บทที่ 419 เคารพกันที่อันดับ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นทันทีทันใด
นัยน์ตามีประกายแสงวาบผ่าน หันมามองเฉินม่านเหยา
เฉินม่านเหยาปิดปากหัวเราะ ดวงตาทั้งคู่มีแววยั่วเย้า มองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสนใจข่าวนี้จึงไม่ลีลา แต่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“จากการตรวจสอบหลายด้านของข้า และยังมีเบาะแสจำนวนมาก แม้จะยังไม่รู้ที่อยู่ที่แน่นอนของตู้หลิงเฟย ทว่าที่สามารถยืนยันได้ก็คือ…ตู้หลิงเฟยของท่าน…อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน ทว่าประกายแสงในดวงตากลับแวววาวขึ้นมาอีกครั้ง
“เรื่องที่ข้ารับปากท่าน ข้าต้องทำให้ได้แน่นอน เรื่องนี้ข้าจะยังคงสืบต่อไป รอมีข่าวที่แน่ชัดแล้วข้าจะนำมาบอกท่าน แต่ว่า…บางทีตู้หลิงเฟยผู้นี้อาจรู้ว่าท่านอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแล้วก็เป็นได้” เฉินม่านเหยามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงหมุนกายแล้วก้าวยาวๆ จากไป
จนกระทั่งเฉินม่านเหยากลับไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงยืนอยู่นอกถ้ำเนิ่นนาน เขามองอาทิตย์อัสดงที่ริมขอบฟ้า มองตลอดทั้งนภากาศที่ค่อยๆ มืดมิด มองมหาสมุทรสีทองที่กว้างใหญ่ไพศาล ในสมองมีภาพเหตุการณ์มากมายปรากฏขึ้นมา
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ฝังกลบเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อเดินกลับเข้ามาในถ้ำป๋ายเสี่ยวฉุนก็นั่งทำสมาธิต่อ สำหรับเรื่องการตามหาตู้หลิงเฟย เขาไม่ได้ดึงดันยึดติดเหมือนอย่างในปีนั้นอีกแล้ว
ทว่าหลังจากผ่านไปหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับพบว่าตัวเองไม่สามารถทำใจให้สงบได้ มีตู้หลิงเฟยเป็นสาเหตุ และมีทั้งเรื่องของคาถาคนขุนเขา คำพูดของสือซานชายวัยกลางคนที่มักจะลอยขึ้นมาในสมองของเขาเสมอ
“ลืมตัวเอง ลืมภูเขา และภายหลังจึงฟื้นตื่น…ข้าคือภูเขา…ภูเขาก็คือข้า…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ประโยคนี้เขาเข้าใจ แต่ประเด็นสำคัญก็คือคำว่าลืมนั่นต่างหาก
ลืม พูดง่าย ทว่าพอทำเข้าจริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
“จะลืมยังไงล่ะ…เข้าฌานหรือ? เรื่องแบบนี้ใช่ว่าบอกจะทำก็ทำได้เลยเสียเมื่อไหร่…หากมีวิธีทำให้ข้าอยากลืมก็ลืมได้คงดี” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังกลัดกลุ้มก็พึมพำเสียงแผ่วเบาไปด้วย เพิ่งจะพูดมาถึงตรนี้ เขาพลันหยุดชะงัก นัยน์ตาฉายแววประหลาด
“บอกว่าลืมก็ลืม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายระยับ เขานึกถึงยาหลอนประสาทของตัวเองขึ้นมา ยานั่นพอกินเข้าไปแล้วสามารถทำให้คนเกิดภาพหลอน หรือถึงขั้นลืมตัวเองไปได้เลยด้วยซ้ำ
“ใช่แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบข้าตัวเองป้าบใหญ่ ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด หลังจากลุกขึ้นยืนก็เดินไปเดินมาอยู่ในถ้ำ ครุ่นคิดต่อเนื่อง จากนั้นเขาก็หยิบเอายาหลอนประสาทออกมาจากในถุงเก็บของ พอมองอย่างละเอียดก็เริ่มลังเลขึ้นมาเล็กน้อย ไพล่นึกไปถึงการแสดงออกพิลึกพิลั่นหลังจากที่พวกนักพรตกินยาหลอนประสาทของตนเข้าไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเลยกังวลมากว่าหากตัวเองกินแล้วจะมีสภาพไม่ต่างจากคนพวกนั้น
