บทที่ 862 ลมฟ้าลมฝนพัดกระหน่ำ
ในค่ายกลของสำนักสยบธาร ลูกศิษย์สายสำนักธาราโลหิตจำนวนมากได้พากันเข้าไปในเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิต พวกเขาโคจรตบะตลอดทั้งร่าง ทั้งยังมีบุรพาจารย์สำนักธาราโลหิตนั่งบัญชาการณ์ เตรียมพร้อมที่จะบังคับบรรพบุรุษโลหิตให้ออกรบได้ตลอดเวลา!
ตรงศีรษะของบรรพบุรุษโลหิตมีกระต่ายตัวหนึ่งกำลังนอนหมอบอยู่ตรงนั้น ดวงตาที่แดงก่ำของมันจ้องเขม็งไปยังคลื่นพลังคนฟ้าที่พวยพุ่งสู่ท้องนภาเบื้องหลังกองทัพของสามสำนักใหญ่นอกค่ายกล
ลูกศิษย์ของสายธาราเทพลงมือไม่เหมือนกับอีกสามฝ่ายที่เหลือ ยามนี้พวกเขาแยกตามสายจับกลุ่มรวมตัวกันขึ้นเป็นยักษ์ค่ายกล ในมือโบกตวัดกระบี่เล่มยักษ์คอยประหัตประหารศัตรูอยู่นอกค่ายกล
ส่วนสายธาราโอสถนั้นทำหน้าที่ให้การช่วยเหลือเป็นหลัก พวกเขาคอยเดินอยู่ด้านในและด้านนอกค่ายกล คอยเปลี่ยนตัวกับลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตอยู่เป็นระยะ ส่วนสายสุดท้ายอย่างธาราทมิฬ ภารกิจของพวกเขาก็คือพยายามควบคุมค่ายกลต้นไม้มะเดื่อฟ้าให้ยืนหยัดนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในกลุ่มผู้คน เนื่องจากได้รับทรัพยากรจากสำนักสยบธาร ตบะของซ่งจวินหว่านจึงเลื่อนมาถึงรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ เวลานี้เส้นผมของนางยุ่งเหยิง มุมปากมีคราบเลือดติดกรัง สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างมาก หากไม่เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเซวี่ยเหมย เกรงว่าอาการบาดเจ็บของนางคงจะหนักกว่านี้ อีกทั้งเวลานี้ข้างกายของนางยังมีคนสิบกว่าคนให้การคุ้มกัน ช่วยให้นางหนีจากนอกค่ายกลกลับเข้าไปข้างใน เท้าเพิ่งจะก้าวย่างเข้าไปในค่ายกลก็มีลูกศิษย์หลายคนปรี่ขึ้นหน้ามาประคอง
“คนของสายธาราโอสถรีบช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับอาจารย์อาซ่ง!! เร็วเข้า!!”
“ไม่ต้องสนใจข้า รีบไปช่วยเซวี่ยเหมย!” ซ่งจวินหว่านโบกมือ ดวงตาอวลไปด้วยปราณดุร้าย นางไม่ให้ใครช่วยเหลือ แต่มานั่งทำสมาธิอยู่บนใบไม้ใบหนึ่งของต้นไม้มะเดื่อฟ้าเพียงลำพัง พยายามรีบรักษาอาการบาดเจ็บ ขณะเดียวกันก็คอยสังเกตสถานการณ์รอบด้านอย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้ดวงตาของนางเริ่มหม่นมัวและสิ้นหวัง
นางมองเห็นว่าในสนามรบ หนึ่งในบุรพาจารย์ของสำนักธาราโลหิตอย่างอู๋จี๋จื่อมีแสงสีเลือดโอบล้อมไปทั่วร่าง ก่อนที่แสงนั้นจะจำแลงมาเป็นกระบี่โลหิตเล่มหนึ่ง ทุกที่ที่ผ่าน สรรพสิ่งพังราบเป็นหน้ากลอง แต่ไม่นานอู๋จี๋จื่อบุรพาจารย์ผู้แข็งแกร่งของสำนักสยบธารรุ่นนี้ลับถูกบุรพาจารย์ก่อกำเนิดของอีกสามสำนักใหญ่และคนอีกมากมายล้อมโจมตี ตกอยู่ในอันตรายคับขัน!
ส่วนบุรพาจารย์ก่อกำเนิดคนอื่นๆ ของสำนักสยบธารที่เวลานี้นอกจากบุรพาจารย์สำนักธาราโลหิตและบุรพาจารย์สำนักธาราเทพที่ไม่อยู่แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็บุกทะลวงไปในสนามรบโดยที่แทบจะไม่ตกเป็นรอง ทว่านั่นก็เป็นเพราะค่ายกลที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ พอจะจินตนาการได้เลยว่าหากค่ายกลพังทลายลงมา นั่นก็เท่ากับมีภูเขาไท่ซานร่วงลงมากดทับ ทุกอย่างต้องถูกทำลายให้วอดวาย สำนักสยบธารตกอยู่ในวิกฤตอันตราย!
“เสี่ยวฉุน…ไม่รู้ว่าข้าจะยังยืนหยัดอยู่จนถึงวันที่ได้พบเจ้าอีกครั้งหรือไม่…”
ซ่งจวินหว่านถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ไม่ได้รักษาอาการบาดเจ็บนานนักก็ลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้ง ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งของยอดเขาจงเฟิงจากสายธาราโลหิต นางจำเป็นต้องออกไปบัญชาการณ์ด้วยตัวเอง ถึงจะทำให้กระบี่โลหิตเล่มใหญ่ยักษ์ของเขาจงเฟิงสำแดงอานุภาพสูงสุดได้ในสนามรบ!
ในสนามรบเวลานี้ อาวุธล้ำค่าของห้ายอดเขาจากสายธาราโลหิตก็ทยอยกันปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นศพขนาดใหญ่ยักษ์ หรือหัวปีศาจที่พากันบุกตะลุยอยู่ในสนามรบด้วยพลานุภาพแข็งแกร่งเกรียงไกร!
ยิ่งศพตนหนึ่งในนั้นที่น่าครั่นคร้ามอย่างถึงที่สุด ตลอดทั้งร่างของมันมีแต่ขนขึ้นเต็มพรืด ทุกที่ที่ผ่านก็ล้วนทำให้นักพรตของสามสำนักที่เหลือปวดหัวกันอย่างหนัก พลังกล้ามเนื้อของศพตนนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง อีกทั้งขนของมันยังสามารถควบคุมศพตนอื่นๆ ได้ พลังการต่อสู้ของมันแกร่งกร้าวถึงขีดสุด และข้างกายของมันยังมีหัวปีศาจอีกกลุ่มหนึ่งช่วยรบเคียงบ่าเคียงไหล่
เดิมทีหัวปีศาจเหล่านี้ไม่ได้มีสติปัญญาเท่าไหร่นัก ทว่าหัวปีศาจหนึ่งในนั้นกลับเชี่ยวชาญการอำพรางตัวเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันก็มีสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาจนถึงขั้นเป็นตัวนำให้หัวปีศาจทั้งหมดจัดกำลังวางค่ายกล ควบคุมสถานการณ์การสู้รบ
ส่วนทางฝ่ายสายธาราเทพที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกลับต่อสู้ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป สามารถมองเห็นว่ามียักษ์ค่ายกลตนแล้วคนเล่าที่บุกออกไปเข่นฆ่า เหี้ยมหาญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยักษ์ค่ายกลที่มีใบหน้าเป็นพวกซ่างกวานเทียนโย่วและเป่ยหันเลี่ยที่ยิ่งแกร่งกล้าดุดันเกินกว่าผู้ใด ทุกที่ที่ผ่านก็ราวกับเป็นพายุลูกหนึ่งที่พัดกวาดใบไม้ร่วงให้ปลิวคว้าง
และยังมีสัตว์วิเศษอีกหลายตัวที่ร้องคำรามอยู่บนสนามรบของฝั่งสายธาราเทพ พวกมันวิ่งตะบึงกวาดตะลุยอยู่ในสนามรบ หนึ่งในนั้นมีมังกรเฒ่าตัวหนึ่งที่เหี้ยมเกรียมอย่างยิ่ง รอบกายของมันมีหงส์ตัวหนึ่งบินวน มีกิ้งก่าหนึ่งตัวและเงาผีที่แผ่ทอดยาวอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
บางทีอาจเป็นเพราะพลังอำนาจของสายธาราเทพแข็งแกร่งเกินไป เป็นเหตุให้บุรพาจารย์ก่อกำเนิดสามคนที่มาจากสำนักธารมรรคาจำต้องพุ่งตัวเข้ามาว่องไวปานประหนึ่งกริชปลิดหัวคนสามเล่มที่คิดจะฉีกทึ้งโครงสร้างกองทัพของสำนักธาราเทพให้แหลกลาญ
ทว่าวินาทีที่พวกเขาเหยียบเข้าไปในพื้นที่ของสายธาราเทพนั้นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามสะเทือนท้องฟ้าดังขึ้นมาจากในค่ายกล
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น สัตว์ยักษ์น่าครั่นคร้ามตัวหนึ่งที่เรือนกายมีขนาดแค่ไม่กี่จั้ง แต่กลับมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของมันกำลังขยายมาเป็นหลายร้อยจั้งด้วยความเร็วที่เหนือเกินกว่าสายฟ้าแลบ มันเหยียบอยู่บนทะเลเพลิง เพิ่งจะปรากฏตัวก็มีคลื่นพลังขุมหนึ่งที่ใกล้เคียงกับคนฟ้าระเบิดออกมาจากบนร่าง
ทุกที่ที่ผ่าน นักพรตของสามสำนักหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล ส่วนนักพรตก่อกำเนิดสามคนที่เพิ่งจะสังหารคนของสายธาราเทพไปได้สามคนก็ยิ่งเบิกตากว้าง หอบหายใจดังเฮือก รีบถอยกรูดไปข้างหลัง แต่กลับช้าไปแล้ว ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง คนทั้งสามถูกสัตว์ยักษ์ตัวนั้นวิ่งกวดตามมาแล้วพุ่งชนเข้าอย่างจัง
เสียงกัมปนาทดังอึกทึก นักพรตก่อกำเนิดสามคนมีคนหนึ่งที่ร่างแตกทลายลงทันที ทารกก่อกำเนิดของเขาก็ยิ่งถูกสัตว์ยักษ์เขมือบกลืน ส่วนอีกสองคนที่เหลือ คนหนึ่งครึ่งร่างแหลกเละ หนีไปด้วยความเร็วสูงสุด ส่วนคนสุดท้ายนั้นกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง รีบเผ่นหนีไปพร้อมกับความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่เวลานี้เอง ทันใดนั้นมือยักษ์ข้างหนึ่ง ปราณกระบี่เส้นหนึ่ง และแสงสีดำเส้นหนึ่งกลับพวยพุ่งขึ้นมาจากกองทัพของสามสำนักใหญ่แล้วพุ่งดิ่งเข้าหาสัตว์ยักษ์ด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ!
เมื่อลงมือ ปณิธานแห่งคนฟ้าก็ตลบอบอวลไปทั่ว นั่นก็คือวิชาอภินิหารของคนฟ้า!
พริบตานั้นวิชาอภินิหารของคนฟ้ากระแทกตูมตามลงมาพร้อมกัน สัตว์ยักษ์หมุนตัวขวับ ความเร็วพลันระเบิดออก หลบพ้นมือยักษ์และแสงสีดำมาได้ ทว่ากลับยังคงถูกเสี้ยวของปราณกระบี่เฉือนผ่านร่างไป!
บนแผ่นหลังของมันเกิดเป็นรอยแผลเส้นหนึ่งที่เลือดไหลโชก เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้บนร่างของมันก็มีบาดแผลมากพอแล้ว ในบรรดานั้นมีไม่น้อยที่แผลสมานกลายมาเป็นรอยแผลเป็น แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เป็นแผลใหม่ซึ่งได้มาจากศึกนี้ และที่น่าตกใจที่สุดก็คือตรงลำคอของมันมีรอยกระบี่อยู่รอยหนึ่ง
แม้จะหายดีแล้ว ทว่ารอยแผลเป็นนั้นยาวมากจนกินพื้นที่เกือบห้าส่วนของลำคอมัน แล้วก็มองออกว่ารอยกระบี่นี้มาจากฝีมือของคนคนเดียวกับที่ร่ายปราณกระบี่เมื่อครู่!
พอจะจินตนาการได้ว่าหากกระบี่ที่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนลำคอของมันคมกริบกว่านั้นอีกสักนิดก็สามารถฟันลำคอของมันให้ขาดได้เลย!
ทว่าความเร็วของมันกลับเร็วมากกว่า พริบตาเดียวก็ย้อนกลับเข้าไปในค่ายกล ครั้นจึงย่อร่างกายให้เล็กลงจนกลายมามีลักษณะเป็นเหมือนกิเลนตัวหนึ่ง ดวงตากลมโตของมันมองดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู เท้าทั้งสี่ก็ยิ่งมีเปลวเพลิงสีดำรองรับอยู่ด้านใต้ มันก็คือ…เถี่ยตั้น!
เมื่อเถี่ยตั้นปรากฏตัว ดวงตาของบุรพาจารย์คนฟ้าสามท่านจากสามสำนักใหญ่ล้วนเป็นประกายวาววับ ทุกคนพร้อมใจกันมองไปที่มันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เป็นมันนั่นแหละ!”
“เหมือนอย่างที่สายลับบอกไว้จริงๆ ด้วย…”
“สัตว์ตัวนี้เกรงว่า…ใช้เวลาไม่ถึงหกสิบปีก็คงเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้าได้ด้วยตัวเอง มันคือ…มหาราชาแห่งสรรพสัตว์!!”
“น่าเสียดายที่ความเร็วของมันมากเกินไป แต่จะอย่างไรพวกเราก็ต้องเอาสัตว์ตัวนี้มาครองให้จงได้! หากมันไม่ยอมศิโรราบก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!”
ขณะที่ดวงตาของบุรพาจารย์คนฟ้าจากสามสำนักฉายแววละโมบ ในค่ายกลของสำนักสยบธาร เจิ้งหย่วนตงอดีตเจ้าสำนักของสายธาราเทพและเป็นผู้ดูแลสำนักสยบธารรุ่นนี้กำลังรีบรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเถี่ยตั้นด้วยใจที่เจ็บปวดสงสาร
“เถี่ยตั้น เจ้าไม่ต้องออกไปข้างนอกแล้วนะ สงครามครั้งนี้พวกเราได้แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น ชิงโหวก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าอีก เจ้าจะให้ข้าบอกกับเสี่ยวