Skip to content

A Will Eternal 717

บทที่ 717 บอกแล้วว่าอาจารย์มีประสบการณ์

ป๋ายเสี่ยวฉุนปรับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้อารมณ์ของตัวเองสงบลง ไม่ครุ่นคิดเรื่องของสตรีธุลีแดงอีก มือทั้งคู่โบกหนึ่งครั้งหยิบเอาไฟสิบห้าสีกลุ่มหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ

ไฟสิบห้าสีนี้เขาหลอมออกมาสำเร็จเพราะใช้การอนุมานย้อนกลับจากไฟสำเร็จรูปที่ได้มาตอนรีดไถสามตระกูลใหญ่ หากไม่เพราะกังวลว่าการโอ้อวดเกินควรจะเป็นการเปิดเผยตัวตน เขาก็คงหลอมพลังจิตให้กับอาวุธวิเศษทั่วร่างครบสิบห้าครั้งไปแล้ว

“ช่วยไม่ได้ เอาแค่สิบสี่ครั้งก่อนก็แล้วกัน หาไม่แล้วเกรงว่าคงมีพิรุธมากเกินไป หากถูกคนสงสัยขึ้นมาจะอันตรายเอาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ ในสมองมีตำรับการหลอมไฟสิบหกสีลอยขึ้นมา พอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เปล่งแสงวาบ มือขวาทำมุทราชี้ไป ทันใดนั้นในสถูปวิญญาณอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ในถุงเก็บของก็มีวิญญาณพยาบาทจำนวนมากบินออกมา

วิญญาณพยาบาทพวกนี้เพิ่งจะปรากฏตัวก็มีลมเย็นเยียบพัดซัดสาดเป็นระลอกจนฟ้าดินมืดมัว ขณะเดียวกันวิญญาณพยาบาทพวกนั้นก็เบียดเสียดกันแน่นขนัดคล้ายจะกลายมาเป็นลมพายุวิญญาณที่ชักนำการเปลี่ยนแปลงสี่ทิศ

ยังดีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจัดวางค่ายกลไว้ก่อน ทั้งยังเปิดพลังการอำพรางของหน้ากาก นี่ถึงทำให้คนนอกสัมผัสคลื่นเคลื่อนไหวทั้งหมดของที่แห่งนี้ไม่ได้

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสมาธิสูงสุด เขาคอยควบคุมไฟสิบห้าสีในมือให้ผสานรวมกับมหาสมุทรวิญญาณรอบด้านอย่างต่อเนื่อง

การผสานรวมเช่นนี้หากผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็จะทำให้การหลอมไฟล้มเหลวทันที หน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ มีเหงื่อไหลลงมา

รวบรวมสมาธิทั้งหมดทำตามข้อเรียกร้องของตำรับการหลอมไฟ บางครั้งก็คอยเพิ่มความเร็ว บางครั้งก็ชะลอให้ช้าลง ทั้งยังคอยเพิ่มวิญญาณบางส่วนที่มีลักษณะพิเศษเข้าไปเป็นระยะด้วย

ตลอดทั้งขั้นตอนนี้ เขารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก แต่กลับกัดฟันยืนหยัดต่อไป

“ข้าต้องเปลี่ยนมาเป็นแข็งแกร่ง มีเพียงแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้นถึงจะมีวิธีรักษาชีวิตรอดในยามที่ตัวตนของข้าถูกเปิดเผย” คลื่นลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยุ่งเหยิงเล็กน้อย ครั้งนี้เขาถูกกระตุ้นอารมณ์มาจากสตรีธุลีแดง ความรู้สึกที่ว่าชีวิตน้อยๆ นี้เกือบจะหายไป ทำให้เขายิ่งทุ่มสุดตัวมากขึ้น

บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีความดึงดันหรือควรจะพูดว่าความยึดมั่นอย่างหนึ่งแผ่ออกมา ความยึดมั่นนี้เห็นได้ตั้งแต่ตอนที่เขาหลอมยาในสำนักธาราเทพของปีนั้น ยิ่งตอนนี้ทำเพื่อชีวิตน้อยๆ ด้วยแล้ว เขาก็แทบจะเรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวจริงๆ

ไม่นานดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เริ่มแดงก่ำ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนมาเป็นดุร้าย ทำให้วิญญาณของป๋ายฮ่าวที่อยู่ด้านข้างเริ่มตื่นตระหนก นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของอาจารย์ตัวเอง

