Skip to content

A Will Eternal 420

บทที่ 420 ดูถูกข้า

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า หากไม่เป็นเพราะอวิ๋นเต้าจื่อดึงตัวเอาไว้ เกรงว่าเขาคงมีเรื่องกับนักพรตแซ่เฉินผู้นั้นไปแล้ว ภายใต้สายตาเย็นชาของอีกฝ่าย ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกอวิ๋นเต้าจื่อดึงออกไปนอกถ้ำ

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่ของถ้ำปิดลง ก่อนหน้าที่จะปิดลงยังมีเสียงมึนตึงของนักพรตแซ่เฉินผู้นั้นดังออกมาด้วย

“รอไม่ได้ก็ไปท้าชิงเอาเอง!”

“ก็แค่อันดับพันแรกไม่ใช่หรือ ยิ่งใหญ่แค่ไหนกันเชียว ไม่ยอมทำให้ก็ยังพอว่า แต่นี่กลับมามองกันด้วยสายตาแบบนี้ ดูถูกข้ารึ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามแค้นเคือง อวิ๋นเต้าจื่อที่อยู่ข้างกายเขายิ้มเจื่อน รีบพูดปลอบใจ

“ศิษย์น้องป๋ายใจเย็นก่อน เรื่องนี้…เฮ้อ พวกคนที่อยู่อันดับหนึ่งพันแรกล้วนเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจกันนั้น ไม่ใช่คนที่พวกเราจะไปมีเรื่องด้วยได้ คนเหล่านี้ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็เป็นเมล็ดพันธ์ที่ทางสำนักให้ความสำคัญถึงขีดสุด ส่วนพวกที่อยู่ร้อยอันดับแรกก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าได้ยินว่าคราวก่อนซือหม่าเฟยหรูถึงขั้นปิดผนึกพื้นที่หนึ่งเพื่อฝึกฝน ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป ทำเอาวุ่นวายกันไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยังต้องยอมให้จบกันไป น้อยคนนักที่คิดจะล่วงเกินเขา” อวิ๋นเต้าจื่อส่ายหัวพูดเกลี้ยกล่อม

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เคยได้ยินชื่อซือหม่าเฟยหรูนี้ รู้ว่านั่นคือสุดยอดศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่อยู่ในอันดับเก้าสิบกว่า ไม่ใช่นักพรตของศาลาปราบมาร แต่เป็นคนของศาลาราชนิกูล เวลาปกติก็ทำตัวบ้าอำนาจอย่างมาก

ท่ามกลางความกลัดกลุ้มของป๋ายเสี่ยวฉุน อวิ๋นเต้าจื่อดึงตัวเขาไปยังถ้ำแห่งที่สาม แห่งที่สี่…

ในศาลาปราบมารแห่งนี้ ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่อยู่หนึ่งพันอันดับแรกมีหลายสิบคน ทว่าส่วนใหญ่ล้วนปิดด่าน และยังมีบางส่วนที่ออกไปข้างนอก เวลาทั้งวันที่ผ่านมา มีทั้งคนที่ไม่คิดจะสนใจป๋ายเสี่ยวฉุนและอวิ๋นเต้าจื่อ และก็มีทั้งคนที่ปฏิเสธออกมาตามตรง แม้ว่าจะมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ทว่าความเย่อหยิ่งถือดีที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกเช่นนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกกระตุ้นจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่า

“แต่ละคนหยิ่งยโสไม่ต่างไปจากไก่หางวิเศษเลยสักนิด!” เห็นว่าท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ทว่าเรื่องที่ง่ายๆ กลับได้รับผลลัพธ์ไม่คาดคิดเช่นนี้ ความเดือดดาลของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ซัดโหมตลบอบอวล ความรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามทำให้เขาเกิดความวู่วามอยากจะฝ่าขึ้นไปอยู่บนกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราซะเดี๋ยวนี้

“ศิษย์น้องป๋าย เฮ้อ ยังมีอีกคนหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาคนผู้นี้เป็นคนพูดง่าย ต้องสำเร็จแน่นอน!! เจ้าเองก็อย่าเพิ่งโมโหไป คนพวกนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ สามารถฝ่าฝันจากคนหลายแสนเข้าไปเป็นหนึ่งพันอันดับแรก อีกทั้งระหว่างขั้นตอนนี้ยังต้องแบกรับความเสี่ยงถึงเป็นถึงตาย ต่อให้พวกเขาจะถือดีไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ…” อวิ๋นเต้าจื่อพูดเกลี้ยกล่อมพร้อมยิ้มเจื่อน ตลอดทั้งวันมานี้เขาแทบจะต้องพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าในใจจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกดูหมิ่นป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่บ้างเหมือนกัน แอบพูดกับตัวเองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็แค่อาศัยพึ่งพาใบบุญเฝิงโหย่วเต๋อเท่านั้น หากมีความสามารถจริงก็ไปช่วงชิงเอาเองสิ จะต้องมาขอร้องคนอื่นทำไม

