บทที่ 496 ข้ารู้จักหัวหน้าของพวกเจ้า
“ไม่เอานะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวน ร่างกายถูกแรงดึงดูดมหาศาลกระชากให้ลอยลิ่วออกไปนอกกำแพงเมือง พอบินไปกลางอากาศก็ถูกแรงมหาศาลระลอกนั้นดึงรั้งให้ออกไปจากม่านแสงค่ายกลอย่างไม่มีการหยุดชะงัก
วิกฤตอันตรายรุนแรงระเบิดตูมตามอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับอสนีบาต ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาว กรีดร้องโหยหวนไม่หยุด
เขามองรอบด้านของตัวเองที่ยังมีนักพรตของห้ากองทัพอีกหลายคน ซึ่งคนเหล่านี้ต่างก็มีสภาพไม่ต่างจากเขา นั่นก็คือถูกปากใหญ่ในรอยแยกรูปห้าดาวดูดดึงร่าง
อีกทั้งยังมีนักพรตไม่น้อยที่พอเข้าไปใกล้ปากใหญ่ก็ถูกเขมือบกลืน เลือดเนื้อเปรอะเปื้อน เสียงโหยไห้ด้วยความเจ็บปวดดังไม่ขาดสาย ทำเอาทั้งสนามรบถูกเขย่าคลอน ขณะเดียวกันก็ทำให้ทางฝ่ายของกำแพงเมืองเสียหายไม่น้อย!
ภายใต้แรงดูดอย่างบ้าคลั่งราวผีกระหายหิวของปากใหญ่นั้น ฟ้าดินมืดมัว ลมเมฆพัดตลบ เสียงกัมปนาทดังไปแปดทิศ นักพรตที่ถูกดูดออกมาต่างพยายามคิดหาวิธีมาหยุดยั้งร่างกาย
บางคนร่ายเวทลับ บางคนใช้อาวุธยิ่งใหญ่ และยังมีบางส่วนที่ร่วมมือกันงัดท่าไม้ตายทั้งหมดที่มีออกมาใช้ พยายามดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง!
มีทั้งบางคนที่ทำสำเร็จ มีทั้งบางคนที่ล้มเหลว ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นบัดนี้เขาแทบจะเรียกได้ว่าขวัญหนีกระเจิดกระเจิง ท่ามกลางวิกฤตรุนแรงนั้น ในสมองของเขามีเพียงความคิดเดียว
“ข้าไม่อยากไป…” ท่ามกลางอาการตัวสั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันคำรามเสียงดัง
เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วของเขาเบิกโพลง เมื่อมันเปิดออก คลื่นพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งระลอกหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากในดวงตาที่สามคล้ายต้องการปิดผนึกให้ร่างของตัวเองอยู่นิ่ง
แต่กลับไม่ได้ผลมากนัก…เห็นว่าตัวเองลอยมาอยู่เหนือหัวของยักษ์ชนพื้นเมืองแดนทุรกันดารมากมาย เห็นว่าอยู่ห่างจากปากใหญ่ของผีโหยอีกไม่ไกลนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้อนใจจริงๆ เสียแล้ว
ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างทำมุทราอย่างรวดเร็วแล้วตบลงไปที่หน้าอกอย่างแรงหนึ่งครั้ง เส้นเลือดเต็มดวงตา ร้องคำรามเสียงแหบโหย
“คาถาคนขุนเขา!!”
ท่ามกลางเสียงคำรามของเขา เรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พองขยายขึ้น ตลอดทั้งร่างเปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือนคล้ายมีดินและหินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา พริบตาเดียวหินเหล่านั้นก็โอบล้อมไปรอบกายเขาหลายชั้น ขณะที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกแรงดึงดูดกระชากออกมาไกลหลายร้อยจั้ง ทันใดนั้นร่างของเขาก็พลันหายวับไปแล้วถูกแทนที่ด้วย…ร่างของมนุษย์หินขนาดใหญ่ยักษ์!!
มนุษย์หินตนนั้นร่างใหญ่นับร้อยจั้ง เมื่อมองไกลๆ ก็ราวกับภูเขาลูกย่อม แน่นอนว่าน้ำหนักของร่างกายก็ต้องเพิ่มขึ้นมาอย่างพรวดพราดด้วย นั่นจึงทำให้ร่างของเขาชะงักกึก ก่อนที่เขาจะใช้กำลังทั้งหมดทิ้งตัวลงไปข้างล่างอย่างแรง!