“ไม่ได้ ยานี่ข้าเป็นคนกินเอง จำเป็นต้องระวังให้มาก และก็ต้องปรับเปลี่ยนตามสภาวะร่างกายของข้าถึงจะได้” หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พุ่งพรวดออกไปจากถ้ำ ตรงดิ่งไปยังจุดที่แลกซื้อวัตถุของศาลาปราบมาร
ลูกศิษย์ของศาลาปราบมารที่รับผิดชอบอยู่ที่แห่งนี้พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนมาก็ยิ้มน้อยๆ รีบประสานมือคารวะ ป๋ายเสี่ยวฉุนคือแขกประจำของที่นี่ ทุกครั้งที่มาล้วนต้องเอาวัตถุจำนวนมากกลับไปด้วย อีกทั้งหลายครั้งยังเชื่อสินค้าเอาไว้ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในศาลาปราบมาร
ทำให้ลูกศิษย์ที่รับผิดชอบทำการแลกเปลี่ยนของที่นี่จดจำได้อย่างลึกซึ้ง บวกกับเรื่องราวต่างๆ ในศาลาปราบมารก็ทำให้ชื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุด
“จะต้องหลอมใหม่อีกครั้ง ซึ่งยาเม็ดนั้นต้องเหมาะสมกับข้าอย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งต้องไม่มีอันตรายใดๆ บอกว่าลืมก็ลืม บอกให้ตื่นก็ตื่น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล ที่ตัวเขามีคะแนนคุณความดีอยู่เยอะมาก ไม่นานจึงแลกเอาพืชหญ้าปริมาณมหาศาลมา ซึ่งพืชหญ้าเหล่านั้นล้วนราคาไม่ธรรมดาทุกต้น
ทว่าไม่นานดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หดตัวลง เขามองเห็นหญ้าวิเศษต้นหนึ่งที่ไม่มีดอก แต่กลับมีใบเจ็ดใบ อีกทั้งเจ็ดใบนั้นต่างก็มีสีไม่เหมือนกัน
หลังจากเห็นหญ้าวิเศษต้นนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลมหายใจสะดุดทันที
“หญ้าทะเลหมอกเจ็ดสี!!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแสงคมกล้า หญ้าทะเลหมอกเจ็ดสีนี้ปีนั้นตอนที่เขาอยู่ในสำนักธาราเทพเคยได้อ่านคำอธิบายเกี่ยวกับมัน รู้ว่าเป็นหญ้าวิเศษชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดภาพหลอน มีประสิทธิภาพมหัศจรรย์สำหรับการหลอมยาประเภทยาหลอนประสาท อีกทั้งหากนำมาปรุงเข้าด้วยกันแล้วจะไม่ส่งผลอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย
“พืชหญ้าชนิดนี้ ข้าเอาแน่แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนชี้ไปยังหญ้าทะเลหมอกเจ็ดสีด้วยสีหน้าตื่นเต้น ทว่าลูกศิษย์ที่รับผิดชอบเป็นคนแลกของกลับยิ้มเจื่อนส่งมาให้
“ศิษย์พี่ป๋าย เอ่อ…การซื้อพืชหญ้าต้นนี้ทางสำนักมีข้อจำกัดไว้ว่าต้องเป็นเพียงลูกศิษย์ที่มีรายชื่อติดอันดับหนึ่งพันคนแรกของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราเท่านั้นถึงจะซื้อได้”
“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน มองพืชหญ้าต้นนั้นแล้วเขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่สามารถข่มกลั้นความต้องการเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงบินตรงไปยังตำหนักใหญ่ศาลาปราบมารทันที
ตลอดทางเมื่อลูกศิษย์ทุกคนของศาลาปราบมารมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็มีสีหน้าเคารพนอบน้อม หากเป็นวันปกติป๋ายเสี่ยวฉุนต้องทำท่าโอ้อวดบารมีแน่นอน ทว่าตอนนี้เขากำลังร้อนใจ จึงเอาแต่ห้อตะบึงไปตลอดทาง แล้วก็มาถึงตำหนักใหญ่ของศาลาปราบมารอย่างรวดเร็ว
