Skip to content

A Will Eternal 799

บทที่ 799 เจ้าหลอกข้า

คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของตระกูลเมี่ยว!!

ทั้งชายและหญิง ไม่พูดว่าทุกคนล้วนอยู่ที่นี่กันหมด แต่ในบรรดานั้นก็คือคนมากถึงเจ็ดแปดกว่าส่วนของทั้งตระกูล ยิ่งในนี้ยังมีคนไม่น้อยที่เป็นผู้กล้าแห่งตระกูลเมี่ยว ทั้งยังมีบางส่วนที่บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวทุ่มเทแรงกายแรงใจและทรัพยากรไปมากมหาศาลเพื่อปลูกฝังให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอดในด้านการหลอมวิญญาณของตระกูลในอนาคต

สามารถพูดได้ว่าเมล็ดพันธ์และรากฐานของทั้งตระกูลเมี่ยวล้วนอยู่ที่นี่กันหมด!

เดิมทีก่อนหน้าที่บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวจะใช้แผนนี้ก็ได้สลายคนในตระกูลให้แยกย้ายกันไปซ่อนตัวอยู่ที่อื่นแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีความสามารถมากถึงขนาดที่หาตัวคนตระกูลเมี่ยวของเขาออกมาได้มากมายขนาดนี้!!

อันที่จริงนับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพบเบาะแสข้อแรก เขาก็ให้โจวอีซิงไปจัดการแล้ว ที่เพิ่งจะลงมือเอาตอนนี้ก็เพราะกลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น

และตอนนี้ในเมื่อต้องแตกหักกับตระกูลโจว เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์สุดโต่งเกิดขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงตัดสินใจจับทุกคนมาให้เรียบไม่เหลือสักราย หากป๋ายฮ่าวตาย ประโยชน์ของคนเหล่านี้ย่อมมีไม่มากนัก แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าขอแค่ป๋ายฮ่าวยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเช่นนั้นสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญในภายหลังก็อาจเป็นการที่คุกคามที่บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวใช้ป๋ายฮ่าวมาบีบเขา

หากเป็นเช่นนี้ คนตระกูลเมี่ยว…ก็จะกลับกลายมาเป็นท่าไม้ตายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามาใช้ข่มขู่บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวแทน! และก็เพราะเหตุนี้ ก่อนหน้านั้นเขาถึงได้สังหารพระยาสวรรค์น้อยอย่างไม่ลังเลใจ เพราะหากใช้คนนอกมาข่มขู่ ย่อมได้ผลไม่มากเท่าใช้คนตระกูลเมี่ยวเอง!

“ป๋ายฮ่าว เจ้า!!!” บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาพลันปรากฏเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก ในสมองของเขาก็ยิ่งมีเสียงดังอื้ออึง เขามองทุกคนที่อยู่ในภาพนั้น มองเมี่ยวหลินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างใน มองต้นกล้าที่เขาปลูกฝังมาอย่างยากลำบาก ทั้งยังมองเห็นใบหน้าของเด็กรุ่นหลังที่ตัวเองรักและเมตตา

ในสมองของเขามีภาพแห่งความอบอุ่นที่คนมากมายในตระกูลพึ่งพาอยู่ข้างกายตัวเองเมื่อครั้งอดีตลอยขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ลมหายใจของเขาหอบหนักและลนลาน ทำให้ดวงตาของเขาเผยความดิ้นรน

ตอนนี้ชีวิตของพวกเขาทุกคนอยู่ที่แค่ความคิดเดียวของตน!!

“และนี่ ยังไม่ใช่คนทั้งหมด เจ้าวางใจเถอะ หากวิญญาณทาสของข้าตายไป เจ้าก็เชื่อข้าเถอะว่าข้ามีความสามารถที่จะไปควานตัวลูกหลานตระกูลเมี่ยวทุกคนของเจ้าที่ไม่ว่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนออกมา ไม่ให้พวกเขาได้มีที่ใดให้ซ่อนตัว!”

