บทที่ 836 เวทมรรคาแห่งฟ้าดิน
มองไกลๆ น้ำวนพายุหมุนนั่นกินพื้นที่ไปเกือบทั้งแผ่นฟ้า เสียงครืนครั่นดังกังวานไปสี่ทิศ พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แม้แต่พวกต้าเทียนซือก็ยังอกสั่นขวัญผวา
ขณะที่พายุหมุนนี้หมุนคว้างพลางปลดปล่อยพลังที่มากพอจะเขย่าคลอนจิตใจผู้คนออกมาอย่างต่อเนื่อง ฟ้าดินก็บิดเบือน ส่วนเด็กหญิงคนนั้นเป็นเหมือนเรือลำน้อยที่อยู่ท่ามกลางคลื่นพิโรธซึ่งคล้ายว่าจะถูกกลบทับได้ตลอดเวลา
ภาพนี้ทำให้ในใจของทุกคนบังเกิดความหวัง ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นเด็กหญิงก็พลันเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแสงสีเลือด นางที่อยู่ท่ามกลางพายุระห่ำพลันอ้าปากกว้าง กรีดร้องเสียงบาดแหลมโหยหวน ปากของนางขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด เวลาแค่ชั่วพริบตาก็แทบจะมองไม่เห็นเงาร่างของเด็กหญิง สิ่งที่มองเห็นมีเพียงปากใหญ่ที่อ้ากว้างเกินจริงไปมากโขเท่านั้น!!
ชั่วขณะที่ปากนั้นอ้าออก เด็กหญิงก็สูดลมดังสวบ ทันใดนั้นแรงดึงดูดที่น่าตะลึงยิ่งกว่าน้ำวนลูกนี้ก็พลันระเบิดออกมาจากปากของเด็กหญิง!
ตูมๆๆ ปังๆๆ!
เสียงกัมปนาทเขย่านภากาศ แรงดึงดูดของพายุน้ำวนกับแรงดึงดูดที่ออกมาจากปากของเด็กหญิงพลันปะทะเข้าด้วยกันเกิดเป็นเสียงที่ดังเกินสายฟ้าฟาด อีกทั้งภายใต้เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นนี้ พายุน้ำวนของคนเฝ้าสุสานก็ถึงกับชะลอการหมุนลง อีกทั้งยังเกิดลางที่จะ…ถูกเด็กหญิงกลืนกินเข้าไป!!
ภาพนี้ทำให้ทุกคนใจแกว่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งอ้าปากหอบหายใจดังเฮือก นี่คือศึกแห่งการประลองเวทคาถาระดับเหนือกว่าครึ่งเทพที่น่าตื่นตะลึงที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา เด็กหญิงนั่นเหมือนจะไม่มีทางตาย ส่วนคาถาของคนเฝ้าสุสานก็ทรงพลังไร้ขอบเขตจำกัด ไม่มีทางที่คนมองจะไม่สะทกสะท้าน
พอคิดถึงเรื่องที่ว่าตอนอยู่เขตแม่น้ำทงเทียน เด็กหญิงที่น่ากลัวขนาดนี้คอยติดตามตนอยู่ตลอดเวลา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกหวาดผวาไม่คลาย ในใจก็ยิ่งรู้สึกโชคดีที่ตัวเองรอดมาได้
“ยังดีที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ล่วงเกินนางมากเท่าไหร่นัก หาไม่แล้ว หากเด็กหญิงคนนี้คิดจะเล่นงานข้าให้ถึงตายจริงๆ แค่นางสูดลมใส่ข้าทีเดียวก็ได้แล้ว…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น ฟ้าดินก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง พายุน้ำวนลูกนั้นพังทลายลง ลมที่พัดกระโชกแรงอย่างไร้ที่สิ้นสุด…พุ่งดิ่งเข้าหาปากใหญ่ของเด็กหญิงที่อ้าออก และพริบตาเดียวก็ถูกนาง…กลืนกินลงไปทั้งหมด!!
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีทันใด ขณะเดียวกันคนเฝ้าสุสานก็ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้งคล้ายไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ เขาเพียงพลิกหมุนมือขวาเล็กน้อย แล้วชี้ไปหนึ่งที พร้อมเสียงแหบชราที่ดังก้องออกมาจากปาก
“ฝน!”
