บทที่ 684 อำนาจเพิ่มพูนอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าราชาผียักษ์จะโกรธเข้าจริงๆ เสียแล้ว
สายตาเช่นนั้นราวกับเจ็บใจที่เหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเดือดดาลราวกับว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ส่งฮูหยินเฉินกลับไป เขาก็จะลงมือเอง ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจเสียบ้างว่าเมื่อทำผิดจะต้องถูกลงโทษอย่างไร!
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม สบถด่าว่าราชาผียักษ์ไร้ยางอาย ยืนเงยหน้ามองอีกฝ่ายตาปริบๆ ไม่ว่าราชาผียักษ์จะบันดาลโทสะแค่ไหน เขาก็ยังยืนนิ่งไม่ขยับ
“ยังไม่ออกไปอีก!” ราชาผียักษ์เห็นท่าทีเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะคอกต่ำๆ ตบที่พักแขนอีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเศร้าระทม ไม่มีกะใจจะเอ่ยประจบเอาใจอีกฝ่ายแล้ว เพียงถอนหายใจยาวๆ หนึ่งที
“หวังเหย่โปรดวางใจ…”
“เรื่องนี้ฟ้ารู้ดินรู้ข้าและท่านเท่านั้นที่รู้ นอกจากนี้ก็ไม่มีคนอื่นรู้แล้ว ตอนนี้ข้างนอกล้วนลือกันว่าข้าป๋ายฮ่าวชอบนางถึงขั้นแย่งตัวนางมา แถมยังบีบให้ประมุขตระกูลเฉินต้องตาย…”
“ดังนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่านางอยู่ในที่พักของท่าน” หลังถอนหายใจจบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองราชาผียักษ์ด้วยสีหน้าประหนึ่งว่า…ท่านอย่าเล่นละครอีกเลย พวกเรามันไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่…
ดวงตาของราชาผียักษ์ถลึงกว้างอีกครั้ง แต่กลับเริ่มไม่มั่นใจสักเท่าไหร่แล้ว เดิมทีเขาคิดว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้ต้องเอ่ยคำป้อยอดังที่เคยทำ จากนั้นตนก็จะได้ตามน้ำยอมรับไปโดยปริยาย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาโต้งๆ แบบนี้…
โดยเฉพาะท่าทางของคนไม่ได้รับความเป็นธรรมนั่นก็ยิ่งเด่นชัด ราชาผียักษ์ยิ้มแหย เข้าใจเหมือนกันว่าชื่อเสียงของป๋ายฮ่าวถูกทำลายเพราะเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่ออีกฝ่ายเป็นหนังหน้าไฟให้ คนอื่นก็ไม่มีใครรู้เบื้องหลังเรื่องนี้จริงๆ …
ราชาผียักษ์สบายใจดั่งมีดอกไม้ผลิบาน ใช้สายตาชื่นชมมองป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจยิ่งรู้สึกมองป๋ายฮ่าวได้ถูกตามากขึ้น ทั้งยังคิดว่าเด็กคนนี้จัดการเรื่องราวได้อย่างสวยงาม ทว่าภายนอกเขายังคงทำท่าเจ็บใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจ
“เอาเถอะๆ คราวหน้าอย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกก็แล้วกัน!” ราชาผียักษ์ถอนหายใจส่ายหน้าคล้ายเอือมระอา
ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหน้ากระตุกยิกๆ มองราชาผียักษ์ตาปริบๆ ต่อไป สีหน้านั้นยังคงเผยประโยคที่ว่า…ที่นี่มีแค่เราสองคน ท่านอย่าได้แสดงละครอีกเลย…
ราชาผียักษ์เองก็มองป๋ายเสี่ยวฉุน คนทั้งสองมองกันไปมา พักใหญ่ ราชาผียักษ์ร้อนตัวเลยกระแอมออกมาหนึ่งที ก่อนกล่าวว่า
“ตำแหน่งผู้กำกับการนี้เป็นเพียงแค่ตำแหน่งลอยๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าผู้เป็นราชาจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ตรวจการนครผียักษ์ ทุกความผิดปกติในนครผียักษ์ เจ้าล้วนสามารถฆ่าก่อนแล้วค่อยรายงาน ไม่มีใครที่เจ้าตรวจสอบไม่ได้!” ราชาผียักษ์สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นจริงจัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ดวงตาก็ทอประกายเจิดจ้าทันใด ผู้ตรวจการที่ตรวจสอบได้ทุกคนเช่นนี้ทำให้เขาฮึกเหิมขึ้นมา
“หากมีคนต่อต้านเล่าจะทำเช่นไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ
ราชาผียักษ์หัวเราะเสียงเย็นหนึ่งที เมื่อผ่านประสบการณ์เกิดกบฏครั้งล่าสุดนี้ เขาก็แทบไม่เชื่อใจผู้ใดในนครผียักษ์อีกเลย แถมเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงราชาเก้านรกภูมิ นั่นทำให้เขาไม่สบอารมณ์อยู่นานแล้ว
ยามนี้ดวงตาจึงฉายแสงเย็นเยียบ มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นทวนยาวสีดำก็จำแลงขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
สายฟ้าสีดำเส้นหนึ่งทะยานมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว บนทวนยาวสีดำนี้มีลายเส้นสีทองถึงหกเส้น!
ลายเส้นสีทองทั้งหกสั่นสะเทือนจิตวิญญาณ ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นแล้วก็อ้าปากกว้าง ตาแข็งค้าง ทั้งยังสูดลมเฮือกใหญ่
“หลอมพลังจิตสิบหกครั้ง!”
“นี่คือทวนประจำกายข้าผู้เป็นราชาในยามหนุ่ม วันนี้มอบมันให้เจ้า หากมีคนกล้าก่อกบฏ ก็จงใช้ทวนนี้คร่าชีวิตมันผู้นั้น!” ราชาผียักษ์เอ่ยเนิบนาบ ในน้ำเสียงนั้นแฝงเร้นไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว เหี้ยมโหดและปราณสังหาร พอมองป๋ายเสี่ยวฉุนก็นึกถึงเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมทิ้งตนในยามวิกฤตถึงชีวิต แล้วก็นึกไปถึงสมบัติล้ำค่ากับสาวงามที่รออยู่ในที่พัก ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ตำหนักบนมือขวาของรูปปั้นผียักษ์ที่เคยเป็นของโยวหมิงกงให้กลายมาเป็นตำหนักของเจ้าอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน”
หน้าอกของป๋ายเสี่ยวฉุนกระเพื่อมไหวอย่างแรง ดวงตาเปล่งประกายระยับ ทั้งตื่นเต้นทั้งฮึกเหิม ราชาผียักษ์เลื่อนตำแหน่งให้กับตน แถมยังมอบอาวุธล้ำค่า จากนั้นก็ยกตำหนักที่พักให้ ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายพึงพอใจในตัวเขาอย่างมาก…ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหน้าบานเป็นกระด้ง ยืดตัวขึ้นตรง ประสานมือคารวะพร้อมคำรามดังลั่น
“ขอบพระทัยหวังเหย่!”
บนใบหน้าของราชาผียักษ์เผยรอยยิ้ม นัยน์ตามีแววชื่นชม หลังจากเอ่ยให้กำลังใจอีกสองสามประโยคก็ขยิบตาบอกเป็นนัยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบๆ กลับไปซะ
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้หนักรู้เบา เข้าใจดีว่าตาผีเฒ่าบ้ากามผู้นี้ร้อนใจแล้ว ดังนั้นจึงเก็บทวนยาวขึ้นมา คารวะแล้วจากไป
ทว่าเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูใหญ่ของโถงราชา ฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับชะงัก หันมามองหวังเหย่อีกครั้งด้วยความลังเล สุดท้ายอดไม่ไหวจึงถามออกไป
“หวังเหย่ ท่านมีตำรับไฟสิบแปดสีหรือไม่ขอรับ?”