“ท่านอาจารย์หลอมไฟ จริงจังเกินไปแล้ว” ป๋ายฮ่าวลังเลอยู่ในใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมพลันเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ท่ามกลางการผสานรวม ไฟสิบห้าสีในมือของเขาเกิดข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งขึ้นมา ทันใดนั้นไฟสิบห้าสีก็สว่างวาบ แต่ไม่นานก็หม่นแสงลงไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายพอเสียงปังดังหนึ่งครั้งมันก็ระเบิดกระจายด้วยตัวเอง กลายมาเป็นสะเก็ดแสงเล็กๆ ที่แผ่ไปทั่ว

“สมควรตายนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว ก่อนจะหยิบเอาไฟสิบห้าสีออกมาแล้วเริ่มหลอมอีกครั้ง เวลาในการหลอมครั้งนี้นานยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่งฟ้าสว่าง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ลมหายใจของเขายุ่งเหยิงเล็กน้อย เวลาทั้งคืนเขาหลอมไฟสิบหกสีได้สำเร็จประมาณสามส่วน

ทว่าขณะที่เขากะจะทำรวดเดียวให้จบไป ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อผิดพลาด ทว่าไฟสิบห้าสีในมือของเขากลับยังสว่างวาบขึ้นมาแล้วหายวับไป

“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทึ้งผมตัวเองอย่างแรง ก่อนจะหยิบเอาตำรับออกมาศึกษาอีกครั้ง ป๋ายฮ่าวที่นั่งดูทุกขั้นตอนอยู่ข้างๆ ก็เงียบคิดเหมือนกัน ไม่นานนักดวงตาทั้งคู่ของเขาก็พลันแน่วนิ่ง

“อาจารย์ บางทีปัญหาอาจอยู่ที่ความดุร้ายของค่ายทหารแห่งนี้ ความดุร้ายนี้ไร้รูปลักษณ์ ทว่ากลับส่งผลกระทบต่อวิญญาณ”

คำพูดของป๋ายฮ่าวทำให้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล

“ลูกศิษย์คนดี เจ้าพูดถูกมากๆ เลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบขาตัวเองฉาดใหญ่ หัวเราะร่าเสียงดัง จากนั้นก็หยิบเอาไฟสิบห้าสีออกมาด้วยความฮึกเหิมอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะลงมือ ป๋ายฮ่าวก็อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า

“อาจารย์ ท่านพักผ่อนสักหน่อยดีหรือไม่ ข้าว่าสภาพของท่านตอนนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่”

“ไม่เป็นไร อาจารย์สบายดีนักล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าไม่ยี่หระ หยิบเอาไฟสิบห้าสีออกมาหลอมต่อ คราวนี้เวลานานกว่าเก่า ช่วงกลางวันผ่านไป จนกระทั่งมาถึงกลางดึกของวันที่สอง สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนมาเป็นซีดเซียว ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำราวตาของกระต่าย โรยราไปทั้งร่าง จ้องเปลวไฟในมือที่ค่อยๆ สลายหายไปเขม็ง

“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร ทำไมถึงยังล้มเหลว”

“ปัญหาเรื่องปราณดุร้ายก็คลี่คลายไปแล้ว แต่กลับมีปัญหาอื่นเกิดขึ้นแทน!”

“ข้าไม่เชื่อหรอก ข้าต้องแก้ไขปัญหานี้ให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยามนี้เขาลืมตัวเองไปนานแล้วจึงหยิบไฟสิบห้าสีออกมาอีกครั้งหมายจะหลอมต่อ

ป๋ายฮ่าวอกสั่นขวัญผวาอยู่นานแล้ว เขาแอบรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในลักษณะเช่นนี้ผิดปกติอย่างมาก และทำให้เขารู้สึกกระวนกระวาย ขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยเกลี้ยกล่อมอยู่หลายครั้ง ทว่าตอนแรกเริ่ม ป๋ายเสี่ยวฉุนยังพอตอบรับกลับมาบ้าง แต่พอถึงท้ายที่สุดก็เหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ได้ยิน นี่จึงทำให้ป๋ายฮ่าวเริ่มหวาดหวั่น

