Skip to content

A Will Eternal 570

บทที่ 570 วิธีการหลอมไฟ

ตลอดทั้งแดนทุรกันดารมีกลุ่มอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดห้ากลุ่ม แบ่งออกเป็นห้ามหานคร!

ห้ามหานครนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหนึ่งจักรพรรดิสี่ราชา! แบ่งออกเป็นนครราชาจิ่วโยว นครราชาจวี้กุ่ย นครราชาโต้วเซิ่งและนครราชาหลิงหลิน และสุดท้ายคือ…นครจักรพรรดิขุย!

ไม่เหมือนกับสำนักในแผ่นดินใหญ่ทงเทียน ในแดนทุรกันดารนี้เหมือนจะสืบทอดระบบโครงสร้างที่เก่าแก่ต่อๆ กันมา ผู้ที่อยู่สูงสุดก็คือจักรพรรดิขุยของรุ่นนี้ และรองลงมาจากจักรพรรดิขุยก็คือสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่!

สี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่นี้เป็นเหมือนเจ้าผู้ปกครองดินแดน กำกับดูแลนครใหญ่อีกสี่แห่งที่เหลือ และต่างก็มีกองกำลังทหารเป็นของตัวเอง

ในนครจักรพรรดินี้นอกจากราชาสวรรค์แล้ว รองลงมาจากราชาสวรรค์ยังมีเจ้าพระยาสวรรค์ ตามด้วยพระยาสวรรค์ …เห็นได้ชัดว่าการแบ่งอำนาจของแดนทุรกันดารได้อิงตามโครงสร้างของราชวงศ์

ป๋ายเสี่ยวฉุนสรุปคำตอบนี้ได้จากคำถามแต่ละข้อ แม้ว่าคำตอบข้อนี้จะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อคิดอย่างละเอียดก็ยังถือว่าอยู่ในการคาดเดาของเขา เพราะอย่างไรซะหากดูจากข้อมูลที่เขารับรู้มา พวกผู้ฝึกวิญญาณและอาจารย์หลอมวิญญาณในแดนทุรกันดารเองก็เคยเป็นเจ้าผู้ปกครองแผ่นดินแห่งนี้มาก่อน

เพียงแต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ถูกเทียนจุนแห่งเกาะทงเทียนโค่นล้มระบบราชวงศ์แล้วเข้ามาแทนที่ พวกกบฏของราชวงศ์ก่อนที่รอดชีวิตจึงหนีเข้ามาในแดนทุรกันดาร นั่นถึงทำให้เกิดสภาพการณ์เฉกเช่นปัจจุบัน

และสถานที่ที่เขาอยู่ตอนนี้ก็คือขอบเขตอิทธิพลของนครจวี้กุ่ยที่ราชาจวี้กุ่ยหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้ปกครอง ผืนป่าแห่งนั้นที่เขาจากมามีชื่อว่าป่าลวงวิญญาณ

ขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าหากดูจากพิกัดภูมิศาสตร์ของแผ่นดินใหญ่ทงเทียน ตำแหน่งที่ตั้งของนครราชาจวี้กุ่ยก็คือที่ตั้งของแม่น้ำทงเทียนสายตะวันตก…ห่างไกลลิบลับจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำทงทียนสายตะวันออก

หากคิดจะกลับจากที่นี่ไปยังสายตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจำเป็นต้องข้ามผ่านมหาสมุทรทงเทียน ระดับความยากเช่นนี้เกรงว่าต่อให้เป็นนักพรตก่อกำเนิดก็ยังทำไม่ได้ มีเพียงคนที่มีตบะคนฟ้าเท่านั้นถึงจะข้ามผ่านมหาสมุทรทงเทียนไปได้

ทว่านี่ก็ไม่ใช่วิธีเดียวที่มี หากสามารถใช้ค่ายกลนำส่ง ถ้าเช่นนั้นการที่จะกลับจากพื้นที่ของแดนทุรกันดารไปยังแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากเท่าใดนัก เพียงแต่ว่าตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตะล่อมสอบถาม เขากลับแอบรู้สึกว่าในคำพูดของโจวอีซิงเหมือนจะบอกเป็นนัยว่าค่ายกลนำส่ง…มีเพียงคนที่เกิดในแดนทุรกันดารเท่านั้นถึงจะใช้ได้

ดูเหมือนว่าค่ายกลนำส่งนั้นใช้พลังจิตวิญญาณในแดนทุรกันดารเป็นรากฐาน มีความมหัศจรรย์อยู่มากมาย

แต่โจวอีซิงเองก็ไม่แน่ใจนักเพราะเขาก็ฟังคนอื่นเล่ามาเหมือนกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน มองท้องฟ้าอยู่ตรงปากถ้ำไม่พูดไม่จา ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงได้ถอนหายใจ

“ช่างเถอะๆ จะยังไงก็ต้องลองดู ไม่แน่ว่าหากข้าโชคดีอาจจะได้ถูกส่งตัวกลับไปจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ก่อนจะหันมามองโจวอีซิงที่ถูกเขาตบจนหมดสติไป

ครุ่นคิดว่าถึงแม้คนผู้นี้จะต้องการเอาชีวิตของตนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จะให้ฆ่าอีกฝ่ายทิ้งก็น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย หากอยู่ในกำแพงเมือง ปลิดชีพอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องให้คิดมาก แต่อยู่ที่นี่ตนตัวคนเดียว ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ จำเป็นต้องมีคนผู้หนึ่งช่วยนำทาง

อีกทั้ง…ในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน โจวอีซิงผู้นี้ก็คือดาวนำโชคของตนมาตั้งแต่ต้นจนจบ คนแบบนี้มาปรากฏกายอยู่หน้าตนก็เหมือนเป็นสัญญาณบอกให้ตนรู้ว่าเมื่ออยู่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้ ไม่แน่เขาอาจจะเจริญก้าวหน้าได้อีกครั้ง…

ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งตัดใจฆ่าโจวอีซิงไม่ลง ดังนั้นพอไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ทำมุทราลงผนึกบนร่างของโจวอีซิงนับร้อยผนึกรวดเดียว หลังจากกำหนดความเป็นความตายของอีกฝ่ายให้อยู่ที่ความคิดเดียวของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาถึงได้วางใจ

“หากไม่มีตบะเลยก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้าอยู่ๆ เขาซวยไปเจอกับปัญหาอะไรเข้าแล้วถูกเล่นงานจนตายจะแย่เอาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมาก็ปล่อยตบะของโจวอีซิงออกมาส่วนหนึ่ง แต่กลับรู้สึกไม่ปลอดภัยอีก ดังนั้นจึงลดลงไปอีกครึ่ง

“ตบะครึ่งหนึ่งต่อให้เขาเจอกับนักพรตสร้างฐานรากก็ยังพอเอาตัวรอดได้ อย่างน้อยก็หนีรอดได้อย่างปลอดภัย” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองดีกับดาวนำโชคมากแล้วจึงไม่ได้สนใจอีกฝ่ายอีก แต่นั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ก่อนจะหยิบเอาตำรับการหลอมไฟหลายสีที่โจวอีซิงอธิบายไว้ออกมาเริ่มศึกษา

เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงบังเกิดเงาทับซ้อน ร่างจำแลงทั้งสามของเขาพากันเดินออกมาหมด คนหนึ่งเดินไปนอกถ้ำ อีกสองคนนั่งขนาบซ้ายขวาตัวจริงของเขาเพื่อเป็นผู้พิทักษ์

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว โจวอีซิงนั้นฟื้นขึ้นมานานแล้ว เขานอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น

หลังจากสัมผัสได้ว่าตบะบนร่างของตัวเองถูกปิดผนึกไปเก้าส่วนครึ่ง ในใจลึกๆ เขารู้สึกคลายใจ รู้ว่าในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ฆ่าตน แถมยังผนึกตบะของตนไปมากขนาดนี้ ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าตนพอจะรักษาชีวิตรอดไว้ได้ชั่วคราว

แต่พอนึกถึงความซวยที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่ตนไปเขาวงกตจนมาถึงตอนนี้

โจวอีซิงก็คร่ำครวญด้วยความเศร้าสลดอยู่ในใจ เขานอนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตามองเหม่อขึ้นไปยังเพดานถ้ำ

ขณะที่โจวอีซิงกำลังเหม่อลอย ป๋ายเสี่ยวฉุนได้จมจ่อมอยู่กับการศึกษาตำรับการหลอมไฟหลากสีไปทั้งตัวและหัวใจ ยิ่งศึกษาเขาก็ยิ่งตะลึง จนถึงท้ายที่สุดเขาก็ถึงกับจุ๊ปากเอ่ยชมไม่หยุด

