บทที่ 821 มองไม่เห็นข้า…
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสองจิตสองใจ กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ถูกทวนทั้งสิบแทงทะลุล่างหลายร้อยรอบ ร่างของนางก็อาบไปด้วยเลือดสด ทำท่าคล้ายจะแหลกสลาย และเสียงกรีดร้องโหยหวนของนางก็ดังรุนแรงถึงขีดสุด ทั้งยังมีคลื่นที่น่าตะลึงขุมหนึ่งเหมือนจะระเบิดออกมาจากในร่างของนาง
ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นใจแกว่งกันอีกครั้ง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ตายซะเถอะ!” สตรีธุลีแดงที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน นางกัดฟันกรอด ทั้งยังกัดปลายลิ้นพ่นเลือดหนึ่งคำพร้อมทำมุทราชี้ไป ทำให้ทวนเลือดทั้งสิบระเบิดความเร็วมากกว่าเก่า ขณะเดียวกันก็พากันเผาไหม้ตัวเอง
ประหนึ่งเลือดที่ถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิงร้อนลวก อานุภาพของทวนเลือดเพิ่มขึ้นทบทวี ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ทวนเลือดทั้งสิบทยอยกันหยุดชะงักไปครู่ ก่อนที่สุดท้ายจะแทงเข้าไปในร่างที่สั่นเทิ้มราวกับจะแตกสลายของกงซุนหว่านเอ๋อร์อย่างพร้อมเพรียงกัน วินาทีที่ทวนปะทะกับผิวเนื้อของกงซุนหว่านเอ๋อร์ ทวนเลือดทั้งสิบก็ระเบิดออกกลายมาเป็นพลังแห่งการดับทำลายขุมหนึ่งที่กลบทับร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ไว้ภายในจนมิด
มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา!!
การระเบิดครั้งสุดท้ายนี้อานุภาพร้ายแรงมากเกินไป ต่อให้เป็นสตรีธุลีแดงก็ยังมิอาจควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะที่ควรได้ คลื่นคนฟ้าของนางจึงซัดสาดออกมารอบด้านอย่างต่อเนื่อง ก่อกลายมาเป็นพายุคลั่งที่ต่อให้เป็นผู้ฝึกวิญญาณกองทัพผียักษ์ก็ยังโดนลูกหลงไปด้วย
คนไม่น้อยกระอักเลือดถอยกรูดไปหลายก้าว และยังมีคนบางส่วนที่ถึงกับถูกม้วนตลบออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้รู้สึกระคายอะไร แต่ไม่อยากให้ตัวเองเป็นจุดสนใจจึงร้องโหยหวนขึ้นมาหนึ่งทีแล้วม้วนร่างของตัวเองตลบออกไปข้างหลัง ก่อนจะทำท่าทางโซซัดโซเซเหมือนคนที่เกือบจะยืนไม่ติดพื้น
ทว่าดวงตาที่หรี่เล็กกลับเหลือบมองไปยังร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่แหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ อย่างต่อเนื่องด้วยสายตาที่มีทั้งความยินดีและความซับซ้อนปะปนกัน
“ตายไปอย่างนี้เนี่ยนะ? คงไม่ง่ายขนาดนั้นกระมัง…” หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำ แอบรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ ทว่าเวลานี้เสียงไชโยโห่ร้องจากคนรอบด้านกลับดังก้องขึ้นมาเสียก่อน
สตรีธุลีแดงเองก็หน้าซีดขาว หลังจากฝืนเค้นรอยยิ้มออกมาก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ขณะที่กำลังจะเข้าไปดูว่าในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตายไปแล้วมีของอะไรที่มีประโยชน์เหลือหรือไม่ ทว่าเวลานี้เอง นางกลับพลันหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังถอยกรูดกลับมาว่องไว
“เจ้า…”
เสียงของนางเพิ่งจะหลุดออกมา จุดที่ร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์แหลกสลายก็มีแสงสีเลือดเส้นหนึ่งระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า ในแสงสีเลือดนี้แผ่กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นน่าสะอิดสะเอียนออกมาอย่างไร้ที่สุดสิ้น ทั้งยังมีไอความเย็นรวมไปถึงความบ้าคลั่งสะท้านฟ้าไร้คำบรรยายปะปนมาด้วย!!
