Skip to content

A Will Eternal 712

บทที่ 712 หา? รีบร้อนขนาดนี้เชียว

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังจากที่ตนระเบิดอารมณ์อย่างร้าวรานใจ ราชาผียักษ์จะพูดประโยคนี้ออกมา…

“เอ่อ…ลูก…ลูกสาวของเจ้า? ยกให้ข้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกมึนๆ งงๆ ในสมองเล็กน้อย ลูกสาวของราชาผียักษ์ เขาเคยได้ยินมาว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะลึกลับอย่างมาก และไม่ได้อยู่ในนครผียักษ์แห่งนี้ แต่ไปอยู่ที่นครจักรพรรดิขุยตั้งแต่เด็กแล้ว

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปพวกเราจะได้เป็นคนครอบครัวเดียวกันอย่างไรล่ะ”

ดวงตาของราชาผียักษ์เปล่งประกายวิบวับ มองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายที ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ของตัวเองไม่เลว อีกทั้งในสายตาเขายังมองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือต้นกล้าที่ดี ไม่เพียงแต่ความเป็นมาชัดเจน ทั้งยังยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด และที่สำคัญที่สุดก็คือตรงกับความต้องการของตน

ลูกเขยเช่นนี้ ในสายตาของเขา นอกจากตบะอ่อนด้อยไปสักหน่อยแล้ว ด้านอื่นๆ ก็ล้วนมีคุณสมบัติครบถ้วน แต่ตบะอ่อนด้อยยังถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะจะได้ถูกลูกสาวของตนกำราบได้อย่างอยู่หมัด

“อีกอย่างพลังแฝงของป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา วันนั้นเลือดเพียงหยดเดียว เขากลับระเบิดพลังโจมตีของครึ่งเทพออกมาได้ เห็นได้ชัดถึงความลึกล้ำของรากฐานเขา…” ราชาผียักษ์คิดมาถึงตรงนี้ ความคิดก็โลดแล่นทันใด

“คือว่า…หวังเหย่ เรื่องนี้จะทำลวกๆ ไม่ได้นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เขามองใบหน้าของราชาผียักษ์ พอในสมองลองเอาภาพใบหน้านี้ตอนเป็นหนุ่มมาเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้หญิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ชาไปทั้งหนังหัว รู้สึกว่าหน้าตาอย่างนี้ช่างอัปลักษณ์ยิ่งนัก

“ทำไม เจ้าไม่พอใจรึ? หึ…เจ้าไม่ต้องลองเปรียบเทียบแล้ว โจวจื่อโม่ลูกสาวของข้าผู้เป็นราชาหน้าตางามล้ำเกินกว่าเฉินม่านเหยา พรสวรรค์ก็ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่เฉินม่านเหยาจะเทียบเคียงได้ เจ้าได้เห็นนางก็รู้เอง ต่อให้ข้าผู้อาวุโสมีใจอยากจะยกให้เจ้า แต่ก็ใช่ว่านางจะยอมตกลง” ราชาผียักษ์ถลึงตา โบกมืออย่างไม่พอใจ

“รีบปล่อยตัวเฉินม่านเหยามาซะ เรื่องนี้จัดการตามนี้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ มองราชาผียักษ์ตาปริบๆ ตอนนี้เขาอับจนหนทางแล้วจริงๆ อีกฝ่ายถึงขั้นยกลูกสาวให้กับตน หากยังไม่ปล่อยไปอีก เกรงว่าราชาผียักษ์เองก็คงไพล่คิดไปถึงเรื่องอื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังคิดไม่ตกถอนหายใจออกมายาวๆ บอกกับตัวเองว่าคงต้องลองเดิมพันดูแล้ว หวังว่าเฉินม่านเหยาจะจำตนไม่ได้ หรือไม่ก็เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ไม่ขายเขาให้กับคนอื่น

คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันกรอด ก่อนจะหยิบเอาเฉินม่านเหยาที่หมดสติอยู่ในถุงเก็บของออกมาวางไว้ด้านข้าง

ราชาผียักษ์กวาดสายตามองไปทันที รูปโฉมของเฉินม่านเหยา เขาได้ยินมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ได้มาเห็นครั้งแรก หน้าเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเหยเก คล้ายเข้าใจแล้วว่าเหตุใดป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ยืนหยัดไม่ยอมปล่อยตัวอีกฝ่าย

“เป็นสาวงามอย่างแท้จริง” ราชาผียักษ์ไอแห้งๆ หนึ่งทีแล้วก็ถลึงตามองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง นั่นถึงได้สะบัดปลายแขนเสื้อพาเฉินม่านเหยาที่หมดสติจากไป พร้อมกำชับอีกประโยค