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก สะกดกลั้นความกลัดกลุ้มในใจลงไป ตามอวิ๋นเต้าจื่อไปยังถ้ำแห่งสุดท้ายเพื่อไปพบกับนักพรตที่ว่ากันว่าพูดง่ายผู้นั้น คนคนนี้พูดง่ายจริง แค่ได้ยินถึงวัตถุประสงค์ในการมาก็ยิ้มทันที

“เรื่องนี้จัดการได้ง่ายมาก ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยช่วยคนอื่นมาก่อน แต่ว่าจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการเป็นตัวแทนซื้อสักหน่อย

ชื่อเสียงเลื่องลือของศิษย์น้องป๋ายข้าได้ยินมาแล้วหลายครั้ง เจ้ามอบคะแนนคุณความดีให้ข้าหนึ่งล้านคะแนน เรื่องนี้ศิษย์พี่ก็จะจัดการให้เจ้าเอง!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง คะแนนคุณความดีหนึ่งล้านคะแนนใช่ว่าเขาจะไม่มี แต่ซื้อหญ้าทะเลหมอกเจ็ดสีนั่นก็จ่ายแค่คะแนนคุณความดีหนึ่งแสนคะแนนเท่านั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับคิดรีดไถเขามากถึงหนึ่งล้านคะแนน

“ทำไม…รู้สึกว่ามันแพงไปหรือ? ไม่เห็นด้วย? ก็ได้นะ หากเจ้ามีความสามารถก็ไปช่วงชิงกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราเอาเอง หากได้อยู่ภายในอันดับหนึ่งพันก็ไม่ต้องมาขอร้องข้าแล้ว” นักพรตผู้นี้พอเห็นสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ้มขึ้นมาทันที ในรอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยท่าทางที่ว่าเจ้าเสร็จข้าแน่ ทั้งยังมากด้วยความดูถูก

ป๋ายเสี่ยวฉุนปรับลมหายใจที่เกิดจากความโมโหให้สงบลง หลังจากมองคนผู้นี้หนึ่งครั้งเขาก็หมุนกายจากไปโดยไม่เอ่ยอะไร อวิ๋นเต้าจื่อที่ตามมาด้านหลังถอนหายใจติดต่อกัน กังวลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะพาลเอาความโกรธมาลงที่ตน ขณะที่กำลังจะพูดเกลี้ยกล่อม ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันชะงักฝีเท้า

“ศิษย์พี่อวิ๋นเต้าจื่อ วันนี้ขอบคุณมาก”

“เอ่อ…ศิษย์น้องป๋าย อันที่จริงเรื่องนี้ก็ง่ายมากนะ เจ้าลองไปหาท่านเจ้าศาลาอีกครั้งดีไหมล่ะ ให้ท่านผู้อาวุโสออกคำสั่ง ต่อให้คนผู้นี้ไม่ยินยอมก็ยังต้องปฏิบัติตามคำสั่งอยู่ดี” อวิ๋นเต้าจื่อลังเลอยู่ครู่ก็พูดขึ้น

“ไม่ต้องแล้ว!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววเด็ดเดี่ยว แน่นอนว่าเขาย่อมมองออกถึงความดูหมิ่นที่อวิ๋นเต้าจื่อเก็บกลั้นไว้ในใจตลอดหนึ่งวันมานี้ แม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งแต่กลับกัดฟันพูดอย่างคนที่มีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่น

“ถ้าอย่างนั้นเจ้า…” อวิ๋นเต้าจื่อตะลึง

“ก็แค่อันดับหนึ่งพันแรกไม่ใช่หรือ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไปช่วงชิงมาเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หลังจากเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองก็กลายเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งบินจากไป ตรงดิ่งไปยังถ้ำของตัวเอง

อวิ๋นเต้าจื่อมองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน ครู่หนึ่งหลังจากนั้นถึงได้หัวเราะเบาๆ หนึ่งครั้ง

“หากมีฝีมือจริงเหตุใดต้องไปขอร้องคนอื่น เดี๋ยวผ่านไปไม่กี่วันก็คงไปวิงวอนขอร้องท่านเจ้าศาลาอีกแน่ๆ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาถึงถ้ำ หลังจากพักผ่อนช่วงเวลาสั้นๆ ก็ส่งข้อความเสียงไปให้พวกเสินซ่วนจื่อทันที ทั้งยังระดมกำลังของตัวเองค้นหาเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราด้วย ภายในเวลาหนึ่งเดือน เขาสืบหาข้อมูลจากคนอื่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังไปที่สายรุ้งหมื่นดวงดาวด้วยตัวเองอยู่หลายครั้งเพื่อไปสังเกตการณ์กระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา

จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน หลังจากที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันกรอด

“ก็แค่หนึ่งพันแรกไม่ใช่หรือ ร้ายกาจแค่ไหนกันเชียว ข้าเองก็จะเอาหนึ่งพันแรกมาให้ได้!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงวาบ หลังจากจัดสัมภาระเรียบร้อยก็พลันบินออกไป ใช้ค่ายกลนำส่งพาตัวมายังกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราของสายรุ้งหมื่นดวงดาว

กระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารากินพื้นที่เกือบสามส่วนของสายรุ้งหมื่นดวงดาว สถานที่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ล้วนเต็มไปด้วยมวลมหาชน มีคนเข้าไปในพื้นที่ประลองอย่างต่อเนื่อง วันปกติหากมีคนได้เลื่อนขั้นเป็นดวงดาวก็จะได้ยินเสียงร้องอุทานด้วยความฮือฮาดังมาจากที่นี่ทันที ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนอิจฉาอย่างถึงที่สุด

และทางเข้าของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราก็คือประตูใหญ่ที่เรียบง่ายและผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานบานหนึ่ง ประตูนี้มีขนาดใหญ่อย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ สูงหลายพันจั้ง บนประตูใหญ่มีอักขระที่ซับซ้อนลึกล้ำสลักไว้จำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันเปล่งประกายแสงแวววาว เต็มไปด้วยพลานุภาพสยบที่น่าครั่นคร้าม

ประตูใหญ่บานนี้เป็นสีเขียวเข้ม ด้านข้างยังมีรูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์อีกสองรูป รูปปั้นนี้ไม่ใช่นักพรต แต่เป็นสัตว์ยักษ์ซึ่งมีรูปร่างเหมือนสิงโต เพียงแต่ว่าดูดุร้ายมากกว่า

บนประใหญ่มีรอยแยกอยู่รอยหนึ่ง รอยแยกนี้มองไกลๆ ไม่ใหญ่ ทว่าเมื่อเข้ามาใกล้แล้วมองไปกลับกว้างหลายจั้ง นักพรตสามารถเข้าออกได้ ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงก็มีคนคนหนึ่งเหยียบอยู่บนก้อนเมฆเคลื่อนเข้ามา คนผู้นี้สวมชุดนักพรตสีเขียว บุคลิกท่วงท่าไม่ธรรมดา ใบหน้าก็ยิ่งหล่อเหลาน่ามอง พุ่งลอดเข้าไปในรอยแยกของประตูใหญ่

นักพรตที่อยู่รอบด้านพอเห็นคนผู้นั้นต่างก็พากันส่งเสียงฮือฮาทันที

“นั่นมันจ้าวอี้ตงของสายรุ้งแดนดารา ศิษย์พี่จ้าว!”

“ครั้งนี้ศิษย์พี่จ้าวมาต้องได้อยู่พันอันดับแรกแน่นอน!!”

“ข้าก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นประมาณนี้ ศิษย์พี่จ้าวเป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของศาลาตระเวนห้วงสมุทรในสายรุ้งแดนดารา ครั้งแรกบุกขึ้นห้าพันอันดับแรกของกระดาน ครั้งที่สองอันดับสามพัน ครั้งที่สามกลับติดอยู่ที่อันดับหนึ่งพันห้าร้อยกว่า ตอนนี้มาเป็นครั้งที่สี่ต้องอยู่ในอันดับหนึ่งพันแรกแน่นอน!”

ขณะที่คนเหล่านี้ร้องอุทานด้วยความตกใจ ดวงดาวที่เป็นตัวแทนของศิษย์พี่จ้าวคนนั้นบัดนี้ก็พลันเปล่งแสงขึ้นมาบนสายรุ้งสีเขียว ดึงดูดความสนใจจากคนมากกว่าเดิม

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะที่คนเหล่านี้จับตามองดวงดาวของจ้าวอี้ตง เขาก็สะบัดร่างเดินเข้าไปยังประตูใหญ่ การปรากฏตัวของเขาแทบไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากใครเลย เวลานี้สายตาของคนส่วนใหญ่ล้วนไปรวมกันอยู่ที่ดวงดาวของจ้าวอี้ตง เพื่อต้องการเป็นสักขีพยานการเหยียบย่างเข้าสู่หนึ่งพันอันดับแรกของอีกฝ่าย

ต้องรู้ว่าด่านมากมายอย่างหนึ่งหมื่น หนึ่งพัน ห้าร้อย ร้อยอันดับแรกนี้สำคัญอย่างมาก ยิ่งอันดับต่างกัน ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็จะต่างกันราวฟ้ากับเหว

ดังนั้นการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นดวงดาวบนกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราจึงหมายถึงความโดดเด่นเกินผู้ใด เมื่อเข้าไปอยู่ในหนึ่งหมื่นอันดับแรก หมายความถึงบุคคลสำคัญ และหากได้เข้าไปอยู่หนึ่งพันอันดับแรก จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแต่ละศาลา!