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง มนุษย์หินที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจำแลงร่างออกมาก็ร่วงตุ้บลงบนพื้น ก่อให้เกิดพลังโจมตีเป็นชั้นๆ ซัดทอดออกไป แต่ร่างของเขาก็ยังคงถูกดึงรั้งให้เคลื่อนไปข้างหน้า
ใบหน้าของมนุษย์หินนี้ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้สีหน้าของเขาดุร้าย ขณะที่แหงนหน้าแผดเสียงคำราม มือทั้งคู่ของเขาก็ยื่นลงไปที่พื้นอย่างแรง เสียงตูมตามดังก้อง แผ่นดินสั่นไหว มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนกระแทกจมยวบลงไปบนพื้นดิน!
บัดนี้พลังทั้งหมดในร่างของเขาระเบิดออก ตลอดทั้งร่างราวกับตะปูที่ตอกตรึงลงไปบนพื้นดินอย่างแน่นหนา ไม่ว่าแรงดึงดูดนั้นจะบ้าคลั่งแค่ไหน เมื่อเขาพยายามอย่างสุดชีวิตเช่นนี้ เรือนกายของเขาก็ยังคงตั้งตระหง่านไม่ไหวติง
ยังดีที่แรงดึงดูดนี้ดำรงอยู่ได้ไม่นานนัก ตลอดทั้งขั้นตอนก็ใช้เวลาแค่สิบกว่าชั่วลมหายใจเท่านั้น ปากใหญ่ในรอยแตกของรูปห้าเหลี่ยมค่อยๆ ปิดลงเพื่อเคี้ยวเลือดเนื้อของนักพรตจำนวนมากที่อยู่ในปาก ก่อนที่ปากใหญ่นี้จะหายวับไป รวมไปถึงรอยแยกของรูปห้ามเหลี่ยมที่ประสานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไปทั้งตัว ท่ามกลางลมหายใจที่หอบหนักยุ่งเหยิง ร่างกายก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ฟื้นคืนมาจากสภาพของคาถาคนขุนเขา เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นกระหน่ำรุนแรง มองเห็นปากใหญ่หายไป ความรู้สึกที่ได้รอดชีวิตหลังภัยพิบัติลอยขึ้นมากลางใจทันที
ผู้ที่ต้านทานแรงดึงดูดจากปากใหญ่ได้ไม่ได้มีเพียงแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้น เพราะอย่างไรซะนักพรตของกองทัพใหญ่ทั้งห้าก็มีมากหลายแสนคน ต่อให้ปากใหญ่จะกลืนคนลงไปได้มากขนาดไหน แต่ก็ไม่สามารถกลืนกินทุกคนได้หมด บวกกับที่มีคนไม่น้อยร่ายใช้ท่าไม้ตายเช่นเดียวกับป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นถึงทำให้รอดพ้นภัยครั้งนี้ไปได้
ทุกคนไม่ทันได้โล่งใจก็พากันหน้าถอดสี หันขวับไปมองรอบด้าน แล้วก็เห็นสายตาเย็นชามากมายที่แฝงไว้ด้วยความหิวกระหายซึ่งมาจากพวกยักษ์ชนพื้นเมือง
ในความเป็นจริงแล้วการปรากฏตัวของปากใหญ่ สำหรับแดนทุรกันดารนั้น สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่ให้ปากใหญ่กลืนกินกองทัพใหญ่ทั้งห้า แต่เป็น…อาศัยแรงดูดดึงที่น่าครั่นคร้ามสูบเอาพวกนักพรตที่มากกว่าเดิมให้ออกมาจากม่านแสงค่ายกล
ขอแค่คนเหล่านี้หลุดพ้นจากค่ายกลแล้วกระจัดกระจายอยู่ตามกองทัพใหญ่แดนทุรกันดารที่อยู่ข้างนอก ถ้าเช่นนั้นความเป็นความตายของพวกเขา…ก็ถูกกุมไว้ในมือของแดนทุรกันดารแล้วเกินครึ่ง!