“เรื่องนี้เอาตามนี้ พรุ่งนี้เจ้าก็ใช้ค่ายกลนำส่งไปที่นครจักรพรรดิขุย ไปหาลูกสาวของข้าที่กองทัพผียักษ์ นางคือแม่ทัพใหญ่ของกองทัพ เจ้าไปช่วยงานนาง ส่วนเรื่องของความรักความรู้สึก พวกเจ้าก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากันไปช้าๆ”

“หา? รีบร้อนขนาดนี้เชียว คือว่า…ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีความสนใจใดๆ ในตัวโจวจื่อโม่ผู้นั้นสักนิด ใจอยากจะปฏิเสธราชาผียักษ์ ทว่าเรื่องนี้ราชาผียักษ์กลับออกคำสั่งโดยตรง ไม่เปิดโอกาสให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปฏิเสธแม้แต่น้อย!

“ก่อนหน้านี้โม่เอ๋อร์ก็เคยบอกให้ข้าผู้อาวุโสจัดหาคนไปช่วยนาง ตอนนี้ดูๆ แล้วเจ้าก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุด เอาตามนี้ พรุ่งนี้เจ้าต้องออกจากเมืองทันที!”

“นอกจากนี้ลูกสาวข้าเป็นคนแข็งแกร่ง ไม่คิดจะใช้ชื่อเสียงของข้าเป็นใบเบิกทาง ฐานะของโม่เอ๋อร์ที่นั่น ลูกน้องของนางที่รู้มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ ส่วนพวกชนสูงศักดิ์นั้นล้วนรู้กันดีแต่ไม่มีใครพูดออกมา เจ้าก็ต้องจำไว้ว่าอย่าสร้างปัญหาให้นาง!” ราชาผียักษ์กล่าวจบก็หมุนกายหายตัวไปจากห้องลับ

เมื่อเห็นว่าราชาผียักษ์จากไปแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้านิ่วคิ้วขมวด สำหรับโจวจื่อโม่แม่ทัพใหญ่ที่แปลกหน้าคนนั้น เขาไม่อยากสู่ขอนาง ครุ่นคิดว่าตนเป็นถึงผู้บังคับกองหมื่น กะอีแค่แม่ทัพใหญ่คนเดียวจะเท่าไหร่กันเชียว…

ส่วนกองทัพผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พอจะจำได้ว่าคราวนั้นที่อยู่กำแพงเมืองก็เหมือนว่าเขาจะจับตัวผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่งที่จัดการทำธุระให้กับราชาผียักษ์มาได้ แต่คนผู้นั้นบอกว่าตัวเองเป็นลูกน้องของพระยาสวรรค์คนใดคนหนึ่งในสังกัดของราชาผียักษ์ แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังลังเล ขบคิดว่าเรื่องคงไม่บังเอิญขนาดนั้น…เพราะอย่างไรซะในนครผียักษ์ก็มีการก่อกบฏ เป็นไปได้มากว่าคนที่เขาจับได้ในปีนั้นจะเป็นคนที่ได้รับคำสั่งจากพระยาสวรรค์คนใดคนหนึ่งให้ออกไปจัดการเรื่องบางอย่าง

และยังมีนครจักรพรรดิขุยนั่นอีกที่เขาไม่อยากไป เพราะสำหรับเขาแล้วที่นั่นอันตรายอย่างมาก ยิ่งไม่รู้ว่าเฉินม่านเหยาจำเขาได้หรือไม่อย่างนี้

หากเขาไปที่นครจักรพรรดิขุยแล้วเจอเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา นั่นก็เท่ากับพาตัวเองพุ่งเข้าใส่แห

อีกอย่างหนึ่งก็คือ…ก่อนหน้านี้เขาลักพาตัวลูกหลานชนสูงศักดิ์เกือบครึ่งในนครจักรพรรดิขุยมา ตอนนี้ไปที่นั่นก็เท่ากับส่งเนื้อแพะเข้าปากเสือ…

แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้ ราชาผียักษ์ยืนกรานเด็ดเดี่ยวขนาดนั้น แถมก่อนหน้านี้ตนระเบิดอารมณ์ไปแล้วรอบหนึ่ง หากยังจะเล่นแง่อีกครั้ง…เกรงว่าคงต้องแตกหักกับราชาผียักษ์แล้วจริงๆ พอถึงเวลานั้น ตนก็จะสูญเสียประโยชน์ในนครผียักษ์แห่งนี้ไป