ตลอดทั้งนภากาศเหมือนถูกอาบย้อมไว้ด้วยสีเลือด ราวกับว่าฟ้าดินแห่งนี้ได้กลายมาเป็นบ่อเลือดแห่งความชั่วช้าอำมหิตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
ความเร็วในการถอยของสตรีธุลีแดงช้าเกินไป นางจึงโดนแสงสีเลือดนั้นสาดมาโดนร่าง ฉับพลันนั้นนางก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ใบหน้าเป็นสีแดงแจ๋ กระอักเลือดออกมาคำใหญ่
ทุกคนที่อยู่รอบด้านพากันร้องอุทานหน้าถอดสี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งถลึงตาจนลูกตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า สำลักลมหายใจดังเอิ้ก เปลี่ยนท่าทางที่เดิมทีแสร้งทำเป็นโซซัดโซเซให้กลายมาเป็นขาอ่อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นพร้อมเสียงร้องโหยหวน รีบควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ขณะเดียวกันก็รีบกระตุ้นพลังหน้ากากเพื่อให้ตัวเองมองดูเหมือนคนที่ตายไปแล้ว…
แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแกล้งตายนั้นเอง แสงสีเลือดที่ทะยานขึ้นฟ้าก็พลันหดเล็กลง พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นเงาเลือดที่รูปร่างไม่ชัดเจนซึ่งยืนอยู่ตรงจุดที่ร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์แตกสลาย เงาเลือดนี้เคลื่อนที่รวดเร็วเกินกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายเท่า และแค่ชั่วพริบตาก็พุ่งไปหาผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่งของกองทัพผียักษ์
ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลอดทะลุร่างของคนผู้นั้นไปโดยตรง ร่างของผู้ฝึกวิญญาณคนนี้สั่นเทิ้ม เส้นผมขาวโพลนไปในพริบตา ฟันหลุดร่วงกราวลงมา รอยยับย่นขึ้นเต็มใบหน้าพร้อมๆ กับที่ร่างกลายมาเป็นซากแห้ง
จิตวิญญาณ พลังชีวิต เลือดลม ตบะ ทั้งหมดทั้งมวลของเขาล้วนถูกเงาเลือดนั้นดูดเอาไปหมด…และนี่ยังเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เงาเลือดนี้เคลื่อนที่เร็วเกินไป มันแทบจะกลายมาเป็นเส้นใยสีแดงเส้นหนึ่งที่แวบเดียวก็ลอดทะลุไปทั่วร่างของผู้ฝึกวิญญาณกองผียักษ์นับหมื่นที่อยู่รอบด้าน
ผ่านที่ใด ผู้ฝึกวิญญาณแต่ละคนยังไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องก็กลายมาเป็นซากศพไปในชั่วพริบตา…
ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว ทว่าในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นเพียงเวลาชั่วสายฟ้าแลบ แค่ไม่กี่อึดใจ…เส้นใยสีแดงที่จำแลงมาจากเงาเลือดของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็บินทะลุร่างของผู้ฝึกวิญญาณคนแล้วคนเล่า
หนึ่งพัน สองพัน สามพัน…
ห้าพัน หกพัน เจ็ดพัน…
ความเร็วมีมากเกินไป มองไกลๆ เห็นเป็นเพียงเส้นแสงสีแดงนี้เท่านั้น ประหนึ่งเข็มเย็บผ้าร้อยด้วยด้ายสีแดงที่กำลังปักทะลุร่างของผู้ฝึกวิญญาณแทบทุกคนแล้วร้อยเรียงพวกเขาให้อยู่ในพวงเดียวกัน
ภาพนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นอนแกล้งตายอยู่บนพื้นเห็นชัดจะๆ ตาของตัวเอง หนังหัวเขาแทบจะระเบิดออก ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นกงซุนหว่านเอ๋อร์ตาย อารมณ์ของเขายังสับสนวุ่นวาย แต่มาตอนนี้ ความสับสนนั้นหายวับไปไม่เหลือแม้เงา
“มองไม่เห็นข้า มองไม่เห็นข้า…ข้าตายไปแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนท่องอยู่ในใจตัวเองพลางเพิ่มแรงกระตุ้นพลังของหน้ากากมากให้ขึ้น ในใจก็คอยภาวนาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาดูออกจริงๆ แล้วว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้…ไม่ใช่คนที่สตรีธุลีแดงจะรับมือได้เลย
“ตายหมดแล้ว คนนับหมื่น ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่คนเท่านั้น…คนอื่นๆ ล้วนตายไป…ในเสี้ยววินาที!!”