“ไฟหลากสีนี่หลอมแบบนี้เองหรือ…ใช้วิญญาณที่ต่างชนิดต่างธาตุมาเป็นวัตถุดิบ อีกทั้งข้อเรียกร้องที่มีต่อวิญญาณนั้นๆ ก็ถูกกำหนดไว้อย่างเข้มงวดมากด้วย”

“แถมหากคิดจะหลอมไฟสองสีออกมาได้ก็จำเป็นต้องหลอมจากรากฐานของไฟหนึ่งสี…หลังจากกลายมาเป็นไฟสองสีแล้วก็เติมวิญญาณเข้าไปแล้วค่อยหลอมใหม่ถึงจะกลายมาเป็นไฟสามสี…” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนส่องประกายแสงพริบพราว ความสนใจพุ่งขึ้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาพบว่าการหลอมไฟนี้มีบางจุดที่คล้ายคลึงกับการหลอมยา แม้ว่าจะไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่กลับพอจะทำความเข้าใจได้

“น่าสนใจ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก ความสนใจในดวงตายิ่งเข้มข้น เขารู้ดีว่าข้อได้เปรียบของตัวเองอยู่ตรงไหน ดังนั้นจึงยิ่งใจสั่นไปกับการหลอมไฟนี้

ยามนี้เขาไม่ได้สนใจตำรับการหลอมไฟสองสีอีกแล้ว แต่เอาความสนใจทั้งหมดมาไว้ที่ไฟหนึ่งสี ป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมจะทดลองทำไปทีละนิด ลองหลอมไปทีละขั้นตอน

ขณะที่เขากำลังศึกษาตำรับการหลอมไฟหนึ่งสีอยู่นั้น ร่างจำแลงน้ำที่อยู่ข้างกายเขาพลันลืมตาโพลง

หลังจากลุกขึ้นยืนและดึงเอาถุงเก็บของบนร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนไปก็ขยับร่างเดินออกไปนอกถ้ำ ก่อนจะห้อทะยานไปรอบด้านอย่างต่อเนื่องเพื่อตามหาวิญญาณพยาบาท

โจวอีซิงมองทุกอย่างนี้ด้วยประกายตาวาววับ

เขามองร่างจำแลงของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งตกตะลึง โดยเฉพาะนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ร่างจำแลงทั้งสามทำลายตราผนึกของตัวเอง ลักษณะพลังที่ทำลายล้างทุกอย่างให้วอดวายเช่นนั้นทำให้เขาต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่ได้

“เจ้าคนแซ่ป๋ายผู้นี้ฝึกวิชาอภินิหารอะไรกันแน่ ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นร่างจำแลงมาก่อนเสียหน่อย แต่ร่างจำแลงของคนอื่นๆ ล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา มีตบะได้ส่วนหนึ่งของตัวจริงก็ถือว่าสุดยอดมากแล้ว ทว่าร่างจำแลงของคนผู้นี้กลับแกร่งกร้าวไม่ต่างจากตัวจริง นี่…นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!”

ท่ามกลางความคลางแคลงใจของโจวอีซิง เวลาได้ผ่านไปแล้วหลายชั่วยาม ข้างนอกผืนฟ้ามืดดำ แล้วทันใดนั้นร่างหนึ่งก็พุ่งพรวดเข้ามาในถ้ำทำเอาโจวอีซิงสะดุ้งตกใจ แต่พอมองอย่างละเอียดก็จำได้ว่านั่นคือร่างจำแลงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดินออกไปก่อนหน้านี้

พอร่างจำแลงนี้เดินมาหยุดอยู่หน้าตัวจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ส่งถุงเก็บของให้กับเขา ก่อนจะนั่งลงทำสมาธิต่อไป

ดวงตาทั้งคู่ของร่างจริงป๋ายเสี่ยวฉุนลืมขึ้น รับเอาถุงเก็บของมา พอโบกมือในถุงเก็บของก็มีวิญญาณพยาบาทลอยออกมาเจ็ดแปดดวง วิญญาณพยาบาทเหล่านี้มีลักษณะพร่าเลือนมองเห็นได้ไม่ชัด เป็นเหมือนกลุ่มควันที่ล่องลอย บางครั้งก็แปลงกายมาเป็นชนพื้นเมือง บางครั้งก็เป็นใบหน้าดุร้ายของสัตว์ป่าที่หันมาร้องคำรามใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แม้แต่จะเหลือบมองพวกมัน