ส่วนห้าร้อยอันดับแรก นั่นจะไม่ได้ถูกเรียกว่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของศาลาใดศาลาหนึ่งแล้ว แต่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของหนึ่งพื้นที่ และพวกคนที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรก ไม่ว่าใครก็ตามจะพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ ถูกสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามองเป็น…ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนัก!

“ข้าเองก็ทำได้!” ได้ยินเสียงฮือฮาจากคนรอบด้าน ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยแววเด็ดขาด ภายใต้การถูกกระตุ้นจากคนของศาลาปราบมารก่อนหน้านั้น บวกกับบรรยากาศคึกคักของรอบด้านและความเร่าร้อนของกระดานแห่งนี้เอง หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นรัวแรงขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ พลันบังเกิดความรู้สึกวู่วามเหมือนเมื่อตอนที่เขายังรวมลมปราณและได้เห็นศิลาพืชหญ้าเป็นครั้งแรก

เวลานี้จึงขยับร่างพุ่งดิ่งเข้าหารอยแยกของประตูใหญ่ พริบตาเดียวก็เหยียบเข้าไปข้างใน หูได้ยินเสียงกัมปนาทดังลอยมา ขณะเดียวกันเบื้องหน้าเขาก็พร่าเลือนคล้ายมีภาพมากมายเหลือคณานับวาบผ่านไปอย่างรวดเร็วราวฟ้าแลบ มองเห็นได้ไม่ชัดเจน แล้วก็เหมือนว่าฟ้าดินพลิกคว่ำ เสียงอึกทึกดังกึกก้องไปทั่ว

แรงกระชากรั้งตัดสลับอยู่กับการนำส่งก่อเกิดเป็นพลานุภาพสยบจากฟ้าดินที่น่าตะลึงคล้ายกลายมาเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง มือนั้นเอื้อมคว้ามาจับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเหวี่ยงเขาออกจากโลกใบนี้ไปยังโลกอีกแห่งหนึ่งที่ถูกหักร้างถางพงไปแล้ว!

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ใบหน้าซีดขาว เพิ่งเจอกับการเคลื่อนย้ายที่รุนแรงแบบนี้เป็นครั้งแรก ความรู้สึกเช่นนี้เกินกว่าประสบการณ์การนำส่งทั้งหมดที่เขาเคยผ่านมา หากไม่เป็นเพราะตบะแข็งแกร่ง เกรงว่าตอนนี้ขาทั้งสองของเขาคงยืนได้ไม่มั่นคงไปแล้ว

อันที่จริงก็เป็นอย่างนี้จริง ทุกคนที่บุกเข้ามาในกระดาน ทุกครั้งที่ถูกนำส่งเข้ามาก็ล้วนมีความรู้สึกเช่นนี้ หากไม่สามารถทนรับไหว ถ้าเช่นนั้นเมื่อเข้ามาก็จะหมดแรงล้มลงทันที และการประลองก็จะเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ที่การนำส่งนี้มาถึง!

เวลานี้เมื่อโลกเบื้องหน้าชัดเจนขึ้น คลื่นความร้อนระลอกหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า และเขาก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงรู้สึกว่าได้กลิ่นผมของตัวเองไหม้ เขาหน้าเปลี่ยนสีรีบถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่มองไปรอบด้านก็เห็นว่าสถานที่ที่ตัวเองยืนอยู่ก็คือหน้าผาสีชาดแห่งหนึ่ง

และเบื้องล่างหน้าผาแห่งนี้รวมไปถึงเบื้องหน้าที่มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุดนั้นก็คือ…ทะเลเพลิงลาวาที่กว้างใหญ่ไพศาล ทะเลเพลิงนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นแค่เพียงสีแดงฉานที่สว่างโร่ไปทั่ว น้ำลาวาเดือดปุดๆ บางครั้งก็ซัดสาดกระทบกันเกิดเป็นเสียงครืนๆ แล้วโถมตัวเป็นคลื่นลูกยักษ์ที่สะท้านสะเทือนไปแปดทิศ

เวลาเดียวกันนั้นสัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนก็กำลังบินทะยานลงจากหน้าผานี้ไป เมื่ออยู่ในทะเลเพลิงลาวาพวกมันต่างก็ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ห้อตะบึงไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง และก็มีจำนวนไม่น้อยที่ขณะห้อทะยานเรือนกายของพวกมันก็ถูกลาวากัดกร่อน เลือดเปรอะไปทั่ว แม้แต่กระดูกก็ยังถูกเผาไม้ ไม่ทันได้วิ่งออกไปไกลก็กลายมาเป็นเถ้าธุลีที่ถูกเปลวเพลิงนั้นกลืนกิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version