“ท่านเจ้าศาลา ป๋ายเสี่ยวฉุนขอเข้าพบขอรับ” ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ตำหนักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะโกนเสียงดังนำไปก่อน ผู้ที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักใหญ่คืออวิ๋นเต้าจื่อพอดี พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็รีบเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า ไม่กล้าเข้าไปขัดขวาง ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่โดยตรง
เฝิงโหย่วเต๋อนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงตำแหน่งประธานกลางโถงใหญ่ เวลานี้จำต้องลืมตาขึ้นด้วยความจนใจ มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่วิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทีเร่งร้อน
“เสี่ยวฉุน มีอะไรหรือ…”
เฝิงโหยวเต๋อฝืนยิ้ม ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนไปที่หุบเขาหมื่นภูเขา เขาเลยใช้ชีวิตอย่างสบายใจไม่น้อย แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้ไปหุบเขาหมื่นภูเขา อีกฝ่ายจะต้องมาหาเขาทุกๆ สามวันห้าวัน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ จึงทำให้เขารู้สึกหน่ายใจอย่างมาก
“ท่านเจ้าศาลา ข้าต้องการหญ้าทะเลหมอกเจ็ดสี ที่ท่านมีหรือไม่ ขอให้ศิษย์สักสี่ห้าต้นสิขอรับ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดตาปริบๆ
หลังจากเฝิงโหย่วเต๋อหยิบเอาแผ่นหยกออกมาค้นหาหญ้าทะเลหมอกเจ็ดสีในศาลาปราบมาร หนังหน้าเขาก็กระตุกยิกๆ ทันที แม้ว่าหญ้าทะเลหมอกเจ็ดสีนี้จะไม่ใช่วัตถุล้ำค่าเป็นพิเศษ แต่กลับมีไม่มากนัก ตอนนี้ในศาลาปราบมารมีอยู่แค่สามต้นเท่านั้น อีกทั้งเนื่องจากหญ้าประเภทนี้มีฤทธิ์มอมเมาประสาท นักพรตที่ใช้จำเป็นต้องมีตบะที่แน่นอน ดังนั้นทางสำนักจึงจำกัดจำนวนเวลาที่แลกเอามาใช้
“เรื่องเล็กแค่นี้เอง…หากเจ้าไม่ไปท้าชิงกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราด้วยตัวเอง ถ้าเช่นนั้นก็ตามหาคนที่อยู่หนึ่งพันอันดับแรกในกระดานมาช่วยซื้อให้เจ้าก็ได้แล้ว” เฝิงโหย่วเต๋อถอนหายใจยาวอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าตัวเองแทบจะกลายเป็นองค์รักษ์พิทักษ์อีกฝ่ายไปแล้ว
“เรื่องเล็กแค่นี้ อวิ๋นเต้าจื่อ…เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน” เฝิงโหย่วเต๋อกลุ้มใจ เมื่อเขาเอ่ยปากเช่นนั้นอวิ๋นเต้าจื่อจึงเดินเข้ามาในตำหนักรีบรับคำว่าขอรับทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งอย่างยิ่ง เดิมทีที่เขามาหาเฝิงโหย่วเต๋อก็เพราะต้องการให้อีกฝ่ายช่วยหาคนที่อยู่หนึ่งพันอันดับแรกให้ไปซื้อแทนเขา เวลานี้จึงตบไหล่ของอวิ๋นเต้าจื่อ แล้วดึงตัวของอวิ๋นเต้าจื่อจากไปด้วยความรีบร้อน
“ศิษย์น้องป๋าย ในศาลาปราบมารของเราคนที่อยู่หนึ่งพันอันดับแรกมีอยู่หลายสิบคน แต่เจ้าเองก็รู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ แต่ละคนจึงหยิ่งยโสกันอย่างมาก ดังนั้นต่อให้ยอมช่วยก็เกรงว่าคงต้องหาผลประโยชน์ใส่ตัวอยู่บ้าง” อวิ๋นเต้าจื่อรีบพูดอธิบาย เขาไม่ได้โกหกป๋ายเสี่ยวฉุน ในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมของศาลาปราบมาร ผู้ที่เขาไม่อยากมีเรื่องด้วยมากที่สุดนอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็คือพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่อยู่พันอันดับแรกเหล่านั้น
