Skip to content

A Will Eternal 706

บทที่ 706 ราชาผียักษ์ที่อ้าปากกว้างตาค้าง

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองราชาผียักษ์ด้วยหน้าตาใสซื่อ แต่ในใจนั้นลำพองอย่างมาก รู้สึกเบิกบานราวกับมีดอกไม้ผลิ เขาคิดว่าในเมื่อราชาผียักษ์เล่นงานตน ถ้าอย่างนั้นตนก็เล่นงานอีกฝ่ายกลับไปบ้าง พอเห็นราชาผียักษ์ยิ่งตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งสะใจที่ได้เอาคืน

“เพียงแต่ว่าข้าจงรักภักดีกับหวังเหย่ อยากแบ่งเบาภาระของหวังเหย่ พอคิดถึงว่าหลายปีมานี้หวังเหย่ดีกับข้ามากแค่ไหน ข้าก็ยิ่งยินดีเสี่ยงตายแทบเอาชีวิตไม่รอด ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมด หลายครั้งที่ต้องต่อสู้นองเลือด นับครั้งไม่ถ้วนที่ต้องเดินเฉียดประตูนรก ไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวตาย และในที่สุดก็ไม่ทำให้หวังเหย่ผิดหวัง ข้าได้กำราบพวกเขาจนยอมศิโรราบทั้งหมด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบอกตัวเองดังป้าบด้วยสีหน้าที่ว่าเพื่อราชาผียักษ์แล้วต่อให้เจอกับความตายเขาก็ไม่หวั่นเกรง

“เจ้า จัดการหมดทุกคนเลยหรือ?” ราชาผียักษ์รู้สึกงุนงงไม่น้อย เพียงแค่ครู่เดียว แผ่นหยกส่งข้อความเสียงของเขากลับสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกสิบกว่าครั้งแล้ว

“ใช่แล้ว จัดการหมดทุกคนเลยล่ะ หวังเหย่ครึ่งเทพสามคนนั้นคิดจะจับตัวหวังเหย่ไม่ใช่หรือ แถมยังส่งคนมาแย่งชิงผลราชาผีด้วย ข้าจับตัวลูกหลานที่พวกเขาภาคภูมิใจมาหมดแล้ว และตั้งใจนำมาส่งมอบให้กับหวังเหย่ ขอหวังเหย่โปรดจัดการ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเสียงดังสีหน้าตื่นเต้น กระตือรือร้นในการทำหน้าที่สุดกำลัง

“มาๆๆ ข้าจะแนะนำให้หวังเหย่รู้จัก ท่านนี้คือราชาชัยน้อยของนครชิงชัย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม ตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง หยิบเอาราชาชัยน้อยที่หายใจรวยรินออกมาโยนไว้ข้างๆ

ราชาชัยน้อยผู้นี้แก้มตอบหนังหุ้มกระดูก พลังชีวิตเสียหายไปเกินครึ่ง ยามนี้เหลือเพียงลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า

“ยังมีท่านนี้ นี่ก็คือซื่อจื่อผู้สืบทอดของนครเก้านรกภูมิ โจวหง” ป๋ายเสี่ยวฉุนโยนโจวหงเป็นอันดับต่อมา

“และยังมีคนนี้ ชื่อว่าอะไรแล้วนะ อ้อ ใช่แล้ว คือเสี่ยวหลางเสิน!”

“ส่วนเขาชื่อหลี่เทียนเซิ่ง”

“นี่คือเมี่ยวหลินเอ๋อร์ หญิงผู้นี้ร้ายกาจนักล่ะ ข้ารู้สึกว่านางเหมาะสมกับหวังเหย่มากกว่าฮูหยินเฉินอีกนะ เลยตั้งใจจับมาให้ท่านเป็นพิเศษ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เผยสีหน้าประมาณว่าท่านไม่ต้องพูดข้าก็รู้ใจ

“ใช่แล้ว นี่คือองค์หญิงของนครเทพจุติ ซวี่ซาน นังหนูคนนี้สมองมีปัญหา น่าสงสารยิ่งนัก”

“และยังมีเขาอีกคน ไอ้หมอนี่ตัวตนไม่ธรรมดาเลย ข้าได้ยินคนข้างกายเขาเรียกเขาว่าองค์ชายรอง ตัวตนของคนเขาสูงส่งขนาดนี้ต้องมีประโยชน์กับหวังเหย่มากแน่นอน ข้าต้องทำลายพละกำลังของเขาไปเกินครึ่งถึงจับตัวมาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยสีหน้าคึกคักสุดขีด ทั้งยังหยิบแต่ละคนออกมาแนะนำให้ราชาผียักษ์ฟังอย่างไม่รู้หน่าย แนะนำไปพลางโยนตัวคนออกมาด้วย ไม่นานภายใต้สีหน้าอ้าปากกว้างตาค้างเหมือนไก่ไม้ของราชาผียักษ์ ในตำหนักราชาก็แน่นขนัดไปด้วยคนหนึ่งร้อยคนที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับโยนออกมา

คนนับร้อยนี้ล้วนมีแต่หนังหุ้มกระดูกกันทุกคน สภาพอ่อนแออย่างมาก ยามนี้พวกเขาทุกคนล้วนนอนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น

“ป๋ายฮ่าวไม่ทำให้หวังเหย่ต้องผิดหวัง ได้จับคนเหล่านี้มาทั้งหมดแล้ว!” สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็กุมมือประสานพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงของคนที่พร้อมบุกน้ำลุยไฟ

ราชาผียักษ์รู้สึกเพียงว่าในสมองของตัวเองมีเสียงอสนีบาตดังเปรี้ยงๆ ไม่หยุด บัดนี้ภายใต้เสียงอึกทึกที่ดังอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสามารถและตบะของเขาก็ยังยืนบื้ออยู่นานถึงจะฟื้นคืนสติ และถึงกับสูดลมดังเฮือกอยู่หลายที

ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว รู้ดีถึงเหตุและผลของข้อความที่ส่งมาในแผ่นหยก เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้ประหนึ่งฝันร้ายของเขา

สามารถพูดได้ว่าต่อให้เขาจะคำนวณฟ้าพยากรณ์ดิน คำนวณทุกอย่างออกมาได้ แต่สิ่งเดียวที่เขาคาดไม่ถึงเลยก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ แข็งแกร่งจนถึงขั้นสามารถลักพาตัวทุกคนมาได้หมด ตอนนี้เขาเบิกตามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่โยนเหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแต่ละคนออกมาราวกับมอบของขวัญ ในใจก็อดหัวเราะเสียงขื่นติดต่อกันไม่ได้ แม้แต่หนังหน้าก็ยังกระตุกยิกๆ อยู่หลายที

“ป๋ายฮ่าวผู้นี้ ข้าดูเบาเขาเกินไป เขาจับตัวบิดาของตัวเองก่อน แล้วตามมาด้วยจับตัวข้า พอเสพติดการจับตัวคนอื่นแล้ว คราวนี้ถึงกับจับตัวและลักพาคนนับร้อย”

“เห็นได้ชัดว่าเจ้ากะล่อนผู้นี้โมโหข้ามาก คิดว่าข้าเล่นงานเขา ดังนั้นถึงได้ใช้วิธีการเช่นนี้มาเล่นงานข้ากลับ แถมเขายังไม่ได้ฆ่าใครสักคนเดียว ไม่ว่าจะมองยังไงก็นับเป็นการสร้างคุณความชอบที่ยิ่งใหญ่” ราชาผียักษ์ปวดจี๊ดไปทั้งหัวใจและศีรษะ สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก

ในที่สุดเขาก็มองออกเสียทีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจงใจโยนปัญหามาให้ตน

หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่นก็ยังว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้เป็นเพราะวิธีของเขาตอนอยู่ในกาหลอมวิญญาณถือว่าละเมิดข้อห้าม กลายมาเป็นจุดอ่อนให้คนนำมาเล่นงาน เดิมคิดจะเก็บตัวสักระยะหนึ่งเพื่อไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นนำปัญหามาสู่ตัวเองได้ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดนี้ขึ้นมา

พอเป็นเช่นนี้ สามราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่รวมไปถึงผู้สูงศักดิ์แปดส่วนย่อมต้องฉวยโอกาสนี้มาสร้างความลำบากใจให้เขาอย่างถึงแก่น นี่จึงทำให้ราชาผียักษ์ยิ่งยุ่งยากใจ หากเขาปล่อยคนพวกนี้ไปก็หมายความว่าเขาราชาผียักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ขี้ขลาด แต่หากไม่ปล่อยก็ไม่ได้อีก เพราะต่อให้เขาจะเป็นครึ่งเทพ เป็นหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าเขาก็จนปัญญาที่จะเป็นปฏิปักษ์กับอิทธิพลแทบจะทั้งแดนทุรกันดารอย่างนี้

