื่น เขาคงไม่เชื่อ แต่เมื่อทูตทงเทียนเบื้องหน้าผู้นี้เป็นคนเอ่ยเอง ถ้าเช่นนั้นเขาก็พร้อมเชื่ออย่างสนิทใจ!

“คนฟ้า…” ดวงตาของเฝิงโหย่วเต๋อเผยความปรารถนาและตื่นเต้น ความยึดมั่นถือมั่นที่เขามีต่อคนฟ้านั้นรุนแรงถึงขีดสุด ด้วยตบะของเขาในตอนนี้ หากคิดจะกลายเป็นคนฟ้า แม้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่โอกาสก็น้อยนิด ตอนนี้ในเมื่อทูตทงเทียนเอ่ยขึ้นมา ลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้น รีบประสานมือคำนับอีกครั้ง

“ท่านทูตโปรดวางใจ เรื่องนี้ข้าน้อยจะต้องจัดการให้เรียบร้อยโดยไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน!!” เฝิงโหย่วเต๋อข่มกลั้นความตื่นเต้น เอ่ยรับรองด้วยเสียงอันดัง จากนั้นจึงรีบร้อนกลายเป็นรุ้งยาวตรงดิ่งไปยังรุ้งแดนฟ้าทันที

ตลอดทางที่กลับมาเขาก็ยังคงฮึกเหิมไม่คล้าย โชควาสนาเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่านี่คือจุดเปลี่ยนของชะตาชีวิตเขา หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง เขาถึงได้กลบฝังความตื่นเต้นนี้ไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ทว่าดวงตากลับยังคงเผยความเร่าร้อนกระตือรือร้น สามารถมองออกได้ถึงคลื่นอารมณ์ที่ดุเดือดของเขาในตอนนี้

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้คือใคร…ถึงได้มีบุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้คอยคุ้มครอง…จนถึงกับเอ่ยปากออกคำสั่งกับข้าด้วยตัวเอง!” เฝิงโหย่วเต๋อรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูไม่น้อย แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นใคร ตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้จะเป็นใคร ตนก็แค่ให้การรับรองอย่างดีก็เท่านั้น จะปล่อยให้คนผู้นี้มีอันตรายไม่ได้เด็ดขาด และต้องทำให้เขากลายเป็นก่อกำเนิดอยู่ในศาลาปราบมารของตนอย่างราบรื่น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทูตทงเทียนผู้นั้นพึงพอใจ ตนก็มีโอกาสได้เป็นคนฟ้า

“ฮ่าๆ โอกาสเป็นคนฟ้าของข้า คราวนี้ก็นับวันรอได้เลย!” เฝิงโหย่วเต๋อกลับมาถึงสายรุ้งแดนฟ้าด้วยความดีใจ ไม่นานก็มาถึงศาลาปราบมาร

“ไปเรียกให้อวิ๋นเต้าจื่อมาพบข้า!” เพิ่งจะมาถึง เฝิงโหย่วเต๋อก็ออกคำสั่งทันที ลูกศิษย์ในศาลาปราบมารมีเยอะเกินไป เขามิอาจรู้จักได้หมด หากคิดจะทำความเข้าใจกับนักพรตในศาลาของตัวเอง แค่ถามอวิ๋นเต้าจื่อก็ได้แล้ว

เพราะอย่างไรซะรายชื่อของนักพรตในศาลาปราบมารรวมไปถึงการมอบหมายภารกิจก็มีอวิ๋นเต้าจื่อเป็นคนรับผิดชอบอยู่แล้ว อีกทั้งในฐานะที่เป็นคนสนิทของตน หลายปีมานี้อวิ๋นเต้าจื่อก็จัดการเรื่องราวได้อย่างดีจนเฝิงโหย่วเต๋อพอใจ

เฝิงโหย่วเต๋อเพิ่งจะกลับตำหนักใหญ่มาได้ไม่นาน เงาร่างของอวิ๋นเต้าจื่อก็พุ่งมาจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว เขาขยายความเร็วสุดกำลังมาตลอดทางคล้ายกลัวว่าเฝิงโหย่วเต๋อจะรอนาน แถมยังถึงขั้นร่ายใช้เวทลับอย่างไม่เสียดาย ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ ก่อเกิดเป็นเสียงอากาศระเบิด

พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่นอกตำหนักใหญ่ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง อวิ๋นเต้าจื่อก็จัดอาภรณ์ของตัวเองให้เรียบร้อย ใบหน้าเผยรอยยิ้มประจบสอพลอ เดินเร็วๆ เข้ามาด้านใน

เพิ่งจะเข้ามาอวิ๋นเต้าจื่อก็มองเห็นเฝิงโหย่วเต๋อเจ้าศาลาปราบมารได้ทันที ผู้เฒ่าที่มีใบหน้าใจดีมีเมตตาผู้นี้ไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานในตำหนักใหญ่อย่างที่เคยเป็น แต่กำลังเดินไปเดินมา สีหน้าปีติยินดีนั้นหากเป็นคนอื่นอาจมองไม่ออก แต่อวิ๋นเต้าจื่อที่เป็นคนรู้ใจของเฝิงโหย่วเต๋อแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเฝิงโหย่วเต๋อต้องไปเจอเรื่องที่น่ายินดีอะไรมาแน่นอน

“อวิ๋นเต้าจื่อ คารวะท่านเจ้าศาลา!” อวิ๋นเต้าจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก รีบเอ่ยปาก

“ยินดีกับท่านเจ้าศาลาด้วย วันนี้ศิษย์แค่มองเห็นท่านเจ้าศาลาก็มองออกถึงประกายแสงแห่งความปรีดาทั่วร่างของท่านเจ้าศาลา แสดงว่าวันนี้ต้องมีเรื่องมหามงคลอย่างแน่นอน!” อวิ๋นเต้าจื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้มด้วยใบหน้าที่ยังคงประจบประแจงไม่คลาย

เฝิงโหย่วเต๋อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ ชี้มาที่อวิ๋นเต้าจื่อ ส่ายหัวแล้วพูดกลั้วหัวเราะ

“เจ้านี่นะ ต่อไปหัดสังเกตสีหน้าสีตาของคนอื่นให้มันน้อยๆ ตั้งใจฝึกบำเพ็ญตบะให้มาก โอกาสที่จะฝ่าไปถึงขั้นก่อกำเนิดก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย”

“ศิษย์…” อวิ๋นเต้าจื่อยิ้มรับ รู้ว่าตัวเองมองไม่ผิด ตอนนี้เฝิงโหย่วเต๋อต้องอารมณ์ดีมากแน่นอน ดังนั้นจึงโค้งตัวลงต่ำหมายจะยกยอปอปั้นต่อไป ทว่าเฝิงโหย่วเต๋อกลับสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง นัยน์ตาเผยความรอคอย เอ่ยถามตัดบทคำพูดของอวิ๋นเต้าจื่อฉับพลัน

“พอแล้ว อย่าเพิ่งยอข้า ข้าถามเจ้า ศาลาปราบมารของเรามีลูกศิษย์ที่ชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนหรือไม่?”

“หา? ป๋ายเสี่ยวฉุน?” อวิ๋นเต้าจื่อตะลึงงัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version