“รีบกลับเข้ามา!” แม่ทัพของกองทัพใหญ่ทั้งห้ารวมไปถึงผู้แข็งแกร่งระดับผู้บังคับกองหมื่นบัดนี้ล้วนถูกดวงวิญญาณนับร้อยของอาจารย์หลอมวิญญาณสกัดกั้นจนมิอาจให้การช่วยเหลือได้ ได้แต่ตะโกนเดือดดาลด้วยความร้อนใจ
เวลาเดียวกันนั้นลำแสงในดวงตายักษ์ก็ยิ่งระเบิดออกมามากขึ้น ไม่เพียงแต่สาดส่องลงมากลางสนามรบ อีกทั้งม่านแสงค่ายกลก็ยังขยายออกไปอีกครั้งพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พยายามย่นระยะระหว่างนักพรตทั้งห้ากองทัพเพื่อสร้างการปกป้องให้กับพวกเขาอีกครั้ง
คนที่อยู่ใกล้หน่อยยังสามารถถอยกลับเข้าไปอย่างฮึกเหิม แต่ก็มีนักพรตอย่างน้อยสองแสนคนที่กระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของสมรภูมิรบ ห่างจากม่านแสงค่ายกลไปอีกระยะหนึ่ง อีกทั้งระหว่างกันยังมียักษ์ชนพื้นเมืองจำนวนมากกั้นขวางจนมิอาจฝ่าวงล้อมออกไปได้!
“ฆ่าพวกเขาซะ!!” เสียงคำรามกร้าวดังลอยมาจากปากของหัวหน้าชนเผ่านับร้อยในแดนทุรกันดารที่ห่างออกไปไม่ไกล ขณะเดียวกันพวกยักษ์ชนเผ่าที่อยู่บนสนามรบไม่จำเป็นต้องรอให้ใครออกคำสั่งก็พากันร้องคำรามตรงดิ่งเข้าไปสังหารพวกนักพรตที่อยู่ข้างกายของใครของมัน!
ชนพื้นเมืองหลายแสนคนลงมือพร้อมกันกลายมาเป็นการล้อมวงโจมตี ตัดขาดเส้นทางหวนกลับของนักพรตในค่ายกลที่ถูกดูดออกมาอย่างสิ้นเชิง!
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกหวาดหวั่นท่ามกลางใบหน้าที่ซีดขาว ร่างกายยังคงสั่นไหวน้อยๆ ในใจเกิดไอเย็นเยียบลอยขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขามองสนามรบที่อยู่รอบกาย อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก นาทีก่อนเขายังอยู่บนกำแพงเมืองอย่างปลอดภัยทั้งยังลำพองใจไปกับคุณความชอบในการรบของตัวเองที่ทะยานขึ้นพรวดพราด ทว่าวินาทีถัดมากลับต้องมาตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมที่ล้อมวนไปด้วยความตายเช่นนี้
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เขาไม่ยินดียอมรับ แต่กลับอับจนหนทาง ได้แต่มองสายตาบ้าคลั่งและละโมบจากยักษ์ชนพื้นเมืองหลายสิบคนที่อยู่รอบกายซึ่งกำลังตรงดิ่งมาหาตน แถมปากของพวกเขายังปล่อยเสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งออกมาด้วย
“มารป๋ายอยู่ตรงนี้ ฆ่ามารป๋ายซะ!!”
“ฮ่าๆ ไม่นึกเลยว่ามารป๋ายจะอยู่ใกล้กับข้าด้วย!!”