“ตำรับไฟสิบแปดสี? ตำรับแบบนี้ ข้าผู้เป็นราชาไม่มีหรอก จะมีอยู่แค่ในมือของอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นดินเท่านั้น ตลอดทั้งแดนทุรกันดารมีอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นดินเพียงสามคน ตำแหน่งสูงส่ง ต่อให้เป็นข้าเองก็ยังมิอาจไปแย่งชิงได้” ราชาผียักษ์มองป๋ายเสี่ยวฉุน เขารู้ดีว่าป๋ายฮ่าวมีพรสวรรค์ด้านการหลอมไฟ แต่เขาก็ไม่ได้โกหก ตำรับไฟสิบแปดสีนี้เขาไม่มีจริงๆ
กล่าวจบก็โบกมืออย่างใจร้อน เดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วหายวับไปจากในห้องโถง
“ผีเฒ่าบ้ากาม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนก่นด่าอยู่ในใจแล้วจึงเดินออกมาจากตำหนักราชา กลายร่างเป็นรุ้งยาวกลับไปยังที่พักของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็แบ่งทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งที่รีดไถมาจากสามตระกูลใหญ่ไปให้กับเฉินไห่และโจวอีซิง
บอกให้พวกเขาทั้งสองคนเอาไปแบ่งให้กับผู้ฝึกวิญญาณหลายหมื่นคนที่ติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนไปยังสามตระกูลใหญ่วันนั้น เพราะอย่างไรซะเรื่องนี้ทุกคนต่างก็มีคุณความชอบ หากป๋ายเสี่ยวฉุนฮุบเอาไว้คนเดียวทั้งหมดก็เท่ากับว่าที่ใช้ชีวิตอยู่มาหลายปีนี้เสียเปล่า ไม่ใช่เขาป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว
เฉินไห่ดีใจอย่างมาก โจวอีซิงเองก็คึกคัก ไม่นานหลังจากที่ผู้ฝึกวิญญาณหลายหมื่นคนต่างก็ได้รับส่วนแบ่ง พวกเขาจึงยิ่งเคารพเลื่อมใสป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น
ทำเรื่องทุกอย่างนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันไปมองตำหนักบนมือขวาของรูปปั้นผียักษ์ด้วยความลังเล เพราะความลับบนตัวเขานั้นมีมากเกินไป เขาจึงไม่อยากอยู่ใกล้ราชาผียักษ์มากนัก
“ช่างเถอะ ที่นั่นเป็นเพียงแค่ที่พักของข้าเท่านั้น ในฐานะที่ข้าเป็นผู้กำกับการใหญ่ ทั้งยังเป็นผู้ตรวจการของนครผียักษ์ ไหนเลยจะมีที่พักเพียงแค่แห่งเดียว”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้นน้อยๆ หลังจากพึมพำเบาๆ อย่างเย่อหยิ่งก็ลูบคลำถุงเก็บของ เพราะในถุงเก็บของของเขายามนี้มีไฟสิบห้าสีสิบกว่ากลุ่ม!
ไฟสิบห้าสีเหล่านี้ก็ได้มาจากการปล้นสามตระกูลใหญ่เหมือนกัน
“แม้ว่าข้าจะยังไม่สามารถหลอมไฟสิบห้าสีได้ แต่ตอนนี้มีไฟสำเร็จรูปพวกนี้แล้ว หากข้าลองย้อนอนุมานดูก็ต้องเพิ่มความเร็วได้มากขึ้น!”
“อีกอย่าง…มีไฟสิบห้าสีก็สามารถทำให้ตบะของข้าฝ่าทะลุจากก่อกำเนิดขั้นต้นไปยังขั้นกลาง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็คึกฮึกเหิมอย่างยิ่ง แต่ก็คิดอีกว่าหากตนหลอมทารกก่อกำเนิดอีกครั้งต้องสร้างความครึกโครมให้กับโลกภายนอกอีกแน่นอน…และตอนนี้คนทั่วทั้งแดนทุรกันดารต่างก็กำลังตามหาตน…
“แต่จะให้ข้าละทิ้งการเพิ่มตบะเพียงเพราะมีคนควานหาตัวข้าคงไม่ได้กระมัง ใครกลัวกันเล่า ในนครผียักษ์แห่งนี้ข้าคือผู้กำกับการใหญ่ ทั้งยังเป็นผู้ตรวจการ รับหน้าที่ตามหาป๋ายเสี่ยวฉุน มีอะไรให้ต้องกลัว! ขนาดข้ายังหาป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เจอแล้วใครจะหาเจอ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ตกอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็กัดฟันกรอดแล้วหมุนกายเดินเข้าไปในห้องลับ
พอมาถึงห้องลับเขาก็จัดวางค่ายกลไว้ก่อน จากนั้นจึงเปิดพลังหน้ากากของตัวเอง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาถึงได้หยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมา สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง นั่งขัดสมาธิลงไป พริบตานั้นทารกก่อกำเนิดก็บินพรวดเข้าไปในหม้อกระดองเต่า
ทั้งยังมีไฟสิบห้าสีลอยออกมา ก่อนที่แสงสีทองจะสว่างเจิดจ้า!
