Skip to content

A Will Eternal 781

บทที่ 781 คลื่นใต้น้ำที่ไหลบ่า

“พูดถึงผู้ตรวจการป๋ายฮ่าวคนนั้น…คนผู้นี้ฆ่าคนตาไม่กะพริบ โหดเหี้ยมอำมหิต บ้าคลั่งอย่างถึงที่สุด!”

“เขาชอบแย่งเมียคนอื่น รังแกระรานคนไปทั่ว แถมยังใส่ความคนอื่นอย่างไร้ยางอาย ราชาผียักษ์ก็ถูกเขาหลอกไปด้วย!”

“เขาเชี่ยวชาญการค้นบ้านยึดทรัพย์ผู้อื่น ทุกที่ที่ผ่าน แม้แต่ต้นหญ้าก็ไม่มีเหลือ สิบแปดตระกูลในนครจักรพรรดิขุยตกอยู่ในสภาพอเนจอนาจจนน่าสังเวช!”

“เขามันคนกะล่อนปลิ้นปล้อน ฝึกวิชามาร กลืนกินพลังชีวิต คนที่ถูกเขาดึงพลังชีวิตไปมีให้เห็นกันทั่วในนครจักรพรรดิขุย!”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายดังไปทั่วทั้งแดนทุรกันดารอย่างต่อเนื่อง ป๋ายฮ่าวที่ทุกคนพูดถึงกันนั้นชั่วช้าจนมิอาจให้อภัย อีกทั้งบางชนเผ่ายังเริ่มเอาชื่อป๋ายฮ่าวมาข่มขู่เด็กๆ ที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นับว่าดีเยี่ยมจนน่าแปลกใจ

ทั้งหมดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ปิดด่านหลอมไฟไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย

ทว่าป๋ายฮ่าวศิษย์ของเขาสนใจนี่นา เวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่าน ป๋ายฮ่าวมักจะออกไปข้างนอกเป็นประจำ ในฐานะที่เขาเป็นผีนักพรต เดิมทีก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้นับร้อยนับพันอยู่แล้ว บวกกับที่ตัวตนภายนอกของเขาก็คือวิญญาณทาสของป๋ายเสี่ยวฉุน ขอแค่วางท่าซึมกะทืออยู่ตลอดเวลา คนนอกไม่เพียงแต่มองไม่ออก ทั้งยังไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องด้วย นอกจากนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังสั่งให้ศพหุ่นเชิดของตนติดตามคอยให้การคุ้มกันป๋ายฮ่าวด้วย

ส่วนการหลอมไฟของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นก็มีการเผาผลาญในจำนวนมหาศาล ต่อให้จะได้ผลพวงที่น่าตะลึงมาจากการยึดทรัพย์ แต่อย่างไรซะทุกครั้งที่เขาฝึกหลอมไฟก็ยังจำเป็นต้องใช้ไฟสิบเจ็ดสีถึงสิบกอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ป๋ายฮ่าวเท่านั้น แม้แต่โจวอีซิงเองก็ยังต้องออกไปข้างนอกเป็นประจำเพื่อช่วยหาซื้อวิญญาณมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุน ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อประคับประคองแผนการการหลอมไฟของเขา

ดังนั้น…ยามที่ออกไปข้างนอก สิ่งที่ป๋ายฮ่าวได้ยินมากที่สุดก็คือเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างลับๆ ของคนนับไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ได้ยินเขาก็จะต้องรู้สึกแปลกๆ เขาตระหนักได้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าชื่อของตัวเอง ถูกอาจารย์เอามาเล่นจนเสื่อมเสียป่นปี้ไปหมดแล้วจริงๆ …

ขณะเดียวกันข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งแดนทุรกันดารนี้ก็ทำให้ป๋ายฮ่าวเกิดการระวังภัย

ส่วนทางฝ่ายของป๋ายเสี่ยวฉุน ภายใต้การเผาผลาญเช่นนี้ ความเข้าใจที่เขามีต่อไฟสิบแปดสีก็เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน เขามั่นใจว่าหากยังทดลองแบบนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ ตนก็จะสามารถหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้จริงๆ!