“เขาเป็นของข้าแล้ว ข้าจะกินเขา!” หนังหัวของป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะระเบิดออกเต็มที แถมเขายังพอจะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่โชยออกมาจากปากที่อ้าออกของชนพื้นเมืองเหล่านั้นด้วย
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งแดงก่ำ ช่วงเวลาคับขันแห่งความเป็นความตายนี้คล้ายมีเข็มเล่มหนึ่งทิ่มแทงเข้ามาในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับต้องการกระตุ้นเขา ร่างของเขาจึงพลันมีปณิธานแห่งความดุดันร้ายกาจแผ่ซ่านออกมา
“ข้า…ข้ารู้จักหัวหน้าของพวกเจ้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอธิบายเสียงแหบด้วยใบหน้าขึงขัง แต่หลังจากพบว่าไม่ว่าตัวเองจะตะโกนแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงรู้ทันทีว่าตัวเองไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว บัดนี้พลังกล้ามเนื้อจึงระเบิดออกอย่างเต็มกำลัง
“ตัวข้าเป็นของข้าเอง ไม่ใช่ของพวกเจ้า!! หากคิดจะเอาชีวิตข้า พวกเจ้าต้องเสียใจในภายหลังแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ตบลงไปบนถุงเก็บของ ทันใดนั้นเสื้อเกราะหลายชิ้นก็บินออกมา เสื้อเกราะนี้หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นก็คงสวมได้มากสุดแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนใช้วิธีการเช่นไร สรุปคือเขาใช้ความเร็วที่มากที่สุดสวมชุดทั้งหมดลงไปบนร่าง มองดูแล้วแปลกประหลาดอย่างมาก
และยังมีกระบี่บินหลายเล่ม อาวุธวิเศษหลายชิ้นที่ทยอยกันบินออกมาล้อมวนไปรอบกายเขา ทำให้พื้นที่ที่เขายืนอยู่เต็มไปด้วยห้าแสงสิบสี เจิดจ้าบาดตา พลานุภาพน่าตื่นตะลึง
ยังไม่สิ้นสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอายันต์ปึกใหญ่ออกมา ก่อนจะตบลงไปบนร่างทั้งหมดอย่างไม่สนใจสิ่งใด เมื่อยันต์มากมายร่วงลงบนร่าง เสียงเปรี๊ยะๆๆ ก็ดังสะท้อน ทันใดนั้นนอกกายของเขาก็มีม่านแสงคุ้มกันกายปรากฏพรวดขึ้นนับพันชั้น
พูดเหมือนช้าแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสวมชุบรบเต็มกำลัง ยักษ์ชนพื้นเมืองหลายสิบคนที่อยู่รอบกายเขาก็กระแทกเข้ามาโจมตี เสียงตูมๆๆ ดังต่อเนื่อง ยักษ์ชนพื้นเมืองหลายสิบคนแต่ละคนมีตบะไม่ธรรมดา ต่างก็เทียบเคียงได้กับรวมโอสถ ทว่าตอนนี้การป้องกันกายของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นแข็งแกร่งเกินไป พวกเขามิอาจชนจนทะลุเข้าไปด้านในได้ อีกทั้งเมื่อเจอแรงกระแทกกลับ แต่ละคนก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ทั้งยังถอยกรูดกระเด็นออกไป
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ยักษ์ชนพื้นเมืองทุกคนที่พากันพุ่งมาจากทิศไกลเบิกตากว้าง อึ้งงันเล็กน้อย
“บัดซบเอ๊ย นี่เขาดันสวมเสื้อเกราะตั้งสิบกว่าตัว เขา…เขาสวมเข้าไปได้ยังไงกัน!”
“แถมยังมียันต์พวกนั้นอีก ไม่ว่าชิ้นไหนก็ล้วนราคาไม่ธรรมดา ไอ้หมอนี่กลับเอาออกมาใช้ตั้งพันกว่าชิ้น!!”
“สวรรค์ เขามันถุงเก็บของเดินได้ชัดๆ!”
เห็นว่าตัวเองคล้ายจะรับมือได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สุดลมหายใจเข้าลึก ปลุกเร้ากำลังใจตัวเอง วางท่าพร้อมสู้ตาย ก่อนจะพุ่งเข้าไปเข่นฆ่าพวกยักษ์ชนพื้นเมืองที่กระเด็นถอยออกไป
“พวกเจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงคำราม อย่าเห็นว่าเขาสวมชุดเกราะหลายชั้น แถมร่างมีทั้งการป้องกัน มีทั้งอาวุธและกระบี่บินไม่น้อยกว่าหลายพันชิ้นที่ล้อมวนแน่นขนัดจนมองดูเหมือนงุ่มง่ามอย่างมาก
แต่ในความเป็นจริงแล้วความเร็วกลับไม่ลดน้อยลงไปแม้แต่นิด พอพุ่งตัวออกไปก็เข้าใกล้ยักษ์ชนพื้นเมืองคนหนึ่ง ยังไม่ทันรอให้ยักษ์ตนนี้ลงมือ เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนชนจนปลิวกระเด็นออกไปไกลหลายสิบจั้ง