วินาทีที่คำเดียวคำนี้ออกมาจากปากของเขา เมฆทะมึนหลายชั้นก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พริบตาเดียวเมฆดำนี้ก็แผ่คลุมไปทั่วทั้งนภากาศ ขอบเขตของมันแผ่ขยายใหญ่ไปเกินครึ่งของแดนทุรกันดาร!
ด้านในเมฆดำนี้ไม่มีสายฟ้า มีแต่ฝน!!
ชั่วขณะที่เม็ดฝนซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเม็ดหนึ่งหยดติ๋งลงมาก็ตามมาด้วยฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำ ราวกับว่ามียักษ์ตนหนึ่งที่สาดน้ำถังใหญ่ลงมาจากฟ้า เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว โลกทั้งใบก็ได้ต้อนรับการมาเยือนของพายุฝนฟ้าคะนองที่ตกดังจั๊กๆๆ ไม่ขาดเสียง!!
นี่ไม่ใช่น้ำฝนธรรมดาทั่วไป แต่เป็น…ฝนอาคม!!
ไม่ว่าฝนเม็ดไหนก็ล้วนแฝงเร้นไว้ด้วยพลังน่าครั่นคร้ามราวกับว่าเป็นวิชาอภินิหารอย่างหนึ่ง และตอนนี้…น้ำฝนก็กระหน่ำเทลงมามากจนมิอาจนับได้หมด ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเหลือกลานราวกับจะถลนออกมานอกเบ้า ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังไร้ที่สิ้นสุดซึ่งซ่อนอยู่ในเม็ดฝน หัวใจของเขาก็ยิ่งสะเทือนสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง
“ร้าย…ร้ายกาจเกินไปแล้ว!!” ไม่ใช่แค่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตื่นตะลึง
แม้แต่พวกต้าเทียนซือเองก็ยังครั่นคร้ามไปกับพลังของเม็ดฝนพวกนี้ พลังนี้แข็งแกร่งมากกว่าพลังของลมก่อนหน้านี้มากมายหลายเท่านัก
เด็กหญิงเองก็ใจแกว่ง หน้าเปลี่ยนสีไปในบัดดล นางที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางเม็ดฝนนี้สัมผัสได้ถึงวิกฤตแห่งความเป็นความตายจึงถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่านางจะเร็วแค่ไหน ฝนที่ตกลงมาท่วมฟ้านี้ก็ทำให้นางไร้ที่ให้หลบเลี่ยงอยู่ดี!
ฝนแต่ละเม็ดที่ไม่ว่าจะตกลงไปที่ไหนบนพื้นดินก็ล้วนย้อนกลับมาใช้ความเร็วที่มากที่สุดตรงเข้าหาเด็กหญิง
มือทั้งคู่ของเด็กหญิงทำมุทราว่องไว สร้างม่านป้องกันขึ้นมาชั้นหนึ่งหมายจะสกัดกั้น ทว่าวินาทีนี้ เสียงดังกัมปนาทสะเทือนฟ้าได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ประหนึ่งเสียงลั่นกลองศึก ซึ่งนั่นคือเสียงที่เกิดจากการปะทะกันระหว่างเม็ดฝนและม่านป้องกัน!
เสียงนี้ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าจำนวนเม็ดฝนยิ่งเพิ่มมากขึ้น มาถึงท้ายที่สุด เม็ดฝนจากสี่ด้านแปดทิศพลันมารวมกันแล้วกลายมาเป็นม่านฝนที่กระแทกโจมตีเข้าใส่!
ก่อนที่พวกมันจะก่อตัวกันขึ้นเป็นไข่มุกน้ำขนาดใหญ่ยักษ์โอบล้อมอยู่รอบกายเด็กหญิง เมื่ออยู่ในไข่มุกเม็ดนี้ การป้องกันของเด็กหญิงจึงถูกกดทับให้เล็กลงและใกล้จะพังทลายเต็มที นี่ทำให้เด็กหญิงหน้าเปลี่ยนสี ขณะเดียวกันเมื่อได้รับการผสานรวมจากเม็ดฝน ขนาดของไข่มุกน้ำนี้ก็ยิ่งใหญ่มโหฬารมากขึ้นเรื่อยๆ!!