“ก่อนหน้านี้ข้าก็เตือนแล้วแท้ๆ ว่าอย่ามาๆ แต่ดันไม่ยอมฟังข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียดอย่างถึงที่สุด ภาพการสังหารผู้คนของกงซุนหว่านเอ๋อร์ทำให้ใจเขาหวาดผวา กระวนกระวายไม่เป็นสุข วิกฤตความเป็นความตายรุนแรงแผ่อบอวล เขานอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่กล้ากระดิกแม้แต่ปลายนิ้ว หวังว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นั้นจะเห็นว่าตนกลายเป็นศพแล้วมองข้ามเขาไป
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังของหน้ากากป๋ายเสี่ยวฉุนดีเกินไป หรือเป็นเพราะทักษะการแสดงของเขาสมจริงมากเกิน
เส้นเลือดที่จำแลงมาจากเงาเลือดของกงซุนหว่านเอ๋อร์ซึ่งกวาดตะลุยไปรอบด้านและกลืนกินเลือดลมของคนนับหมื่นถึงไม่ได้สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนที่นอนกองอยู่กับพื้น รวมไปถึงคนหลายสิบคนที่ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บถูกม้วนร่างกระเด็นออกไปไกล
เส้นเลือดนี้ขยับตัวหนึ่งทีก็มาอยู่กลางอากาศ ก่อนที่รูปร่างหน้าตาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กงซุนหว่านเอ๋อร์เอามาใช้ก่อนหน้านี้จะค่อยๆ ก่อรูปก่อร่างขึ้นมากลางฟ้าดินแห่งนี้อีกครั้ง
วินาทีที่เผยกาย ปราณบนร่างของนางก็กระโดดพรวดจากก่อกำเนิดเลื่อนไปเป็นคนฟ้าโดยตรง!!
นภากาศเปลี่ยนสี ลมกระโชกแรงพัดก้อนเมฆให้ปั่นป่วน ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งกลายมาเป็นสีม่วงอมแดง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งถูกสีแดงสดเขมือบกลืนเข้าไป เสียงกัมปนาทดังกังวานเขย่าคลอนฟ้าดิน
เดิมทีฟ้าดินแห่งนี้ถูกครอบครองด้วยปณิธานของสตรีธุลีแดง ทว่ามาบัดนี้ปณิธานของนางกลับถูกโจมตีจนกระเด็นออกมาเหมือนคนที่ถูกขับไล่!
