Skip to content

A Will Eternal 774

บทที่ 774 ฝ่าบาท ข้าได้วิญญาณคนฟ้ามาดวงหนึ่ง

คนหลายพันที่อยู่นอกตำหนักคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงนั้นดังกึกก้องสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน

ส่วนในตำหนักใหญ่ เชื้อพระวงศ์ทุกคนซึ่งรวมถึงองค์ชายรองต่างก็ทำความเคารพดุจเดียวกับผู้อื่นเพราะไม่กล้าต่อต้าน

มีเพียงจักรพรรดิขุยคนเดียวเท่านั้นที่นั่งนิ่งไม่ขยับ ทว่ามือของเขาที่วางไว้บนที่พักแขนของบัลลังก์มังกรกลับบีบเกร็งน้อยๆ แต่ก็คลายลงอย่างรวดเร็ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องไปยังตำหนักหลักนั้นอยู่ตลอดเวลา สายตามองประเมินระหว่างจักรพรรดิขุยและต้าเทียนซือ

“นี่น่ะหรือจักรพรรดิขุย? เทียบกับต้าเทียนซือแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรเท่าไหร่นี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ อยู่ในใจพลางถอนสายตากลับ

เสียงจากนอกตำหนักใหญ่ดังสะท้อนไปอีกพักหนึ่งถึงได้ค่อยๆ ซาลง ต้าเทียนซือสีหน้าไร้อารมณ์ นั่งหลับตาอยู่ตรงนั้นราวกับว่าพิธีเซ่นไหว้บรรพชนในวันนี้เขาเป็นเพียงแค่ผู้เข้าร่วมคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีท่าทีที่จะปริปาก

เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิขุยรออยู่พักใหญ่ถึงได้พยักหน้าน้อยๆ ให้กับผู้เฒ่าหลังค่อมสองคนเบื้องล่างที่มีท่าทีเย็นชา

รอจนได้รับการบอกเป็นนัยจากจักรพรรดิขุยแล้ว ผู้เฒ่าหลังค่อมสองคนนั้นถึงได้มองหน้ากัน หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างมองออกถึงความกริ่งเกรงและความจนใจที่มีต่อต้าเทียนซือแล้ว คนหนึ่งในนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหันตัวออกไปทางนอกตำหนักใหญ่แล้วเปล่งเสียงดังกังวาน

ที่เขาพูดคือคำบูชาบรรพชน เสียงนั้นดังก้องไปแปดทิศ โทนเสียงแปลกประหลาด ทว่ากลับชักนำให้เมฆหมอกบนท้องฟ้าของโลกภายนอกซัดตลบ และไม่นานก็มีน้ำวนลูกหนึ่งปรากฏขึ้น

น้ำวนนี้หมุนโคจรดังครืนครั่น ทั้งยังขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วทั้งวังหลวง ส่วนมังกรยักษ์ตัวนั้นที่พอน้ำวนลูกนี้ปรากฏมันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ไม่ได้ชักนำเสียงฮือฮาจากฝูงชนเท่าไหร่นัก ราวกับทุกคนรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็อดจะมองนานหน่อยไม่ได้ และไม่นานน้ำวนลูกนั้นก็ยิ่งเปลี่ยนมาใหญ่มหึมา ทุกครั้งที่ขยับโคจรก็จะต้องมีเสียงอื้ออึงดังประสาน ขอบเขตของมันเกินพื้นที่ของวังหลวงไปแล้ว ตอนนี้กำลังแผ่ขยายออกไปทั่วทั้งนครจักรพรรดิขุย

พอจะมองเห็นได้รำไรว่าในน้ำวนน่าตะลึงที่หมุนโคจรอยู่นั้นเหมือนจะซ่อนแม่น้ำสายยาวเอาไว้สายหนึ่ง…

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลั้นลมหายใจ สัมผัสได้ว่าในแม่น้ำที่ซ่อนอยู่ในน้ำวนมีกลิ่นอายของความตายแผ่ออกมาเป็นระลอก…

“แม่น้ำอเวจี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอยู่กับตัวเอง ไม่นานนักเมื่อน้ำวนนี้แผ่ขยายจนปกคลุมไปทั่วทั้งนครจักรพรรดิขุย ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ต่อให้จะอยู่ในวังหลวงก็ยังได้ยินเสียงเซ็งแซ่ซึ่งเปล่งออกมาจากปากของคนนับไม่ถ้วนในนครจักรพรรดิขุยเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน

บัดนี้ประชาชนทุกคนที่อยู่ในนครจักรพรรดิขุยต่างกู่ร้องก้องฟ้าดิน

และน้ำวนลูกนั้นที่เนื่องจากใหญ่มากพอจึงทำให้แม่น้ำอเวจีที่อยู่ด้านในเผยกายออกมาอย่างชัดเจน

ทั้งยังถึงขั้นมองเห็นกระแสน้ำไหลที่ราวกับแหวกรูโหว่ช่องหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า ทำให้ทุกคนต่างก็มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำอเวจีได้อย่างชัดเจน!

กลิ่นอายแห่งความตายพลันตลบอบอวลไปทั่วทั้งฟ้าดิน หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหว ภาพนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด ในสายตาของเขา น้ำวนนี้ดูคล้ายดวงตาข้างหนึ่งที่เปิดออก แม้ว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะมองผ่านดวงตาข้างนี้เข้าไปเห็นแม่น้ำอเวจี ทว่าขณะเดียวกันก็มีการดำรงอยู่ของบางอย่างที่สูงส่งไร้ทัดเทียมกำลังมองลงมายังโลกใบนี้

นี่คือความรู้สึกที่พิลึกพิลั่นอย่างหนึ่ง ทว่าความรู้สึกนี้กลับโหมกระหน่ำรุนแรงอยู่ในหัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุน

และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสติเลื่อนลอยอยู่นั้น ผู้เฒ่าหลังค่อมก็กล่าวคำบูชาบรรพบุรุษเสร็จ เขาสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้าย

“พิธีเซ่นไหว้บรรพชน เริ่มได้!”

เสียงของเขาคล้ายระฆังที่ดังกังวานออกมา ในน้ำวนก็มีเสียงอื้ออึงที่ดังสะเทือนฟ้ายิ่งกว่าประหนึ่งมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งโบกสะบัดเบาๆ อยู่กลางแม่น้ำอเวจี ทำให้น้ำวนของแม่น้ำอเวจีพลันบังเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ เมื่อลูกคลื่นเริงระบำ ดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน…ก็พลันมารวมตัวกันอยู่กลางแม่น้ำอเวจี ครั้นจึงบินจากน้ำวนลงมายังพื้นดิน!

ดวงวิญญาณไหลบ่าประดุจสายฝนจนมิอาจบรรยายภาพความยิ่งใหญ่เกรียงไกรนี้ได้!

วิญญาณเหลือคณานับบินทะยานลงมาจากท้องฟ้า ล่องลอยไปทั่วทั้งนครจักรพรรดิขุย…วิญญาณเหล่านี้เยอะมากเกินไปจนมืดฟ้ามัวดิน ที่สำคัญที่สุดคือวิญญาณพวกนี้เหมือนอยู่ในสภาวะที่หลับหลึก ต่อให้ในบรรดานี้จะมีวิญญาณคนฟ้า แต่หากใครที่โชคดี แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้ไปครอบครอง!

เสียงไชโยกู่ร้องก็พลันดังกระหึ่มออกมาจากในนครจักรพรรดิขุย ปวงประชาทุกคนต่างก็เกิดความฮึกเหิม บินขึ้นมาเก็บเกี่ยวพระกรุณาธิคุณที่บรรพบุรุษมอบให้ในพิธีเซ่นไหว้กันอย่างไม่ขาดสาย

ในวังหลวง นอกตำหนักใหญ่ พวกองค์รักษ์เองก็พากันยกมือเก็บเอาวิญญาณที่สาดเทลงมา ขณะเดียวกันพวกสตรีธุลีแดงก็เริ่มทยอยลงมือ

และยังมีเจ้าพระยาสวรรค์ พระยาสวรรค์ รวมไปถึงขุนนางใหญ่หนึ่งพันกว่าคนที่ต่างก็ทำเช่นเดียวกัน สำหรับพวกเขาแล้วการเก็บเกี่ยวในวันพิธีเซ่นไหว้บรรพชนนี้ ปริมาณของวิญญาณไม่สำคัญ แค่เก็บเอามาเป็นเพื่อสิริมงคลกับตัวเท่านั้น แต่แน่นอนว่าหากได้วิญญาณคนฟ้ามาจริงๆ ก็นับว่าโชคดียิ่ง

