บทที่ 861 แผ่นหลังของคนที่กำลังนั่งหวีผม
และชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น บนโต๊ะว่างเปล่าที่เดิมทีเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะหนาเป็นชั้น จู่ๆ กลับมี…ร่างของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฎขึ้น!
นั่นคือหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมกระโปรงยาวสีแดง หญิงสาวผู้นี้นั่งหันหลังให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน นางมีเส้นผมสีดำยาวสลวย เวลานี้มือข้างหนึ่งของนางกำลังยกขึ้นถือหวีมานั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกพลางร้องเพลงไปด้วย…
ดูจากด้านหลัง หญิงสาวคนนี้กลับมี…แขนเพียงข้างเดียว!!
การปรากฏตัวของนางทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเย็นเยียบราวฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บ ไอเย็นน่าตกใจขุมหนึ่งพลันแผ่ไปรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบยกมือขึ้นอุดปาก กลัวว่าตัวเองจะกรีดร้องออกมาจนเป็นการรบกวนอารมณ์สุนทรีของหญิงสาวที่กำลังร้องเพลง…
ความหวาดกลัวของป๋ายเสี่ยวฉุนไต่ไปถึงขีดสูงสุดแล้ว เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ไม่ใช่คนที่ตัวเองจะเอาชนะได้ ความกดดันที่อีกฝ่ายมอบให้เขาเป็นราวกับยอดเขาใหญ่ค้ำฟ้าที่กดทับลงมาบนร่าง
ครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะหลั่งน้ำตาแล้วจริงๆ เขารู้สึกเพียงว่าเหตุใดตลอดชีวิตของตนจะต้องพบเจอกับเรื่องราวพิลึกพิลั่นเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งด้วย
ยามนี้ร่างของเขาสั่นเทา ก้าวถอยหลังไปอย่างระมัดระวังหมายจะหาประตูใหญ่ของห้องนี้ แต่หาทั่วแล้วหนึ่งรอบกลับค้นพบด้วยความสิ้นหวังว่าห้องบัดซบนี่ดันไม่มีประตู
“จะทำยังไงดี ทีนี้ข้าควรจะทำยังไงดี!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคร่ำครวญอยู่ในใจด้วยความร้อนรน ทันใดนั้นหญิงสาวที่กำลังส่องกระจกหวีผมพลางร้องเพลงซึ่งนั่งหันหลังให้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คล้ายจะสัมผัสได้ว่ามีป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในห้องด้วย มือที่กำลังหวีผมของนางจึงพลันหยุดชะงัก แม้แต่เสียงเพลงก็หายไปด้วย
เหตุการณ์นี้ทำให้หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวเร็วจนแทบกระดอนออกมาจากหน้าอก สีหน้าเขาเหยเกเต็มที จำต้องรีบพูดรัวเร็ว
“ผู้อาวุโสอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวน…ข้าเองก็เป็นคนมีฐานะเหมือนกัน ลูกศิษย์ของข้าเป็นถึงจักรพรรดิหมิง ใช่แล้ว คนเฝ้าสุสานท่านรู้จักไหม เขาเป็นคนให้ข้ามาที่นี่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจาวกวนปนกันให้มั่วไปหมด นั่นเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้สร้างความกดดันให้เขาอย่างมหาศาล แถมยังเหนือกว่าเมื่อครั้งที่เจอกับเทียนจุนด้วยซ้ำ
“ข้าเองก็ไม่อยากมาเหมือนกัน ท่านไม่ต้องสนใจข้า ท่าน…ท่านร้องเพลงของท่านไปเถอะ เพลงเพราะมากเลย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวว่าคำอธิบายของตัวเองจะไม่ชัดเจนมากพอจึงรีบพูดเสริมไปอีกหนึ่งประโยค
ทว่าวินาทีที่เขาเปล่งคำพูดออกมา ลำคอของหญิงสาวที่กำลังหวีผมและร้องเพลงกลับขยับเบาๆ แล้วหันขวับกลับมาพร้อมเสียงกรีดร้องของป๋ายเสี่ยวฉุน!
พริบตานั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เห็นโฉมหน้าของหญิงสาวคนนี้…บนใบหน้าของนางไม่มีจมูก ไม่มีดวงตา ไม่มีปาก ไม่มีอวัยวะใดๆ !!
สิ่งที่เห็น มีเพียงความว่างเปล่า!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกถึงเพียงแรงระเบิดในสมองของตัวเอง ปากเขากรีดร้อง ร่างก็ถอยกรูดไปอย่างว่องไว ทว่าวินาทีที่เขาถอยหนีไปนั้นเอง ป้ายคำสั่งที่คนเฝ้าสุสานมอบให้ซึ่งเขาเก็บไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลากลับส่องประกายแสงสีดำ พอแสงนี้วูบไหวหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเพียงว่าดวงตาพร่าลาย เบื้องหน้าพร่าเลือน
และท่ามกลางการพร่าเลือนนั้น ร่างของเขาก็หายวับไปจากในห้องลับของเรือ!
แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาหายตัวไป ในห้องลับ ความว่างเปล่ารอบด้านจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่นี้พลันมีเส้นผมจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะลุทะลวงเข้ามา
พริบตาเดียวเส้นผมเหล่านั้นก็ร้อยรัดตัดสลับกันตรงจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่นี้อย่างรวดเร็วจนก่อเกิดเป็นเสียงแหวกอากาศ ทั้งยังมีเสียงความว่างเปล่าที่ระเบิดครืนครั่น
เส้นผมพวกนี้ประหลาดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเส้นไหนก็ล้วนแผ่คลื่นที่เหนือเกินกว่าพลังของคนฟ้า
สามารถจินตนการได้ว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนยังยืนอยู่ที่เดิม ถ้าเช่นนั้นเวลานี้เขาคงต้องแหลกสลายไปทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแล้ว!
ผ่านไปเนิ่นนาน เส้นผมเหล่านั้นถึงได้ค่อยๆ เลื้อยขยุกขยิกหดกลับไป ก่อนจะหายวับไปท่ามกลางความว่างเปล่าอีกครั้ง ส่วนหญิงสาวไร้ใบหน้าที่หันหน้ามาจากโต๊ะเครื่องแป้งก็ค่อยๆ หันกลับไป ใบหน้าที่ไร้ดวงตาหันเข้าหากระจกที่แตกร้าว มือที่ถือหวีค่อยๆ ยกขึ้นอีกครั้งแล้วหวีผมต่อไป ขณะเดียวกันเสียงเพลง…ก็ดังก้องไปรอบด้านอีกครา
และเวลานี้ในเขตต้องห้ามแห่งชีวิต จุดที่ขยับเข้าไปใกล้กับแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออก ห่างจากเขตแม่น้ำตอนปลายไปแค่ระยะเดินทางหนึ่งถึงสองวัน ความว่างเปล่าท่ามกลางทะเลกระดูกขาวโพลนพลันบิดเบือน ก่อนที่เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจะโผล่พรวดออกมา
เพิ่งจะปรากฏตัว ดวงตาของเขายังฉายแววเลื่อนลอย แต่ไม่นานก็ฟื้นคืนสติ เขาสูดลมหายใจดังเฮือกแล้วหันขวับกลับไปมองด้านหลัง เห็นเพียงว่าตัวเองออกมาจากเรือลำนั้นและปรากฏตัวอยู่บนทะเลกระดูกแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนงุนงงเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา เป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งเท่านั้น
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้ชัดเจนดีว่านั่นไม่ใช่ภาพลวงตา เรือผีก็ดี หญิงสาวไร้ใบหน้าที่กำลังหวีผมก็ช่าง ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความจริง คิดมาถึงตรงนี้เขาก็อดรู้สึกโชคดีที่รอดชีวิตมาได้
“ท่านปู่คนเฝ้าสุสานไม่ได้หลอกข้าจริงๆ ด้วย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำป้ายคำสั่งไว้ในมือแน่น ย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ เขาก็ค้นพบด้วยความหวาดผวาไม่คลายว่าหากไม่มีป้ายคำสั่ง เกรงว่าเวลานี้ตนคงซี้แหงแก๋ไปแล้ว
“เขตต้องห้ามแห่งชีวิตนี่ชั่วร้ายเกินไปแล้ว ผีผู้หญิงเมื่อครู่นี้คือตัวอะไรกันแน่!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งสยองขวัญ ก่อนจะรีบตบถุงเก็บของปล่อยซ่งเชวียและ
เสินซ่วนจื่อออกมา คนทั้งสองปรากฏตัวด้วยสีหน้าที่ทึ่มทื่อเล็กน้อย อาจเป็นเพราะออกมาจากเรือลำนั้นแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะเลื่อนลอยนานนัก ไม่นานก็เริ่มฟื้นคืนสติ ทว่าพอคืนสติมาแล้ว พวกเขากลับมีท่าทางมึนงงอีกครั้ง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? พวกเราออกมาแล้วหรือ? ดูเหมือนว่าข้าจะลืมเรื่องอะไรไปบางอย่าง…” ซ่งเชวียอึ้งงัน รู้สึกปวดหัวอย่างมาก เขานวดคลึงหว่างคิ้วที่ขมวดกันเป็นปม
“ข้าแค่จำได้ว่าตัวเองอยู่บนดาดฟ้าเรือ แล้วก็เหมือนไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงลงไปชั้นล่าง…หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีก” เสินซ่วนจื่อเองก็มึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คนทั้งสองจะหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาคลางแคลงใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อที่อยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจยาวเหยียด ครั้นจึงเล่าเรื่องภายหลังทั้งหมดที่พวกเขาสามคนประสบพบเจอในเรือให้อีกสองคนฟัง พอได้ยินเขาเล่าให้ฟัง ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อต่างก็เบิกตากว้าง สูดลมหายใจดังเฮือกอย่างห้ามไม่ได้
พวกเขาฟังออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้พูดปด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริง แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อมากอยู่ดี
“ข้าเข้าไปเป็นคนแรก?” ซ่งเชวียรู้สึกเพียงว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไป เสินซ่วนจื่อที่อยู่ข้างกันก็ตัวสั่นเทิ้ม
ตอนที่ได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนดึงรั้งตัวเองตอนอยู่ชั้นหนึ่ง แต่กลับเห็นว่าใบหน้าของตนถูกแทนที่ไว้ด้วยใบหน้าผีดุร้ายนั่น เขาก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งสันหลัง
“หากไม่เป็นเพราะข้า ตอนนี้พวกเจ้าคงยังอยู่ในเรือลำนั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงในลำคอ คิดจะใช้โอกาสนี้มาสั่งสอนคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้า แต่พอคิดว่าตอนนี้พวกเขาสามคนยังคงอยู่ในเขตต้องห้ามแห่งชีวิต ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบล้มเลิกความคิดนั้นแล้วรีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า
“ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน สถานที่บัดซบแห่งนี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดแล้วหัวใจก็เต้นรัวเร็วขึ้นมาอีกครั้ง เขารีบห้อตะบึงไปข้างหน้า ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อเองก็ยิ่งคิดยิ่งหวาดผวาจึงตามหลังไปติดๆ
คนทั้งสามบินทะยานไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วเช่นนี้ทำให้พวกเขาขยับไปใกล้ชายเขตของเขตต้องห้ามแห่งชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ กระดูกที่อยู่บนพื้นก็เริ่มเบาบางลง ตามการวิเคราะห์ของป๋ายเสี่ยวฉุน คาดว่าจะไปจากที่นี่ได้คงใช้เวลาอีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น!
“ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราอยู่บนเรือได้เดินทางมาไกลขนาดนี้เชียวหรือ?”
เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มค้นพบแล้วว่าทั้งๆ ที่ช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่บนเรือไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เรือลำนั้นกลับพาพวกเขาเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้ อีกทั้งหากคิดคำนวณตามความเร็วเช่นนี้ เกรงว่าเมื่ออยู่บนเรือลำนั้น ไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันก็สามารถโผล่พ้นออกไปจากเขตต้องห้ามแห่งชีวิตได้แน่นอน
เวลาเดียวกับที่พวกป๋ายเสี่ยวฉุนบินทะยานอยู่ในเขตต้องห้ามแห่งชีวิตด้วยความรวดเร็วที่ไม่ลดน้อยลง ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกกลับมีสงครามที่เขย่าคลอนแปดทิศปะทุขึ้น!
สงครามครั้งนี้คือการที่สามสำนักใหญ่ของแม่น้ำตอนกลางร่วมมือกันกลายมาเป็นกองกำลังที่สำนักสยบธารมิอาจต้านทาน เป็นสงครามที่จะนำพาไปสู่การ…ดับทำลายสำนัก!!
ท่ามกลางเสียงอึกทึกที่ระเบิดขึ้นโดยรอบบริเวณของสำนักสยบธาร
เมื่อทอดสายตามองไปจะเห็นได้ว่าแสงค่ายกลเหนือสำนักสยบธารกำลังส่องประกายพร่างพราว นั่นคือค่ายกลที่เกิดจากพลังของต้นไม้มะเดื่อฟ้าซึ่งพยายามต้านทานเวทคาถาจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งมาจากแปดทิศอย่างเต็มกำลัง และเห็นได้ชัดว่าค่ายกลนี้คงมิอาจต้านทานไว้ได้นานนัก เวลานี้มันกำลังบิดเบือนไม่หยุดคล้ายสามารถระเบิดออกได้ทุกเมื่อ!
นอกค่ายกล เวลานี้มีพระอาทิตย์สองดวง หนึ่งดำหนึ่งขาวที่กำลังส่องแสงขาวดำ ทั้งยังมีเงาร่างของหุ่นไล่กาที่พุ่งแฉลบวูบวาบไม่หยุดอยู่กับที่ มันร่วมมือกับลูกศิษย์จำนวนมากของสำนักสยบธาร ใช้ค่ายกลเป็นจุดศูนย์กลางในการเปิดฉากสังหารดุเดือดกับศัตรูตัวฉกาจนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบด้าน!
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือฝ่ายที่ตกเป็นรอง บริเวณรอบค่ายกลมีนักพรตนับแสนคนโอบล้อมอยู่ นักพรตนับแสนนี้แบ่งออกเป็นสามกองทัพ ซึ่งแต่ละกองทัพต่างก็ลงมือเล่นงานสำนักสยบธาร อีกทั้งด้านหลังของทั้งสามกองทัพยังมีกองกำลังที่น่าครั่นคร้ามเป็นของตัวเอง กองกำลังทั้งสามราวกับว่าต้องการเข้ามาแทนที่ปณิธานแห่งฟ้า หมายกำราบสำนักสยบธารให้ยอมศิโรราบ
นั่นคือคลื่นของคนฟ้าช่วงต้น แม้ว่าจะเป็นคนฟ้าวิถีมนุษย์ เทียบกับสตรีธุลีแดงแล้วนับว่าต่างกันมากมายหลายเท่าตัว ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่คิดจะแยแส ทว่าสำหรับสำนักสยบธารแล้ว พวกเขากลับยังคงเป็นเหมือนภูเขาใหญ่ยักษ์ที่ยากจะข้ามผ่านไปได้