เขาร้อนใจมาก เพราะป๋ายฮ่าวระวังตัว เขาเองก็ระวังตัวเหมือนกัน ตอนนี้เขาพลันตระหนักได้ว่าการกระทำของตัวเองในงานพิธีเซ่นไหว้บรรพชนก่อนหน้านี้ทำให้อำนาจของตนเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดจนถึงจุดสูงสุด ขณะเดียวกันก็เป็นการพาตัวไปอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรงอย่างยิ่งยวดด้วย!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดีว่าตนจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ต้าเทียนซือสิ้นนกเก็บคันธนู แม้ว่าการที่เขาร่วมมือก่อนหน้านี้จะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นมีดแหลมคมเล่มหนึ่งในมือของต้าเทียนซือ คมมีดชี้ไปทางไหน ทางนั้นก็แหลกลาญ ทว่าตอนนี้เมื่อต้าเทียนซือกลับคืนสู่จุดสูงสุด กำราบทุกคนได้อีกครั้ง ความหมายของการดำรงอยู่ของจวนตรวจการก็แทบไม่มีเหลือ ใต้หล้าสงบสุขจะยังเก็บใบมีดไว้อีกทำไม!

และเวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กังวลมากว่าต้าเทียนซือจะผลักให้เขาออกมาระงับความกดดันและความแค้นเคืองของชนสูงศักดิ์ทั้งราชสำนัก ยังดีที่พวกเขาอาจารย์และศิษย์สองคนมีการปรึกษากันมาตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวงที่ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจต้านทานได้นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมีทางเลือกเพียงอย่างเดียว และนี่ก็เป็นเรื่องเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้

นั่นก็คือ…เขาต้องกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน!

มีเพียงกลายเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินเท่านั้นถึงจะพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ด้วยมือของตัวเองในยามคับขันได้!

“แต่ว่าตามการวิเคราะห์ของข้าและฮ่าวเอ๋อร์ ต้าเทียนซือไม่น่าจะทิ้งข้าเร็วขนาดนี้…บางทีทุกอย่างนี้อาจเพราะข้าคิดมากเกินไป ต้าเทียนซือเห็นแก่คุณความชอบของข้าก็ต้องยิ่งชื่นชมตบรางวัล อีกทั้งตอนนี้เขากุมอำนาจสูงสุด ตามการวิเคราะห์ของฮ่าวเอ๋อร์ ความคิดของเขาก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง…”

“ยิ่งก่อนหน้านี้เวลาที่ข้ายึดทรัพย์ยังเอาสมบัติเก้าส่วนที่แบ่งอย่างเข้มงวดไปให้กับต้าเทียนซือด้วยตัวเอง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าทุกครั้งที่เขาได้เห็นจะตระหนักไม่ได้ว่าทรัพย์สินมหาศาลของตระกูลพระยาสวรรค์พวกนั้น อาจไม่ถึงกับรวยจนเทียบเท่าท้องพระคลัง แต่ก็น่าตะลึงอย่างถึงที่สุด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองกองไฟในมือของตัวเองพลางพึมพำอยู่ในใจ

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการปูทางของข้าทั้งสิ้น…หากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็พอทำเนา แต่หากมีเรื่องแตกหน่อขึ้นมา ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ข้าก็สามารถเอาแผนการเหี้ยมโหดที่ฮ่าวเอ๋อร์คิดไว้…ออกมาใช้ได้ เมื่อทำแบบนี้จะช่วงชิงเวลาให้กับข้าได้ช่วงหนึ่ง แต่ว่าแผนนี้ต่ำช้าเกินไป แม้ว่าข้าจะไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเอง แต่ถ้าไม่ใช้ได้ก็นับว่าเป็นการดี…”

“ทว่าหากต้าเทียนซือผลักข้าออกไปจริงๆ …เมื่อถูกบีบให้จนตรอก ข้าก็จำต้องใช้มันแล้วล่ะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ของตัวเองให้สงบแล้วก้มหน้าก้มตาหลอมไฟต่อไป

และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมระวังไม่ให้ต้าเทียนซือเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลจึงเพิ่มความเร็วในการหลอมไฟสิบแปดสีอย่างต่อเนื่องนั้นเอง ในนครจักรพรรดิขุยก็กำลังมีดวงตาคู่หนึ่งที่เหมือนกับดวงตาอสรพิษจ้องนิ่งไปยัง…วิญญาณป๋ายฮ่าว!!

ข่าวคราวเกี่ยวกับวิญญาณของป๋ายฮ่าวได้แพร่ผ่านวิธีการที่ลึกลับอย่างถึงที่สุดไปรวมตัวอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่งในนครจักรพรรดิขุยซึ่งข้างนอกมองดูไม่สะดุดตา!