เวลาเดียวกันนี้ ในนครจักรพรรดิ บนป้ายศิลาจักรพรรดิหมิง แต่เดิมตัวเลขหลังชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนในอันดับหนึ่งคือเลขสิบสี่ มาบัดนี้ท่ามกลางเสียงกึกก้อง แสงสีทองก็พร่างพราวแยงตา
พริบตาเดียวแสงนี้ก็แผ่ปกคลุมไปแปดทิศ สะท้านสะเทือนไปทั่วนครจักรพรรดิ คนมากมายค้นพบด้วยอาการตาค้างว่าตัวเลขหลังชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็น…เลขสิบห้า!
“สิบห้า!! เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นหลอมพลังจิตให้กับก่อกำเนิดอีกแล้ว!!”
“นี่เขาจะเอาชีวิตมาล้อเล่นหรือไง หากไม่หลอมตัวเองจนตายก็ไม่ยอมเลิกรากระนั้นรึ อำมหิตยิ่งนัก!!”
“ข้าคาดการณ์ได้แล้ว หากป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ไม่ตาย เขาก็ต้องเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิงแน่นอน…” บางคนถึงกับเอ่ยพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า…ความครึกโครมที่เกิดขึ้นในนครจักรพรรดิอีกครั้ง ทำให้สตรีธุลีแดงที่นั่งเข้าฌานอยู่ในกองทัพผียักษ์กรีดร้องเสียงเหี้ยม ความเกลียดแค้นที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนไต่สูงไปถึงนภากาศเก้าชั้นฟ้า ดิ่งต่ำไปยันน้ำพุเหลืองในนรก
เมื่อนครจักรพรรดิเกิดเสียงฮือฮา ข่าวนี้ก็แพร่สะบัดไปทั่วแดนทุรกันดารราวกับติดปีก กองกำลังที่เข้าร่วมการตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งขยายใหญ่
ขณะเดียวกัน เหล่าผู้กล้าอันเป็นที่น่าภาคภูมิใจในแดนทุรกันดารต่างก็กัดฟันกรอด ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนถูกคนตบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ป้ายศิลาแดนทุรกันดารของพวกเขากลับมีชื่อของนักพรตในเขตแม่น้ำทงเทียนขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง นี่ทำให้พวกเขาใกล้จะบ้าคลั่งกันเต็มที
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ ข้าจะต้องฆ่าเขาให้ได้!”
“อย่าให้ข้าหาเจ้าเจอนะ หาไม่แล้ว ข้าจะบดขยี้เจ้าให้แหลกไปยันกระดูก!” เสียงร้องคำรามดังก้องไปทั่วแดนทุรกันดาร
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ที่ถึงแม้จะไม่รู้สถานการณ์ภายนอก ทว่าเขาก็พอจะเดาได้ เมื่อลืมตาขึ้นจึงบินออกมาจากหม้อกระดองเต่าทันที รีบเก็บทุกอย่างกลับไปแล้วมองสำรวจไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง แล้วเสร็จเขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา
“หึหึ คิดจะกำจัดข้า? พวกเจ้าหาข้าให้เจอก่อนเถอะ” ท่ามกลางความลำพองใจ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนรับสัมผัสถึงตบะของตัวเองก็เริ่มค่อยๆ ฮึกเหิมขึ้นมา
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ายามนี้ตบะในร่างของตัวเองแผ่ไพศาลราวมหาสมุทร ความแข็งแกร่งของก่อกำเนิดช่วงกลางอยู่เหนือเกินกว่าก่อกำเนิดช่วงต้นมากนัก เขายังถึงขั้นเกิดความวู่วามว่าอยากจะหาคนที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวคนฟ้ามาลองมือด้วยซ้ำ!