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” สตรีธุลีแดงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ชั่วขณะที่ปณิธานของตัวถูกขับไล่ นางก็ถูกพลังโจมตีกลับ กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ดวงตาเต็มไปด้วยปราณดุร้ายอบอวล เมื่อครู่นี้หาใช่นางไม่อยากลงมือช่วยคนของตัวเอง ทว่าอีกฝ่ายไวเกินไป อีกทั้งก่อนหน้านี้นางยังถูกแสงสีเลือดโจมตี เลือดลมในร่างที่ซัดตลบไม่มั่นคงจึงเหมือนจะหลุดออกมา นางไม่มีเวลาให้ช่วยคนอื่น ได้แต่รีบกำราบเลือดลมในร่างของตัวเองให้สงบโดยเร็วที่สุด
ได้ยินเสียงสตรีธุลีแดงเรียกชื่อตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจอยู่ในใจด้วยความขมขื่น เขารู้ว่าบาปนี้ ตนคงต้องรับไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้…
“ต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้เท่านั้น แม่งเอ๊ย หากกลับไปได้เมื่อไหร่ข้าผู้อาวุโสจะหลอมพลังจิตให้ทารกก่อกำเนิด เลื่อนสู่ก่อกำเนิดช่วงท้ายรวดเดียวไปเลย…มีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงจะรักษาชีวิตน้อยๆ ให้คงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้ได้…” หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวเร็ว การปรากฏตัวของกงซุนหว่านเอ๋อร์ สำหรับเขาแล้วแม้จะไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็มีประโยชน์ต่อตัวเขาอยู่บ้าง
นั่นก็คือเขาสามารถหลอมทารกก่อกำเนิดได้โดยที่ไม่มีใครสงสัยอีก เพราะว่ามีคนกลายมาเป็นเป้าแทนแล้ว…
“คิดเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้คือต้องคิดว่าจะหนียังไงต่างหาก”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มกลุ้มใจ รอบด้านเขาตอนนี้มีแต่คนตาย หากเขาหนีก็จะเป็นจุดสนใจเกินไป ยามนี้จึงได้แต่แกล้งตายให้ถึงที่สุด เขาหวังว่าศึกครั้งนี้จะยุติลงเร็วๆ พอกงซุนหว่านเอ๋อร์นั่นจากไป ตนจะได้เผ่นหนีไปเสียที หรือไม่ก็ขอให้มีเรื่องไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้นทำให้ตนมีโอกาสได้หนี
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังกลัดกลุ้ม กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ยิ้มตาหยีก็เงยหน้าขึ้นมองสตรีธุลีแดงที่สั่นไปทั้งร่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ขอบคุณเจ้ามากนะ ที่ทำให้ข้าพอจะอิ่มได้บ้างเล็กน้อย กินเจ้าอีกคน…คาดว่าข้าคงอิ่มไปได้พักหนึ่งเลยล่ะ” กล่าวจบกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็หัวเราะปิดท้าย แล้วจึงขยับร่างพุ่งดิ่งเข้าหาสตรีธุลีแดง
ความเร็วของนางนับว่าช้ากว่าตอนที่กลายเป็นเส้นแสงสีเลือดเล็กน้อย ทว่าก็ยังคงเร็วราวสายฟ้าแลบอยู่ดี พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าสตรีธุลีแดง มือทั้งคู่ของสตรีธุลีแดงทำมุทรา ทันใดนั้นบงกชสีชาดก็เริงระบำไปทั่วร่างของนาง ทว่าแค่กงซุนหว่านเอ๋อร์ยกมือขวาขึ้นกดเบาๆ เสียงตูมตามดังก้องก็มาพร้อมกับที่สตรีธุลีแดงกระอักเลือด ร่างถอยกรูดไปข้างหลังหลายสิบจั้ง
“เลือดลมหายไปเยอะจัง เจ้าทำแบบนี้ไม่ดีนะ เวลากินจะไม่อร่อยเอา”
เสียงของกงซุนหว่านเอ๋อร์ลอยแว่วพร้อมกับที่นางขยับเข้าไปใกล้สตรีธุลีแดงอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนพื้นแอบเหลือบมอง ในใจก็ให้เสียววาบๆ
สตรีธุลีแดงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกงซุนหว่านเอ๋อร์แม้แต่น้อย ภายใต้เสียงตูมตามที่ดังระเบิดอย่างต่อเนื่องนั้น นางถอยร่นไม่เป็นท่า เลือดคำใหญ่กระอักออกมาจากปากคำแล้วคำเล่า สภาพกระเซอะกระเซิงดูไม่ได้
ส่วนดอกบัวแดงที่เป็นอาวุธอาคมของนางเพียงถูกกงซุนหว่านเอ๋อร์โบกมือทีเดียวก็แตกสลายทีละชั้น สุดท้ายเสียงปังดังสนั่น มันก็กลายมาเป็นเพียงฝุ่นผง และนั่นก็ทำให้สตรีธุลีแดงหน้าขาวราวกระดาษ ร่างโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ ดูเหมือนนางคิดจะหนีเหมือนกัน แต่ภายใต้ความเร็วที่พิลึกพิลั่นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ แม้แต่หนีนางก็ยังทำไม่ได้!