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนทึ้งผมของตัวเองอย่างแรง และเวลานี้เองวิญญาณของป๋ายฮ่าวก็แอบลอยออกมาจากในถุงเก็บของอย่างเงียบเชียบ เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าปลงอนิจจัง ก่อนหน้านี้มีราชาผียักษ์อยู่ด้วย เขาไม่กล้าเผยปราณตัวเองออกมาแม้แต่น้อย ทว่าคำพูดของคนทั้งสอง เขากลับได้ยินอย่างชัดเจน ทำให้ต้องถอนหายใจด้วยความปลงอนิจจังกับความกล้าหาญของอาจารย์ตัวเองอีกครั้ง

เขาไม่รู้ว่าขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนสวมหน้ากาก ตัวเองอยู่ข้างกายเขาก็ยากที่จะมีใครจับได้

“ท่านอาจารย์ สำหรับเรื่องของลูกสาวราชาผียักษ์ ศิษย์เคยได้ยินมาบ้างนิดหน่อย ผู้หญิงคนนี้ลึกลับมาก ดูเหมือนว่าจะฝึกบำเพ็ญตนอยู่ข้างนอก อยู่ในนครผียักษ์มาเพียงลำพังตั้งแต่เด็ก…” ป๋ายฮ่าวพูดเบาๆ บอกเรื่องที่ตัวเองรู้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังทั้งหมด

แต่ว่าเรื่องที่เขารู้มาก็มีไม่มากนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ หลังจากคิดไปคิดมาก็ยังหาวิธีอื่นไม่ได้ ดังนั้นจึงเร่งร้อนออกไปนอกห้องลับ เริ่มสืบหาข่าวจากภายนอก

ด้านหนึ่งคือสืบข่าวเรื่องนครจักรพรรดิขุย อีกด้านหนึ่งคือสืบข่าวเรื่องของลูกสาวของราชาผียักษ์ จนกระทั่งถึงกลางดึก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกลับมาด้วยหน้าตาบูดบึ้ง กัดฟันกรอดอย่างแรง

“นครจักรพรรดิขุยช่างน่ากลัวยิ่งนัก ข้าไม่มีทางไปเด็ดขาด! อย่างมากก็ออกไปหาที่หลบข้างนอกสักพัก…”

หนึ่งคืนผ่านไป เมื่อยามสนธยาวันที่สองมาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนอิดออดไม่ยอมไป แล้วก็ไม่กล้าใช้ค่ายกลนำส่งเลยถือโอกาสหาข้ออ้างไปยืมเรือราชาผีมาจากราชาผียักษ์ ตามแผนการของเขา ภายนอกคือรับปาก แต่ทางลับๆ จะแอบหนีไปให้ไกล หลบไปสักพักหนึ่งก่อนแล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง ไม่แน่ว่าราชาผียักษ์ก็อาจจะเข้าใจการตัดสินใจของตนแล้ว

ส่วนเรือราชาผี เขาอยากได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว รู้ว่านี่คือของดีชิ้นหนึ่ง เลยถือโอกาสนี้ไถมาใช้เองสักลำ

แต่เห็นได้ชัดว่าราชาผียักษ์คิดได้ถึงข้อนี้

หลังจากมอบเรือราชาผีให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง เลยถึงกับเรียกอู๋ฉางกงมาให้เขาช่วยกระตุ้นเรือลำนี้พาป๋ายเสี่ยวฉุนไปส่งที่นครจักรพรรดิขุยด้วยตัวเอง

อู๋ฉางกงเองก็จนใจ รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีค่ายกลแต่ดันไม่ยอมใช้ กลับคิดจะใช้เรือราชาผี แต่หวังเหย่สั่งความมาแล้ว เขาก็ได้แต่รับคำสั่ง ดังนั้นจึงกระตุ้นเรือราชาผี พาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนเซ่อกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งไปจากนครผียักษ์

ยืนอยู่บนเรือราชาผี ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา อู๋ฉางกงที่อยู่ข้างกันสีหน้าดำคล้ำ ไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนเลยสักนิด ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่มีอารมณ์มาสนใจเขาเช่นกัน

ตอนนี้เขาร้องทุกข์อยู่ในใจตัวเองไม่หยุด แผนการถูกราชาผียักษ์จับได้ ตอนนี้เขาจึงจำต้องไปที่นครจักรพรรดิขุยแล้วเท่านั้น

“ด้วยตบะคนฟ้าของอู๋ฉางกง กระตุ้นเรือราชาผีนี้ ใช้เวลาประมาณสามเดือนก็น่าจะไปถึงนครจักรพรรดิขุย” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบึ้งตึง ก้มหน้าลงมองแผ่นหยกในมือ

แผ่นหยกนี้มีแผนที่อยู่ ระยะห่างระหว่างนครผียักษ์กับนครจักรพรรดิขุยนับว่าค่อนข้างใกล้ แต่หากมาจากนครเก้านรกภูมิ เกรงว่าจำเป็นต้องให้อู๋ฉางกงกระตุ้นเรือราชาผีไม่หยุดอย่างน้อยหนึ่งปีถึงจะได้