“ไม่เป็นไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมืออย่างไม่เห็นสำคัญ อย่างอื่นเขาไม่มี ทว่าที่มีมากก็คือคะแนนคุณความดี เวลานี้จึงตามอวิ๋นเต้าจื่อไปด้วยความตื่นเต้น
“ที่นี่คือถ้ำของศิษย์น้องโจว ศิษย์น้องโจวรวมโอสถช่วงท้ายตั้งแต่อายุยังไม่ถึงร้อยปี บนกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราเขาเดินไปถึงสายรุ้งสีเขียวแล้ว ตอนนี้อยู่อันดับที่เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด!” อวิ๋นเต้าจื่อมองถ้ำที่ห่างไปไกลแล้วแนะนำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟัง
“ศิษย์น้องโจวผู้นี้คือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนัก มีชื่อเสียงเลื่องลือในศาลาปราบมารของเรา ข้างกายเขามีคนติดตามมากมาย อีกเดี๋ยวเมื่อพวกเราไปพบเขา เจ้าจงจำไว้ว่าต้องเกรงใจ อย่าล่วงเกินเด็ดขาด”
อวิ๋นเต้าจื่อเอ่ยกำชับ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้สึกว่าตนมีเรื่องไปรบกวนผู้อื่น ดังนั้นจึงรีบพยักหน้า
คนทั้งสองเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ถูกนักพรตสามคนที่อยู่นอกถ้ำสกัดขวางเอาไว้ ทั้งสามคนนี้ตบะไม่ธรรมดา โชคดีที่มีอวิ๋นเต้าจื่ออยู่ด้วย คนทั้งสามจึงยอมปล่อยไป เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่นอกประตูถ้ำ ไม่ว่าอวิ๋นเต้าจื่อจะเอ่ยปากเช่นไร ในถ้ำก็ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับใดๆ กลับมา
“คาดว่าศิษย์น้องโจวคงไม่อยู่…” อวิ๋นเต้าจื่อหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้วปริออกเป็นรอยแยกน้อยๆ พริบตาเดียวประตูใหญ่ของถ้ำก็เปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือนในสายตาของเขา ไม่นานเขาก็มองเห็นว่าในถ้ำมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ และข้างกายยังมีหญิงรับใช้หลายคนปรนนิบัติพัดวี สีหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยความดูหมิ่น ไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนและอวิ๋นเต้าจื่อที่อยู่ด้านนอกเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์น้องป๋ายวางใจได้ เดี๋ยวพวกเราไปอีกที่ก็แล้วกัน ที่นั่นคือถ้ำของศิษย์น้องเฉิน ข้ากับศิษย์น้องเฉินค่อนข้างสนิทกัน เรื่องเล็กแค่นี้ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน” อวิ๋นเต้าจื่อรีบพูด ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็กลุ้มใจและได้แต่ตามอวิ๋นเต้าจื่อไป ไม่นานก็มาถึงถ้ำแห่งที่สอง
คราวนี้บางทีอาจเป็นเพราะอวิ๋นเต้าจื่อสนิทกับศิษย์น้องเฉินผู้นั้นจริงๆ ศิษย์น้องเฉินถึงได้เปิดประตูถ้ำยอมให้เขาสองคนเข้าไป
แต่ว่าท่าทีกลับไม่ร้อนไม่หนาว พอได้ยินอวิ๋นเต้าจื่อกล่าวถึงธุระที่มาในวันนี้ เขาก็หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเรียบเฉย
“เรื่องนี้รอหลังข้าปิดด่านก่อนค่อยว่ากัน”
“ขอบคุณศิษย์พี่เฉินมาก ไม่ทราบว่าศิษย์พี่เฉินจะต้องปิด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถาม
“เร็วสุดสองปี ช้าสุดคือห้าปี” หลังจากนักพรตแซ่เฉินกล่าวจบ ใบหน้าก็เผยความหงุดหงิดแล้วโบกมือหนึ่งครั้งเป็นการส่งแขกทันที