“และข้าก็จะทำให้ตระกูลเมี่ยวของเจ้าไร้ผู้สืบทอดในแดนทุรกันดารแห่งนี้! สายเลือดตระกูลเมี่ยวจะถูกฆ่าล้างจนสิ้นซาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องหน้าบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวเขม็ง ปากก็เอ่ยเน้นย้ำชัดทุกถ้อยคำ นับตั้งแต่ที่บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวใช้วิญญาณของป๋ายฮ่าวมาข่มขู่ตน เขาก็เข้าใจแล้วว่าบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวผู้นี้ไม่เคยรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาจากปากป๋ายฮ่าวมาก่อน

หาไม่แล้วตอนนี้อีกฝ่ายคงไม่ได้แค่ใช้ป๋ายฮ่าวมาบีบบังคับตน แต่คงใช้ทุกวิถีทางมาเอาชีวิตตนให้ได้!

แต่พอนึกมาถึงตรงนี้ หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสั่นรัว

เพราะเขารู้ว่าไม่มีทางที่บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวจะไม่ใช้การค้นวิญญาณ เขาย่อมต้องอยากรู้ว่าวิญญาณป๋ายฮ่าวก่อเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

และก็ด้วยเหตุนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงจินตนาการไม่ออกเลยว่าเวลาหนึ่งเดือนมานี้ ป๋ายฮ่าวต้องทนรับการความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมากแค่ไหน โดยที่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ให้…บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวได้สมปรารถนา!

ลูกศิษย์เช่นนี้ ก่อนหน้านั้นตนไม่เคยคิดจะทิ้งอีกฝ่าย มาตอนนี้ก็ยิ่งต้องปกป้องเขาโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน!

ริมฝีปากของบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวสั่นระริก ดวงตายิ่งแดงก่ำ ลมหายใจของเขาหอบหนักจนหายใจได้ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ในสมองของเขาราวกับมีคนอยู่สองคนที่กำลังต่อสู้กันเองอย่างดุเดือด คนหนึ่งเป็นตัวแทนตระกูล คนหนึ่งเป็นตัวแทนของเขาเอง ไม่นาน ดูเหมือนว่าคนที่ครุ่นคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองก็คล้ายจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ความกระหายใคร่ในการกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินเหมือนจะเอาชนะความรับผิดชอบที่มีต่อตระกูลได้อย่างราบคาบ

และเวลานี้เอง เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่นอน เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดว่าจะโชคดีรอดชีวิต วันนี้เจ้าอยากตายย่อมได้ตาย ไม่อยากตายก็ต้องตาย หากเจ้าคืนวิญญาณทาสมาให้แก่ข้า ถ้าเช่นนั้นก็มีแค่เจ้าคนเดียวที่ต้องตาย!

หรือไม่อย่างนั้น…ก็ให้เจ้าและคนทั้งตระกูลเมี่ยวของเจ้า ตายไปพร้อมกับ…วิญญาณทาสของข้า!”

“เจ้าหนีไม่รอด และวันนี้ก็ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดที่จะถ่วงเวลา ข้าให้เวลาเจ้าแค่สิบชั่วลมหายใจเท่านั้น!”

“สิบชั่วลมหายใจให้หลัง ข้าจะสั่งให้ศพหุ่นเชิดทั้งหมดของข้าลงมือสังหารเจ้าที่นี่ ขณะเดียวกันข้าก็จะทำให้เจ้าได้เห็นภาพที่เลือดของคนในตระกูลเจ้าไหลนองท่วมแผ่นดิน ตายอนาถตาไม่หลับ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ใจสั่นเหมือนกัน

แต่เขากลับไม่แสดงมันออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าความไร้เมตตาเหี้ยมอำมหิตนั้นออกมาจากสันดานที่แท้จริง ถ้อยคำก็ยิ่งเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด

“โจวอีซิง เริ่มจับเวลา สิบชั่วลมหายใจให้หลัง ปลิดชีพสายเลือดตระกูลเมี่ยวให้สิ้นซาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งครั้ง

พอพูดจบ โจวอีซิงที่อยู่ในภาพบนม่านแสงก็ยกยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนเริ่มนับเนิบช้า

“สิบ!” “เก้า!”

“แปด!”