“วิญญาณนี้ไร้ชื่อ ติดตามอยู่ข้างกายป๋ายฮ่าวมานานหลายปี…”

“การตรวจสอบทางฝ่ายนครผียักษ์สิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีใครรู้ที่มาของวิญญาณนี้…”

“ปรากฏตัวครั้งแรกในร้านหลอมพลังจิตของป๋ายฮ่าว…”

“ปกติมีท่าทางซึมกะทือ ไม่ต่างอะไรจากวิญญาณข้ารับใช้ทั่วไป…”

ในห้องลับนี้มีเงามายาทั้งหมดสิบสามเงาลอยนิ่งๆ อยู่ในมุมมืดรอบด้าน หน้าตาของพวกเขาพร่าเลือน แม้แต่ลมหายใจก็ยากที่จะทำให้คนจับได้

ยามนี้พวกเขากำลังใช้สายตาสงบนิ่งมองไปยังหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งที่อยู่ตรงกลางกลุ่มของพวกเขา หญิงสาวคนนี้กำลังเอ่ยเนิบช้า พูดเกี่ยวกับผลการสำรวจข้อมูลของวิญญาณป๋ายฮ่าว

หญิงสาวคนนี้ หากป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ที่นี่ต้องจำได้ในปราดเดียวว่า

นางก็คือ เมี่ยวหลินเอ๋อร์!

ครานั้นตอนที่อยู่ในกาหลอมวิญญาณ

หญิงสาวคนนี้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะเดียวกันเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ที่นครจักรพรรดิขุย นางก็แอบลงมือกับเขาอย่างลับๆ ทว่าสุดท้ายกลับเลือกจะซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ

“หลังจากที่ป๋ายฮ่าวกลายเป็นผู้ตรวจการ วิญญาณนี้ก็ปรากฏตัวน้อยครั้ง และจวนตรวจการก็มีการป้องกันภายในอย่างแน่นหนา คนนอกยากที่จะมองร่องรอยออก”

“แต่ว่าสามเดือนมานี้ วิญญาณนี้กลับออกมาข้างนอกหลายครั้ง ทุกครั้งที่ออกมาก็เหมือนจะรับคำสั่งจากป๋ายฮ่าวให้มาหาซื้อวิญญาณ…”

“การปรากฏตัวครั้งก่อนของเขาคือเมื่อสามวันก่อน…ตามการคาดการณ์และวิเคราะห์ของข้า ภายในครึ่งเดือนนี้ วิญญาณนี่ต้องปรากฏตัวอีกครั้งแน่นอน!”

“เพียงแต่ว่าข้างกายเขามีศพนับร้อยตนติดตามอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่วิญญาณนี้เท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่โจวอีซิงที่ออกมาข้างนอกก็ยังมีผู้ติดตามด้วย” เมี่ยวหลินเอ๋อร์เอ่ยเสียงเรียบ แต่ละประโยคมีการเรียบเรียงถ้อยความชัดเจน อาภรณ์ของนางไม่เปิดเผยเนื้อตัวอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาแต่งกายแบบปกติ

“ดังนั้น ข้าแนะนำว่า…ครั้งหน้าที่วิญญาณนี้ปรากฏตัว ก็คือช่วงเวลาลงมือของพวกเรา!” พูดจบนางก็หันไปประสานมือคารวะเงามายาสิบสามเงาที่อยู่รอบด้าน

เงามายาทั้งสิบสามเงาเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าแน่ใจรึว่า…วิญญาณนี้มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง? แถมยังฉลาดมากด้วย? การแสดงออกทุกอย่างก่อนหน้านี้แค่จงใจให้คนเข้าใจผิดเท่านั้น?”

“แม้ว่าข้าจะเจอวิญญาณนี้มาแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ข้าแน่ใจเต็มร้อย!” เมี่ยวหลินเอ๋อร์รีบพูดอย่างไร้ซึ่งความลังเล

รอบด้านเงียบงันกันไปอีกครั้ง พักใหญ่ถึงมีเงามายาเงาหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“จะอย่างไรซะวิญญาณนี้ก็เป็นวิญญาณทาสของเจ้าหมาบ้าป๋ายฮ่าวนั่น หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง เกรงว่าเจ้าป๋ายฮ่าวคงให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่งยวด…ดังนั้น หากเจ้าแน่ใจจริงๆ วิญญาณนี้ก็ย่อมนำมาหลอมเป็น…ไฟสิบแปดสีได้!!”

เมี่ยวหลินเอ๋อร์ไม่ได้ตอบรับทันที เพียงหยิบเอาแผ่นกระดูกสิบสามแผ่นออกมาจากในถุงเก็บของ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง แผ่นกระดูกทั้งสิบสามแผ่นก็บินเข้าหาคนสิบสามคน

หลังจากที่พวกเขาแต่ละคนรับไปแล้วก็พากันก้มหน้าลงอ่าน ไม่นานดวงตาของพวกเขาก็เผยประกายระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าเนื้อหาในแผ่นกระดูกนี้มากพอจะทำให้พวกเขาแน่ใจว่าคำพูดของเมี่ยวหลินเอ๋อร์คือความจริง

“สำหรับสายของพวกเราแล้ว จุดที่ยากที่สุดของไฟสิบแปดสีก็คือเชื้อเพลิง…ขอแค่มีเชื้อเพลิง หลังจากที่ท่านปู่ของข้าเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินสำเร็จ เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิญญาณประเภทนี้อีกก็สามารถหลอมไฟสิบแปดสีได้!”

“ส่วนเรื่องที่รับปากผู้อาวุโสทุกท่านว่าจะมอบไฟสิบแปดสีและตำรับการหลอมไฟให้ทุกตระกูล ท่านปู่ของข้าก็ขอใช้คำสาบานเป็นการรับรอง!”

“อีกทั้งผู้อาวุโสทุกท่านก็คงมองออกแล้วว่า…ช่วงเวลาดีๆ ของป๋ายฮ่าวกำลังจะถึงจุดสิ้นสุด ที่ต้าเทียนซือยังลังเลอยู่ก็คงเป็นเพราะหาโอกาสเหมาะๆ ไม่เจอ…ไม่ว่าจะอย่างไร ป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็คือพยัคฆ์ที่ไร้เขี้ยวเล็บ หากเขาข่มกลั้นไม่ไหวแล้วลงมือบ้าระห่ำก็ไม่จำเป็นให้พวกเราต้องลงแรง เพียงแค่ไหลไปตามน้ำ ต้าเทียนซือย่อมต้องถือโอกาสสังหารเขาดับแค้นปวงชนเพื่อรักษาอำนาจค้ำฟ้าของตัวเองให้มั่นคง ขณะเดียวกันก็ได้ยุติลมคาวฝนเลือดก่อนหน้านี้ได้อย่างสวยงาม!”

“ตอนนี้ที่ต้าเทียนซือต้องการคือรักษาความมั่นคง ในเมื่อสิ้นนกเก็บธนู แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องเอาธนูออกมาใช้ในเมื่อนกตายกันหมดแล้ว” เมี่ยวหลินเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบาพร้อมอมยิ้มน้อยๆ รอบด้านเงียบงันกันไปอีกครั้ง

เมี่ยวหลินเอ๋อร์ไม่รีบร้อน นางยืนอยู่ตรงนั้น รอฟังคำตอบจากทุกคน นางมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่มีทางเกิดความผิดพลาดแน่นอน อันที่จริงตอนที่นางเพิ่งได้เห็นวิญญาณของป๋ายฮ่าว นางเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก เพราะอย่างไรซะเมื่อวิญญาณป๋ายฮ่าวติดตามอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีพลังหน้ากากช่วยอำพราง จึงไม่มีใครมองออกถึงความแตกต่างระหว่างเขากับวิญญาณทาสทั่วไป อีกทั้งป๋ายฮ่าวก็มีการอำพรางตัวเอง จะแสดงความฉลาดเฉลียวออกมาก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น

จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่…ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟพร้อมกับซุนอี้ฝานและซือหม่าเทา และเป็นช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟสิบแปดสีออกมาสำเร็จเสี้ยวหนึ่ง!

วินาทีนั้น คลื่นอารมณ์ของวิญญาณป๋ายฮ่าวรุนแรง อีกทั้งไม่มีพลังหน้ากากของป๋ายเสี่ยวฉุนช่วยคุ้มกัน เมี่ยวหลินเอ๋อร์ถึงได้สังเกตเห็นว่าวิญญาณป๋ายฮ่าวไม่เหมือนกับวิญญาณทั่วไป และที่นางจับสังเกตได้นั้นก็เพราะเกี่ยวข้องกับความพิเศษของวิชาที่นางใช้ฝึกตน

ตระกูลของเมี่ยวหลินเอ๋อร์ไม่ใช่พระยาสวรรค์ แล้วก็ไม่ใช่เจ้าพระยาสวรรค์ แต่เป็น…ตระกูลอาจารย์หลอมวิญญาณที่เคยมีอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินปรากฏตัวมาก่อน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version