“ไฟสิบหกสีจะหลอมแบบนี้ไม่ได้นะ หลอมแบบนี้ต่อไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่คาดคิดไม่ถึง” ป๋ายฮ่าวที่กระวนกระวายรู้สึกว่าอาจารย์ของตนเหมือนจะมีปราณอันตรายแผ่ออกมาจากร่าง ขณะที่กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีสีหน้าดุร้าย ไฟสิบห้าสีในมือเขมือบกลืนวิญญาณพยาบาทที่อยู่รอบด้านไปอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งทำสำเร็จไปเกือบห้าส่วน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มฮึกเหิม ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นไฟสิบห้าสีในมือเขาที่พอสำเร็จไปแล้วห้าส่วนก็พลันส่ายไหว คลื่นน่าหวาดกลัวระลอกหนึ่งแผ่ออกมาจากในกลุ่มไฟ กลุ่มไฟนี้ก็ยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาด พริบตาเดียวก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งสี กลายมาเป็นสิบหกสี จากนั้นก็ลดหายไปอีกหนึ่งสี ลดลงเหลือสิบห้าสี

คลื่นไม่มั่นคงรุนแรง ท่ามกลางขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงไปๆ มาๆ นี้ คลื่นน่าหวาดกลัวที่อยู่ภายในก็ยิ่งเด่นชัด ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พยายามระงับความไม่มั่นคงในไฟกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง

“ท่านอาจารย์รีบหยุดเร็ว ไฟนี้ไม่มั่นคง ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายเกินคาดเดา!!” วิญญาณของป๋ายฮ่าวกรีดร้องเสียงแหลม ตัวสั่นอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าเผยความตะลึงและหวาดกลัว

ทว่าวินาทีที่คำพูดของเขาหลุดออกจากปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหน้าเปลี่ยนสี กลุ่มไฟในมือมิอาจระงับไว้ได้อีก คลื่นน่าหวาดกลัวที่อยู่ด้านในก็ยิ่งระเบิดตูมออกมา

พริบตาเดียว ทั่วทั้งกระโจมก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยเปลวเพลิง แสงไฟนี้เจิดจ้าแสบตา วิญญาณของป๋ายฮ่าวตัวสั่นเทิ้ม นัยน์ตาเผยแววสิ้นหวัง ต่อให้เขามีสถูปวิญญาณ ทว่าอยู่ใกล้ขนาดนี้ การระเบิดของเปลวไฟที่ไม่มั่นคง เขาไม่สามารถสกัดกั้นได้เลย

“จบกันๆ” ในสมองของวิญญาณป๋ายฮ่าวขาวโพลน ทว่าวินาทีที่เปลวเพลิงระเบิดออกนั้น ความเร็วของของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเร็วยิ่งกว่าการระเบิดของเปลวเพลิง เขาเอื้อมมือมาคว้าป๋ายฮ่าว ขณะเดียวกันปากก็พ่นแสงสีดำเส้นหนึ่งออกมา นั่นก็คือหม้อลายกระดองเต่า มันตรงเข้าปกคลุมร่างของเขาและวิญญาณป๋ายฮ่าวให้อยู่ภายใน ครอบพวกเขาไว้บนพื้น

ทุกอย่างนี้คล่องแคล่วราบรื่นราวสายน้ำไหล รวดเร็วเกินคำบรรยาย ทั้งยังคุ้นชินอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

แทบจะวินาทีเดียวกับที่หม้อกระดองเต่านี้ครอบลงบนพื้นดิน เสียงกัมปนาทดังสะท้านฟ้าเกินอสนีบาตก็สะเทือนไปทั้งฟ้าดิน เสียงครืนครั่นระเบิดไปแปดทิศ!

ตอนนี้เป็นช่วงกลางดึก ผู้ฝึกวิญญาณจำนวนมากในค่ายทหารต่างก็กำลังพักผ่อน เสียงตูมตามนี้ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ยังไม่ทันรอให้พวกเขาตั้งตัวได้ ทะเลเพลิงผืนหนึ่งที่มีกระโจมของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นศูนย์กลางก็พลันแผ่กระจายออกไปรอบด้าน