เมื่อเสียงของเขาดังออกมา บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวก็ยิ่งตัวสั่นเทิ้ม ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ความดิ้นรนยิ่งรุนแรงถึงขีดสุด ทุกประโยคของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงเข้ามาในจิตใจ บดขยี้ปณิธานทุกอย่างของเขาอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งประโยคที่ว่าอยากตายย่อมได้ตาย ไม่อยากตายก็ต้องตาย และยังมีเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบชั่วลมหายใจ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจจะสังหารตนของอีกฝ่ายนั้นแรงกล้าจนมิอาจสั่นคลอนได้

“จะทำยังไงดี ข้าควรจะทำยังไงดี!!” ท่ามกลางรอยยิ้มขมขื่นของบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยว ยิ่งเสียงนับเลขของโจวอีซิงดำเนินไปเท่าไหร่ คนตระกูลเมี่ยวก็ยิ่งร้องวิงวอน ร้องขอความช่วยเหลือจากเขาดังระงมมากขึ้นเท่านั้น

“บุรพาจารย์ช่วยด้วย!!”

“ห้า!”

“สี่!” เสียงของโจวอีซิงหนักแน่นไม่สั่นไหว เมื่อดังเข้าหูของบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวกลับดังเกินเสียงอสนีบาต เขาจ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน คิดจะมองหาพิรุธจากอีกฝ่าย

แต่ไม่ว่าเขาจะจับสังเกตเช่นไร ทุกสิ่งที่เห็นนั้นก็มีเพียงความเหี้ยมเย็นชา นั่นคือความบ้าคลั่งที่ไม่ว่าต้องเสียอะไร ไม่ว่าทุ่มเท่าไหร่ ก็ต้องเอาชีวิตเขาให้ได้!

“แม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับวิญญาณดวงนี้ แต่กลับไม่ถึงขั้นที่ว่าจะยอมให้ข้าใช้วิญญาณดวงนี้มาข่มขู่เขาได้…” บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวใจหายวาบ แอบรู้สึกได้ว่าความยืนหยัดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงออกมานั้นก็คือหากไม่มอบวิญญาณดวงนั้นให้แก่เขา ใครก็อย่าได้หวังว่าจะได้มันไป!

อันที่จริงตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตึงเครียดและใจสั่นมากกว่าบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวเสียอีก แต่เขาต้องข่มกลั้น ต้องอำพรางมันเอาไว้ ไม่สามารถเปิดเผยมันออกมาได้แม้แต่เสี้ยวเดียว

เขาเข้าใจดีว่าหากปล่อยตัวบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวไป เขาก็จะกลายมาเป็นฝ่ายถูกกระทำ ความเป็นความตายของป๋ายฮ่าวจะต้องถูกกุมอยู่ในมือของอีกฝ่าย และหากอีกสิบสองตระกูลที่เหลือรวมถึงราชาเก้านรกภูมิลงมือ ตนคิดจะช่วยป๋ายฮ่าวอีกครั้งก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!

วิธีนี้มีแต่จะถ่วงเวลาให้ล่าช้า ไร้ประโยชน์ใดๆ ผลลัพธ์สุดท้ายก็ย่อมถูกกำหนดไว้นานแล้ว

และวิธีเดียวที่เขามีอยู่ก็คือต้องเลือกที่จะเหี้ยมกว่าใคร ขณะเดียวกันก็ต้องแสดงความหนักแน่นราวกับว่าหากไม่บรรลุเป้าหมายจะไม่ยอมรามือเด็ดขาดออกมา มีเพียงทำลายปณิธานแห่งการอยากมีชีวิตอยู่ของอีกฝ่ายให้สิ้นซากเท่านั้นถึงจะปลุกความรับผิดชอบที่เขามีต่อตระกูลให้ตื่นขึ้นมาได้

หากทำได้ถึงขั้นนี้ ถ้าเช่นนั้นทางเลือกที่ว่าเขาจะตายเอง หรือปล่อยให้สายเลือดถูกดับทำลาย…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เชื่อว่าหากเป็นคนปกติทั่วไปย่อมต้องเลือกข้อแรก!

เพราะข้อแรกนั้นไม่เรียกว่าความตาย แต่เรียกว่า…การเสียสละเพื่อคนในตระกูล!

แต่หากบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวผู้นี้อ่านใจเขาออกว่าแท้จริงแล้วระดับความสำคัญที่เขามีให้ต่อป๋ายฮ่าวเหนือกว่าที่ตัวเองคิดไว้มากนัก ถ้าเช่นนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนคงได้แต่ประนีประนอม ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไป…

“สาม!” ไอสังหารบนร่างของโจวอีซิงแผ่ออกมา ศพหุ่นเชิดหนึ่งพันนายก็ระเบิดปราณดุร้ายน่าพรั่นพรึง

“เจ้าจะเสียสละตัวเองคนเดียวเพื่อช่วยคนในตระกูล หรือคิดจะให้ทุกคนตายไปพร้อมกับเจ้า ทุกอย่างอยู่ที่ความคิดเดียวของเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย ทว่าน้ำเสียงนั้นยังคงเย็นชา มือขวาที่ยกขึ้นก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเฉียบขาด ราวกับว่าขอแค่มือนั้นถูกปล่อยลงมา ก็เท่ากับคำตัดสินเป็นตาย!