ร้อยจั้ง พันจั้ง ห้าพันจั้ง…
มองไกลๆ ม่านเม็ดฝนปานประหนึ่งการล้อมโจมตี ยิ่งขนาดใหญ่เท่าไหร่ พลังน่ากลัวที่แฝงเร้นไว้ภายในก็ยิ่งระเบิดออกอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ทำให้การป้องกันของเด็กหญิงเกิดรอยปริแตกมากขึ้นเรื่อยๆ
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น เขาจ้องมองไปตาไม่กะพริบ เสียงตูมตามอื้ออึ้งดังออกมาจากในไข่มุกน้ำ ม่านแสงการป้องกันของเด็กหญิงพลันแตกสลาย ทว่าขณะที่ใจของทุกคนบังเกิดความฮึกเหิมนั้น จู่ๆ ใบหน้าของเด็กหญิงก็บิดเบี้ยวแล้วหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะกลายมาเป็น…
กระบี่เล่มหนึ่ง!!!
กระบี่เล่มนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเก่าแก่ ทั้งยังมีสนิมเกาะบนตัวกระบี่ มองดูแล้วไม่สะดุดตา ทว่าชั่วขณะที่ปรากฏตัวออกมากลับทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน ไข่มุกน้ำที่พองขยายอย่างต่อเนื่องก็เกิดคลื่นกระเพื่อมไม่มั่นคง
คนอื่นอาจไม่รู้จักกระบี่เล่มนี้ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ได้เห็นก็เบิกตากว้าง ร้องอุทานเสียงหลง
“กระบี่อุกกาบาต!!”
กระบี่เล่มนี้ก็คือกระบี่ขนาดใหญ่โตมโหฬารเกินจะเปรียบ…ซึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า แล้วมาปักคาอยู่ในเขตแม่น้ำตอนล่างสายตะวันออกของเขตทงเทียน…เมื่อครั้งป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างฐานรากวิถีฟ้าได้สำเร็จ!!
และก็เป็นสถานที่แรกที่เด็กหญิงปรากฏตัว!!
ต่อให้กระบี่เล่มนี้จะมีขนาดเล็กกว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังจำได้เพียงแค่มองปราดเดียว และแทบจะขณะเดียวกันกับที่เสียงของเขาดังออกมานั้น กระบี่อุกกาบาตที่เด็กหญิงจำแลงมาก็พลันหมุนคว้าง แล้วฟาดฟันลงไปยังไข่มุกน้ำที่เนื่องจากม่านแสงการปกป้องของนางแหลกสลายก็ตรงเข้ามากดทับจากสี่ทิศอย่างแรงทันที!
การตวัดฟันครั้งนี้ทำให้นภากาศเกิดเสียงอึกทึกกึกก้อง ก่อนที่ระหว่างฟ้าดินจะมีกระบี่ยักษ์ที่รูปร่างเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนจำแลงออกมา กระบี่เล่มนี้ใหญ่มาก ลำพังเพียงแค่ตัวกระบี่ก็สูงเทียบเท่าท้องฟ้า ทั้งยังมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ทำให้ทุกคนมองเห็นรูปลักษณะทั้งหมดของมันได้ไม่ชัดเจน สิ่งที่เห็นมีเพียงคมกระบี่ซึ่งเข้ามาแทนที่นภากาศและตวัดจากท้องฟ้าเข้าฟาดฟันไข่มุกน้ำ!!