หากเปลี่ยนมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนกระตุ้น ระยะเวลาต้องยาวนานยิ่งกว่านั้น อีกทั้งความอันตรายตลอดทางนี้ หากไม่ใช่คนฟ้าก็ยิ่งเดินทางได้อย่างยากลำบาก

ตอนนี้ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ป๋ายเสี่ยวฉุนนวดคลึงหว่างคิ้ว ในสมองมีข่าวเกี่ยวกับนครจักรพรรดิขุยที่ตนออกไปสืบข่าวเมื่อวานนี้ลอยขึ้นมา

ตลอดทั้งจักรพรรดิขุย ตั้งแต่บนลงล่าง ตำแหน่งสูงสุดคือจักรพรรดิขุย

ทว่าต้าเทียนซืออยู่เหนือผู้ใด จากนั้นก็ตามมาด้วยสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ สิบเจ้าพระยาสวรรค์และพระยาสวรรค์อีกหนึ่งร้อยแปดคน!

ราชาสวรรค์ทุกท่านจะมีพระยาสวรรค์สิบคนอยู่ในเมือง ส่วนเจ้าพระยาสวรรค์กลับไม่มีเลย เหมือนอย่างพวกอู๋ฉางกงนับเป็นได้แค่เจ้าพระยาปฐพี แม้ฐานะจะสูงกว่าพระยาสวรรค์ แต่กลับห่างจากเจ้าพระยาสวรรค์คนละโยชน์

เจ้าพระยาสวรรค์สิบคนเป็นตัวแทนของคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนทุรกันดาร พวกเขาสิบคนก็คือหนึ่งในรากฐานของนครจักรพรรดิขุย ส่วนพระยาสวรรค์หกสิบแปดคนก็เป็นเช่นเดียวกัน ซึ่งพวกเขาก็อาศัยอยู่ในนครจักรพรรดิขุยเช่นกัน

และตลอดทั้งนครจักรพรรดิขุยก็นับว่าเป็นนครที่ใหญ่ที่สุดในแดนทุรกันดาร ทั้งยังแบ่งเป็นบนและล่าง เบื้องบนของนครจักรพรรดิมีนครท้องฟ้า ซึ่งก็คือวังหลวง

วังหลวงมีประตูประตูสวรรค์สี่แห่ง พิทักษ์สี่ทิศ ได้รับความเคารพนับถือจากปวงประชานับล้านนับแสน

นับตั้งแต่ที่ต้าเทียนซือจี้ตัวโอรถสวรรค์ สี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ไม่สามารถมาเยือนนครจักรพรรดิขุยได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อต้าเทียนซือออกคำสั่ง กองทัพของพวกเขากลับจำเป็นต้องมาตั้งทัพอยู่ล้อมนครจักรพรรดิขุย

กองทัพด้านทิศตะวันตกของนครจักรพรรดิขุยก็คือกองทัพผียักษ์ และแม่ทัพใหญ่ของกองทัพนี้ก็คือลูกสาวของราชาผียักษ์อย่างโจวจื่อโม่

ส่วนเรื่องของโจวจื่อโม่ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ข่าวจากในนครผียักษ์เท่าใดนัก รู้เพียงว่านิสัยของหญิงสาวผู้นี้เข้ากับราชาผียักษ์ไม่ได้ นางออกจากนครผียักษ์ไปฝึกบำเพ็ญตบะด้วยตัวเองเมื่อนานมาแล้ว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับราชาผียักษ์หลังจากที่นางได้กลายมาเป็นแม่ทัพใหญ่นั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้นัก

“เห็นได้ชัดว่าโจวจื่อโม่มีนิสัยดื้อแพ่ง หึหึ ผู้หญิงป่าเถื่อนอย่างนี้จะมาเข้าใจการนำทัพได้อย่างไร ข้าเป็นถึงผู้บังคับการกองหมื่น ครั้งนี้ถือซะว่าไปนำทัพแทนนางก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ หงุดหงิดและระอาใจอย่างมาก

ส่วนข่าวที่มากกว่านั้น เนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนมีเวลาน้อยจึงสืบหามาได้ไม่มากเท่าไหร่นัก อู๋ฉางกงที่อยู่ข้างกันแม้จะรู้อยู่บ้าง ทว่าเนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาต้องมาลำบากไปด้วย เขาจึงไม่พอใจอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเอ่ยถามแค่ไหน เขาก็แค่หลับตาไม่พูดไม่จา เอาแต่กระตุ้นความเร็วของเรือราชาผีต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version