อานุภาพของทะเลเพลิงนี้รุนแรงมาก สีของทะเลเพลิงบางครั้งก็เป็นสิบห้าสี บางครั้งก็เป็นสิบหกสี ไม่ได้ร่วงลงมาจากฟ้า ทว่ากลับซัดตะลุยไปรอบด้านโดยมีที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นจุดศูนย์กลาง มองไกลๆ เปลวเพลิงนั้นน่าครั่นคร้ามเขย่าขวัญ ทุกที่ที่ผ่าน พื้นดินไหม้เกรียม กระโจมหลายหลังสลายกลายเป็นเถ้าธุลีภายในเสี้ยววินาที

ขอบเขตที่มันแผ่ไปก็ยิ่งลุกลาม ปกคลุมไปเกือบครึ่งหนึ่งของค่ายทหาร อีกทั้งในทะเลเพลิงแห่งนี้ยังมีเสียงกรีดร้องโหยหวนฟังไม่ได้ศัพท์

เสียงหวีดร้องเหล่านี้ดังมาจากวิญญาณพยายาทที่ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันเก็บไป วิญญาณพยาบาทพวกนี้กลายมาเป็นไฟวิญญาณซึ่งกระจายไปสี่ทิศอย่างไม่มีหยุดยั้ง ทำให้ระดับความเสียหายยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก

สิ่งปลูกสร้างจำนวนนับไม่ถ้วนพังถล่มทลาย กระโจมเหลือคณานับกลายเป็นเถ้าถ่าน อีกทั้งไฟนี้ยังไม่ธรรมดาอย่างมาก แม้แต่เสื้อเกราะก็ยังถูกเผาไหม้ไปด้วย ทำให้ผู้ฝึกวิญญาณจำนวนไม่น้อยในค่ายทหารกรีดร้องเสียงแหลม รีบสลัดเสื้อเกราะบนร่างทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

ความโกลาหลในค่ายทหารก็ได้ระเบิดขึ้นเพราะทะเลเพลิงที่มาเยือนอย่างกะทันหันนี้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!”

“ไฟไหม้แล้ว!!”

“สวรรค์ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เสียงฮือฮาจากคนนับไม่ถ้วน เงาร่างหลายเส้นบินออกมาอย่างรวดเร็ว ตลอดทั้งค่ายทหารผียักษ์ปั่นป่วนวุ่นวาย มีทั้งคนที่ช่วยดับไฟ มีทั้งคนที่ร้องคำรามดังไปรอบด้านเพื่อตามหาที่มาของเปลวเพลิง

ไม่นานเสียงในค่ายก็ดังก้องประหนึ่งสายฟ้าที่ผ่าลงมาไม่ขาดสาย

ยามนี้เวลานี้ พื้นดินที่ตั้งกระโจมของป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วไหม้เกรียม เหลือเพียงหม้อสีดำใบใหญ่ที่ครอบอยู่บนพื้นดิน หม้อนั้นถูกเลิกออกจากพื้นเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาสองคู่ที่โผล่ออกมา

หลังจากดวงตาคู่นั้นกะพริบปริบหนึ่งครั้ง หม้อลายกระดองเต่าก็ค่อยๆ ถูกเลิกขึ้นช้าๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนโผล่หัวออกมามองทะเลเพลิงรอบด้าน มองคนในกองทัพที่เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ เขาเองก็สำลักลมหายใจเหมือนกัน วิญญาณของป๋ายฮ่าวที่อยู่ข้างกันโผล่หัวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ มองรอบด้านด้วยความตะลึงพรึงเพริด พอคิดถึงความเสี่ยงเมื่อครู่นี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

“วางใจเถอะ ก่อนหน้านี้อาจารย์ก็บอกไว้แล้วว่าอาจารย์มีประสบการณ์ เห็นไหม พวกเราสองคนไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ อย่างร้อนตัว

“อาจารย์ พวกเรา พวกเราก่อเรื่องใหญ่แล้ว” ป๋ายฮ่าวได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึ้งงันไปเล็กน้อย แล้วพอนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา เขาก็ตื่นตระหนกจนมิอาจบรรยายได้

“ไม่เป็นไร ผลที่จะตามมาหลังเกิดเรื่องแบบนี้ อาจารย์ก็ เอ่อ มีประสบการณ์เหมือนกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมอีกที เขาเองก็หวาดผวาไม่น้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ของตัวเองกลับเอ่ยปลอบใจอีกฝ่ายด้วยท่าทางผ่อนคลาย ราวกับมั่นใจเต็มประดาว่าต้องรับมือได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version