เสียงตูมดังสนั่นพร้อมไข่มุกน้ำที่แตกกระจาย เม็ดฝนทั้งหมดที่อยู่ในม่านฝนระเบิดออกเป็นชั้นๆ พริบตาเดียวทั้งฟ้าดินก็อบอวลไปด้วยไอน้ำ ส่วนเด็กหญิงก็เหมือนว่าจะอ่อนแอลงไปไม่น้อย แม้แต่ตัวกระบี่อุกกาบาตที่นางจำแลงออกมาก็ยังยืนหยัดไม่ได้อีกต่อไป ท่ามกลางไอน้ำที่แผ่ฟุ้งตลบอบอวล นางก็ย้อนกลับมามีสภาพเดิมแล้วกรีดเสียงร้องแหลมบาดแก้วหู
“คนเฝ้าสุสาน ตัวข้าคือวิญญาณที่มิดับสลาย เจ้าสังหารข้าไม่ได้ ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะกลืนกินเจ้าแล้ว!!” จบคำพูดของนาง ทุกคนก็พากันหน้าเปลี่ยนสี ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ หมายจะถอยหลังออกไป ทว่าไอน้ำที่ตลบอบอวลไปทั่วฟ้าดินกลับกลิ้งซัดหลุนๆ เหมือนถูกเด็กหญิงแย่งอำนาจการควบคุม ไอน้ำทั้งหมดจึงมารวมกันอยู่ที่ตัวของนาง
ไอน้ำประหนึ่งมหาสมุทรมาไหลมารวมตัวกัน เขย่าคลอนจิตใจผู้คน อีกทั้งความเร็วยังมากถึงขีดสุด พริบตาเดียวไอน้ำก็มารวมกันแล้วกลายมาเป็นศีรษะผีขนาดมหึมา!
ศีรษะผีนี้มีสีหน้าดุร้าย บนหัวมีเขางอกออกมา แม้จะอยู่ในลักษณะของไอน้ำ ทว่ากลับสมจริงเหมือนมีชีวิตอย่างยิ่ง และหากมองอย่างละเอียดจะพอเห็นได้ว่าศีรษะผีนั้นหน้าตาคล้ายคลึงกับเด็กหญิง ระดับความใหญ่โตของมันพอๆ กับกระบี่ใหญ่ที่เข้ามาแทนที่ท้องฟ้า เมื่อเทียบกับพระอาทิตย์ลูกกลมโตแล้วก็ยังน่าตะลึงยิ่งกว่า และทันใดนั้นศีรษะผีที่หันหน้าเข้าหาฟ้าดินก็พลันออกแรงสูดอย่างแรง!!
การสูดครั้งนี้ทำให้ท้องฟ้าบิดเบือน แผ่นดินบูดเบี้ยว ราวกับว่าโลกทั้งใบจะถูกดูดเข้าไปในปากของศีรษะผีใหญ่ยักษ์ แม้แต่ร่างกายของทุกคนที่อยู่รอบด้านก็เหมือนจะถูกดูดเข้าไปด้วยอย่างมิอาจควบคุมได้ ภาพนี้ทำให้สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนว่างเปล่าขาวโพลนไปอย่างสิ้นเชิง
ต่อให้เป็นพวกต้าเทียนซือก็ยังตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง พวกเขาหายใจถี่รัว ตะลึงพรึงเพริดสุดขีด
ทว่าคนเฝ้าสุสานกลับทำเพียงส่ายศีรษะแล้วพึมพำด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน
“ยังไม่ออกมาอีกหรือ…” มือขวาของคนเฝ้าสุสานทำมุทราแล้วชี้ไปอีกครั้ง
“สายฟ้า!”
ยังคงเป็นคำๆ เดียว วินาทีที่ดังออกมา ท้องฟ้าที่กำลังบิดเบือนก็มีสายฟ้าสีแดงฉานเส้นหนึ่งแลบปลาบ สายฟ้านี้เพิ่งจะปรากฏก็ตามมาด้วยเส้นที่สอง…
พริบตาเดียวสายฟ้าเส้นที่สาม เส้นที่หนึ่งร้อย เส้นที่หนึ่งหมื่น…ก็แลบปลาบแน่นขนัดไปทั่วทั้งนภากาศ จำนวนของมันเหมือนกับเม็ดฝนที่มิอาจนับได้หมด สาดสะท้อนให้โลกทั้งใบกลายเป็นสีชาดแดงฉาน!!
ตูมๆๆๆ!! สายฟ้าสีชาดจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นตรงดิ่งเข้าหาหมอกผีของเด็กหญิง ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองไปก็เห็นว่าถึงแม้สายฟ้านี้จะมีจำนวนมากมหาศาล ทว่ากลับยังคงมองเห็นได้รำไรว่าพวกมันเหมือนจะรวมตัวกันขึ้นมาเป็นฝ่ามือสายฟ้าขนาดใหญ่ยักษ์ที่ปกคลุมท้องฟ้าเอาไว้ ก่อนที่มือนั้นจะ…เอื้อมคว้าไปโจมตียังศีรษะผี!