เขาจะพูดมากนักไม่ได้ อันที่จริงประโยคนี้ก็นับว่าเกินความจำเป็นไปแล้ว เพราะยิ่งพูดมาก พิรุธก็ยิ่งเยอะ

“สอง…” ตามหลังเสียงของโจวอีซิงคือเสียงร้องไห้อ้อนวอนของคนตระกูลเมี่ยว พอผสานรวมเข้าด้วยกันจึงคล้ายกลายมาเป็นเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ในจิตวิญญาณของบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวนับครั้งไม่ถ้วน และทำลายจิตวิญญาณของเขาให้พังทลายไปโดยตรง ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องตายนี้ สุดท้ายความรับผิดชอบที่มีต่อตระกูลก็ข่มทับผลประโยชน์ส่วนตนไปได้!

นี่เป็นภาพที่น่าหัวเราะอย่างยิ่ง มองดูเหมือนว่าการเลือกสุดท้ายของบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวคือสละตนเพื่อคนในตระกูล แต่หากเขาสัมผัสได้ว่าในความเป็นจริงแล้วเขาสามารถรอดชีวิตจากน้ำมือของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ การเลือกของเขาก็จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!

“หนึ่ง!” โจวอีซิงเอ่ยออกมา บุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวที่ยิ้มขื่นก็พลันยกมือขวาขึ้นตบหน้าผากตัวเอง พริบตานั้นวิญญาณป๋ายฮ่าวก็ถูกเขาจับไว้ในมือ ก่อนจะโยนมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุน!

“ปล่อยคนในตระกูลของข้าไป ใครเป็นคนทำ คนนั้นต้องรับผิดชอบ เจ้าต้องการชีวิตของข้าผู้อาวุโส ข้าผู้อาวุโสก็จะยกให้เจ้า!”

หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นรัว ความเย็นชาที่จงใจเผยออกมาก่อนหน้านี้พลันพังครืน ความร้อนรนในใจมิอาจปกปิดไว้ได้อีก อารมณ์ทั้งหมดเผยออกมาให้ทุกคนเห็นยามที่เขารุดหน้าขึ้นไปรับวิญญาณของป๋ายฮ่าวเอาไว้

วิญญาณของป๋ายฮ่าวอ่อนแรงอย่างถึงที่สุด เขาฝืนลืมตาขึ้นมา

พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็อึ้งไปครู่คล้ายไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง

“อาจารย์…” พูดได้แค่สองคำนี้ ป๋ายฮ่าวก็หมดสติไปทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ รีบกวาดอำนาจจิตมองไป หลังจากแน่ใจว่าป๋ายฮ่าวแค่หมดสติเพราะอ่อนกำลัง เขาจึงคลายใจลงได้ในที่สุด ครั้นจึงรีบเก็บวิญญาณป๋ายฮ่าวเข้าไปไว้ในสถูปวิญญาณ

การกระทำทั้งหมดนี้ของเขาตกอยู่ในสายตาของบุรพาจารย์ตระกูลเมี่ยวทันที เขาเบิกตากว้าง ในหัวมีเสียงดังอื้ออึง เขาได้ยินคำว่าอาจารย์ที่วิญญาณป๋ายฮ่าวเอ่ยออกมา ทั้งยังเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมากเพียงใด สีหน้าทั้งหมดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงออกมาทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนไปอย่างสิ้นเชิง เขาหอบหายใจดังฮักๆ ความรู้สึกอัปยศที่ถูกอีกฝ่ายหยามสติปัญญาทำให้ความดีงามที่หมายสละตนเพื่อไถ่ชีวิตคนในตระกูลเมื่อครู่นี้พังทลายลงไปในพริบตา ดวงตาของเขาพลันแดงก่ำ ก่อนจะแผดเสียงร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง

“ป๋ายฮ่าว เจ้าหลอกข้า!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version