ราชาผียักษ์อึดอัดคับข้องใจ ทว่ากลับไร้หนทาง เขารู้ดีว่าเดิมทีเรื่องนี้ตนเป็นคนผิดเพราะตนเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุนก่อน แถมยังเตรียมการไว้แล้วว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนตายตนจะหลีกเลี่ยงพันธนาการจากตราผนึกเช่นไร

อีกทั้งหากป๋ายเสี่ยวฉุนตายไปแล้วก็ยังว่าไปอย่าง แต่นี่เขายังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ราชาผียักษ์จะเหี้ยมโหดแค่ไหน ทว่าพอนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตก็รู้สึกไม่ดีหากต้องใช้ตบะครึ่งเทพ ใช้ตัวตนหวังเหย่ผู้ยิ่งใหญ่ของตนมาตอบแทนบุญคุณของอีกฝ่ายด้วยการเนรคุณ หาไม่แล้วเกรงว่าชื่อเสียงของเขาในวันหน้าคงตกต่ำเสื่อมถอยถึงขีดสุดเพราะเรื่องนี้

ที่สำคัญที่สุดคือป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ฆ่าใคร นี่เรียกว่าเจ้าเล่ห์หัวหมออย่างไร้ที่ติ หากป๋ายเสี่ยวฉุนฆ่าคนเหล่านี้ ทุกอย่างก็ง่ายดาย ราชาผียักษ์สามารถผลักความผิดทั้งหมดไปให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนโยนคนที่ยังมีชีวิตอยู่มาไว้ตรงหน้าเขา เขาจะสนใจก็ไม่ใช่ จะไม่สนใจก็ไม่ได้ เป็นสภาวะยากลำบากที่ไม่รู้ว่าควรจะเดินหน้าหรือถอยหลัง

“เจ้าป๋ายฮ่าวนี่ช่างอำมหิตยิ่งนัก!” สายตาของราชาผียักษ์กวาดมองไปยังคนนับร้อยในโถงใหญ่อีกครั้ง มองศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแต่ละคนที่พลังชีวิตได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสจนกลายมามีสภาพเหมือนกระดูกเดินได้ ใจเขาก็เริ่มสบถด่าขึ้นมาบ้างแล้ว คิดๆ ดูก็รู้ว่านี่คือการเตรียมการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนป้องกันไม่ให้ตนปล่อยคนเหล่านี้ไปอย่างขี้ขลาด

“ต่อให้ข้าปล่อยคนไปก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เจ็บปวด” ราชาผียักษ์ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง มองป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมยิ้มเจื่อน เรื่องนี้อีกฝ่ายทำได้ประจวบเหมาะพอดิบพอดี ตนก็ได้แต่ยอมแพ้ พอนึกถึงค่ายตอบแทนที่ตนต้องจ่ายเพื่อดับไฟโทสะของทุกคน ราชาผียักษ์ก็คับแค้นใจจนไส้บิดเป็นเกลียว

“หวังเหย่ ข้าน้อยไปก่อนนะขอรับ เดี๋ยวดึกๆ จะมาร่วมงานเลี้ยง” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เรื่องนี้เขาเองก็หวาดหวั่นเหมือนกัน การเอาคืนราชาผียักษ์ครั้งนี้ไม่ใช่แผนลับ แต่เป็นแผนอย่างโจ่งแจ้ง เขาจึงต้องรู้หนักรู้เบา ไม่ให้เรื่องนี้อยู่เหนือเส้นอารมณ์ของราชาผียักษ์มากเกินไป พอเห็นว่าราชาผียักษ์ถอนหายใจหน้าเขียวคล้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ว่าการแก้แค้นครั้งนี้ของตนสำเร็จแล้ว

ราชาผียักษ์ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแค้นเคือง โบกมือสะบัดอย่างแรง

“งานเลี้ยงอะไรกัน ไม่มีแล้ว รีบไสหัวไป!”

“ขี้งกจริงๆ ” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบจมูกเบ้ปาก ออกไปจากตำหนักราชาอย่างไม่ยินเต็มใจ พอจากไปแล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนมาเป็นฮึกเหิม กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งตรงดิ่งกลับไปยังที่พัก

พอกลับมาป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้าไปในห้องลับแล้วปิดด่านทันที พอนั่งขัดสมาธิลงไปเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สายตามองไปยังถุงเก็บของของตัวเอง

ในนี้ยังมีคนอยู่คนหนึ่งที่เขาไม่ได้เอาออกมา คนผู้นี้ก็คือเฉินม่านเหยา

“มีความเป็นไปได้ถึงครึ่งหนึ่งที่เฉินม่านเหยาผู้นี้จะเดาตัวตนของข้าออกแล้ว ทีนี้ข้าจะทำอย่างไรดี”  พอนึกถึงเฉินม่านเหยา ความรู้สึกดื่มด่ำกับความสำเร็จที่เพิ่งได้เอาคืนราชาผียักษ์ก่อนหน้านี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหายวับไปในพริบตา เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือกๆ

ใจเขาอยากจะเอาอีกฝ่ายออกมาพูดคุยกันให้รู้แล้วรู้รอด แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่แน่ใจอีก หากเฉินม่านเหยาผู้นี้ไม่ได้มั่นใจในตัวตนของเขามากพอ การพูดคุยกันครั้งนี้เกรงว่าจะเป็นโอกาสให้อีกฝ่ายมั่นใจเต็มร้อยเสียมากกว่า

แต่หากไม่ปล่อยอีกฝ่ายออกมา จะให้กักขังอีกฝ่ายไว้อย่างนี้ก็ไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหา

“ช่างเถอะๆ ยังไม่คิดถึงเรื่องนี้ก็แล้วกัน จับขังไว้พักหนึ่งค่อยว่ากันเถอะ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัวอย่างถึงที่สุด คิดไม่ออกว่าควรจะจัดการกับเฉินม่านเหยาอย่างไรจึงได้แต่ฝังเรื่องนี้ไว้ในใจชั่วคราว ยามนี้เขานั่งขัดสมาธิย้อนนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นในกาหลอมวิญญาณ ก่อนที่นัยน์ตาจะค่อยๆ เผยความมีชีวิตชีวาเข้มข้น

“ที่แท้ก่อกำเนิดวิถีฟ้าของข้าก็มีประสิทธิภาพน่าตะลึงได้ถึงขนาดนี้ พอก่อกำเนิดห้าสีลงมือกำราบก็สามารถปราบนักพรตขอบเขตเดียวกันได้ทั้งหมด”

“หากข้าไม่ใช่ก่อกำเนิดวิถีฟ้า คราวนี้หากคิดจะจับตัวคนพวกนี้มาก็คงยากยิ่งกว่านี้”  ป๋ายเสี่ยวฉุนเม้มริมฝีปาก มองไปยังทารกในร่างของตัวเอง มองแสงห้าสีที่อยู่บนร่างของทารกก่อกำเนิด ความฮึกเหิมในดวงตาของเขาก็ยิ่งมีมาก

“ฮ่าๆ ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าบานเป็นกระด้ง เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าการที่ตนทุ่มเทไปมากมายเพื่อก่อกำเนิดด้วยวิถีฟ้าช่างเป็นสิ่งที่คุ้มค่ายิ่งนัก

แล้วพอนึกถึงการกระทำในกาหลอมวิญญาณที่ตนใช้ร่มราตรีนิรันดร์สูบเอาพลังชีวิตมาฝึกตน สุดท้ายแม้จะไม่ได้สูบพลังจากซวี่ซาน ทว่าคนสิบกว่าคนที่ซวี่ซานมอบให้ เขาดูดซับมารอบหนึ่งก็ทำให้กระดูกคงกระพันของตัวเองฝึกไปถึงรอบที่แปดของการชุบหลอมกระดูก

“รอบที่แปดแล้วนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นขึ้นมาทันใด การฝึกกระดูกคงกระพันนี้หากจะบอกว่าช้าก็ช้า แต่หากจะบอกว่าเร็วก็นับว่าเร็วกว่าขั้นแรกๆ ที่ฝึกมาจนถึงระดับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหลือเชื่อ

“หากฝ่าทะลุไปถึงขั้นที่แปด หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญของข้าก็สามารถต่อยออกมาด้วยพลังที่มากกว่าเดิมถึงสองเท่าตัว!!”

“แต่ว่าหากเทียบกับเรื่องพวกนี้ ผลพวงสูงสุดที่ข้าได้รับมาจากการไปกาหลอมวิญญาณ กลับไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นลูกศิษย์ของข้า วิญญาณของป๋ายฮ่าว!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันฉายแสงคมกริบ เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงมองสถูปวิญญาณที่หยิบออกมาจากในถุงเก็บของ ในนั้นมีวิญญาณพยาบาทดวงหนึ่งที่ถูกเก็บไว้โดยเฉพาะ นั่นก็คือ วิญญาณของป๋ายฮ่าว!

“ศิษย์รัก ข้าจะช่วยเจ้าฟื้นคืนสติปัญญา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเผยสีหน้าทวนความทรงจำ ผ่านไปพักหนึ่งก็พึมพำออกมาทีละคำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version