เพียงแต่ว่าวิญญาณคนฟ้าไม่ได้ปรากฏในพิธีเซ่นไหว้บรรพชนทุกครั้ง ความเป็นไปได้นั้นต่ำแสนต่ำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในกลุ่มคนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาฉายแสงประหลาด ลึกๆ ในใจยังคงตื่นเต้นกระวนกระวาย แต่ว่าที่มากกว่านั้นคือความรอคอย เขารู้ดีว่าตอนนี้คือช่วงเวลาที่ตัวเองต้องลงมือทำตามแผนการแล้ว และหลังจากเรื่องนี้จบลงก็เกรงว่าชนชั้นสูงทั้งหมดในราชสำนักคงยิ่งเกลียดแค้นตนมากกว่าเดิม

“จะมัวสนขนาดนั้นไม่ได้แล้ว เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้มีเจตนาดีต่อข้าอยู่แล้ว ต่อให้ข้าไม่ทำเช่นนี้ หากพวกเขามีโอกาสก็ไม่มีทางปล่อยข้าไปอยู่ดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน ร่างสั่นสะท้านน้อยๆ พกพาเอาความตื่นเต้น ความฮึกเหิมและความกระวนกระวายใจกระโดดผลุงขึ้นไปบนท้องฟ้า

วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกระโดดขึ้นไป ดวงตาทั้งคู่ของต้าเทียนซือที่อยู่ในตำหนักก็เผยอขึ้นเป็นร่องเล็กๆ กวาดสายตามามองที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

และเวลานี้เอง หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบินออกมา เขาก็พลันยกมือขวาขึ้นแล้วคว้าจับวิญญาณดวงหนึ่งที่หล่นลงมาจากฟ้าโดยไม่ได้มองอย่างละเอียด!

นี่คือวิญญาณสร้างฐานรากดวงหนึ่ง…

ชั่วขณะที่คว้าวิญญาณสร้างฐานรากนี้ไว้ได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกตากว้าง ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นทันใด ดวงตาเผยความเหลือเชื่อ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งดั่งคนที่ห้าวเหิมสุดกำลัง ทั้งยังแหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงหัวเราะดังลั่น

“สวรรค์ ไม่นึกเลยว่าข้าจะจับวิญญาณแบบนี้ได้!!”

เสียงหัวเราะของป๋ายเสี่ยวฉุนดังมาก เพราะเขาจงใจใช้ตบะมากระตุ้นด้วย มันจึงดังกังวานไปสี่ทิศ ดึงดูดความสนใจจากคนไม่น้อย ทว่ายังไม่ทันรอให้ผู้คนมองเห็นได้อย่างชัดเจน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดร่างบินทะยานเข้าไปยังตำหนักใหญ่ของวังหลวง

ความเร็วนั้นมากจนมาถึงนอกตำหนักใหญ่ในชั่วพริบตา หลังจากมายืนเคียงไหล่กับพวกสตรีธุลีแดงแล้ว ภายใต้สายตาคลางแคลงของพวกสตรีธุลีแดง เขาก็หันไปตะโกนด้วยความห้าวเหิมใส่จักรพรรดิขุยที่อยู่ข้างในตำหนักใหญ่ด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมราวเสียงฟ้าคำรณ

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ข้าน้อยป๋ายฮ่าวได้วิญญาณคนฟ้ามาดวงหนึ่ง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังฮึกเหิมยกมือขวาขึ้นสูง ก่อนจะแบมือให้ทุกคนได้เห็นวิญญาณสร้างฐานรากที่อยู่ในมืออย่างชัดเจน

เสียงของเขาดังเกินไป แถมการกระทำนี้ยังเกิดขึ้นกะทันหันจึงดึงดูดสายตาของชนชั้นสูงทั้งหมดบนลานกว้างได้ทันใด สตรีธุลีแดงอยู่ใกล้กับป๋ายเสี่ยวฉุนมาก พอได้ยินอย่างนั้นนางก็อึ้งค้าง รอจนนางเห็นวิญาณที่อยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างชัดเจน สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปทันควัน

“ป๋ายฮ่าว เจ้าทำอะไร ยังไม่ถอยไปอีก!” สตรีธุลีแดงตวาดกร้าว โจวหงที่อยู่ข้างกันยิ่งเบิกตากว้าง และยังมีพวกราชาชัยน้อยกับซื่อจื่อของนครเทพจุติที่พอเห็นวิญญาณในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะลึงงันไม่ต่างกัน

วิญญาณนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คือวิญญาณสร้างฐานราก ไม่ใช่วิญญาณคนฟ้าสักหน่อย…

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ พวกเจ้าพระยาสวรรค์อย่างเฉินฮ่าวซงก็งงงัน แต่ไม่นานพวกเขาก็หน้าเผือดสี สายตาที่ใช้มองป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความคมกริบประดุจคมมีด

“หรือเขาคิดจะบีบให้องค์จักรพรรดิสละราชบัลลังก์ให้ได้?!”

ส่วนพวกพระยาสวรรค์ บางคนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองฉับไว สีหน้าของพวกเขาจึงเปลี่ยนแปลงไปในพริบตา ลมหายใจก็เริ่มยุ่งเหยิง ต่างคนต่างใจหายวาบ แต่ก็มีคนส่วนหนึ่งที่ยังตระหนักไม่ได้ว่าอันดับต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“วิญญาณคนฟ้า?”

“นี่มันไม่ใช่วิญญาณคนฟ้าสักหน่อย…”

“ป๋ายฮ่าวผู้นี้โง่หรือไง?”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่จากคนรอบด้าน ทุกคนที่อยู่นอกลานกว้างต่างก็พากันเปิดปาก จ้าวสงหลินที่เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นตะโกนขึ้นมาเสียงดังอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

“ป๋ายฮ่าว เจ้าตาบอดหรือไร ถึงได้บอกว่าวิญญาณสร้างฐานรากคือวิญญาณคนฟ้า เจ้าอยากได้วิญญาณคนฟ้าจนเป็นบ้าไปแล้วหรือ ทำไมเจ้าถึงไม่พูดว่ามันเป็นวิญญาณครึ่งเทพไปเลยล่ะ!”

เสียงหัวเราะเย้ยหยันสอดแทรกมากับเสียงโหวกเหวก ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่ยี่หระ ดวงตาของเขาจ้องมองไปในตำหนักที่อยู่เบื้องหน้า มองไปยังจักรพรรดิขุยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร

ในตำหนักเวลานี้พวกลูกหลานเชื้อพระวงศ์ก็มีคนบางส่วนที่หน้าไร้สีเลือด รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ องค์ชายรองเข้าใจนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่บ้าง ยามนี้เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาก็พลันเงยหน้าขึ้น ขนาดลมหายใจยังชะงักค้าง สีหน้าคละเคล้าอยู่ระหว่างความตกใจและความลนลาน

“เขาคิดจะทำอะไร หรือคิดจะบีบให้เสด็จพ่อยอมก้มหัวให้?!”

ดวงตาทั้งคู่ของจักรพรรดิขุยพลันระเบิดแสงคมกริบ จ้องเขม็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้มองดูเหมือนตื่นเต้นดีใจ ทว่าความตึงเครียดในใจกลับดุเดือด แสงคมกริบในดวงตาของจักรพรรดิขุยทำให้เขาใจสั่นรัว ยังไม่ทันรอให้เขาเปิดปาก หนึ่งในผู้เฒ่าหลังค่อมจอมเย็นชาสองคนที่อยู่เบื้องล่างจักรพรรดิขุยก็พลันเอ่ยด้วยเสียงชวนขนลุกที่แฝงเร้นไว้ด้วยไอสังหาร

“บังอาจยิ่งนัก เห็นๆ กันอยู่ว่านี่คือวิญญาณสร้างฐานราก กลับยังกล้ามาหลอกลวงเบื้องสูง!”

ระหว่างที่พูดผู้เฒ่าคนนี้ก็เดินออกมาหนึ่งก้าว พุ่งตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ปราณคนฟ้าพลันระเบิดตูมออกมา ร่างทั้งร่างกลายมาเป็นท้องฟ้าที่ตรงเข้ามาหมายสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน

ออกแรงเต็มกำลัง รวดเร็วราบรื่น ไร้ความลังเลและล่าช้า ราวกับต้องการสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนให้ตายอยู่ที่นี่โดยเร็วที่สุด!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version