ยามนี้สีหน้าของเขาเคร่งเครียดอย่างถึงขีดสุด ตกอยู่ในภวังค์เหมือนตอนที่หลอมยาไปเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นบีบ วิญญาณพยาบาทเจ็ดแปดดวงก็ถูกคว้ามาอยู่ในกำมือของป๋ายเสี่ยวฉุน

การบีบครั้งนี้คล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยขั้นตอนที่มหัศจรรย์บางอย่างจึงทำให้มีแสงไฟหลายเสี้ยวล่องลอยออกมาจากในหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าไม่นานแสงไฟนี้ก็ค่อยๆ หายไป เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนคลายมือออกอีกครั้งกลางฝ่ามือของเขาก็ว่างเปล่าไม่เหลือสิ่งใดแล้ว

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้โจวอีซิงที่อยู่ข้างกันเบะปากใส่ ในใจเต็มไปด้วยความดูหมิ่น

“เขากำลังใช้วิธีการหลอมไฟของตระกูลโจวข้าอยู่นั่นเอง…หึ ตำรับการหลอมไฟของตระกูลโจวข้าได้รับมอบมาจากราชาจิ่วโยว แม้ว่าจะไม่ถึงกับเป็นระดับสุดยอด แต่ก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง หากไม่ได้ผ่านการฝึกฝนให้ชำนาญเป็นระยะเวลาหลายสิบปีหรือถึงหลายหกสิบปีก็ยากที่จะทำได้สำเร็จ ต่อให้เป็นไฟหนึ่งสีก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีขึ้นไปถึงจะได้ พรสวรรค์ในด้านการหลอมวิญญาณของข้า แม้แต่ผู้อาวุโสในตระกูลยังเอ่ยปากชม ต่อให้เป็นอย่างนี้ข้าก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามเดือน ทดลองหลายพันครั้งถึงจะสำเร็จ ทั้งๆ ที่คนผู้นี้มีตำรับการหลอมไฟแบบอื่นแต่กลับเลือกจะทำตามวิชาของตระกูลโจวข้า ไม่เจียมตน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว มองฝ่ามือด้วยสีหน้าครุ่นคิด หลังจากอนุมานอยู่พักใหญ่ ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เปล่งแสงวาบ ก่อนจะหยิบเอาวิญญาณพยาบาทเจ็ดแปดดวงออกมาจากในถุงเก็บของอีกครั้ง เขาจ้องมองนิ่ง แล้วอยู่ๆ ก็ยกมือขวาขึ้นบีบ

การบีบครั้งนี้ภาพเหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อวิญญาณพยาบาทถูกรวมเข้าด้วยกัน แสงไฟเป็นเส้นๆ จึงเปล่งวูบวาบ แต่กลับไม่ดับสลายไป

ทว่ายิ่งเปลี่ยนมาเป็นเจิดจ้ามากขึ้น เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนแบมือออก กลางฝ่ามือของเขาก็มีไฟหนึ่งสีกลุ่มหนึ่งที่ลุกโชติช่วงผุดออกมาทันที!!

ภาพนี้ทำให้โจวอีซิงเบิกตากว้างทันใด เขามองตาค้างอ้าปากกว้าง ขณะเดียวกันก็อึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น เขารู้ดีว่าระหว่างตำรับที่มีความแตกต่างกันนั้นยากที่จะเอามาผสมผสานเข้าด้วยกันได้ โดยทั่วไปแล้วอาจารย์หลอมวิญญาณคนหนึ่งจะเชี่ยวชาญวิชาการหลอมไฟชนิดเดียวเท่านั้น ยากที่จะเชี่ยวชาญเกินวิธีการเดียว ต่อให้ทำได้จริงๆ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับแก้ไขอยู่นานมาก

แต่ตอนนี้เจ้าคนแซ่ป๋ายผู้นี้กลับ…ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป แค่ครั้งที่สองก็ทำสำเร็จแล้ว!

นี่ทำให้โจวอีซิงตกตะลึงจนลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นจากเดิม

“ก็แค่โชคดีเท่านั้น ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน เจ้าคนแซ่ป๋ายผู้นี้ก็แค่โชคดีเท่านั้น!” โจวอีซิงกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึกทั้งปลอบใจตัวเองไปด้วย ทว่าดวงตากลับจับจ้องมายังไฟหนึ่งสีกลางมือป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ขาดระยะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version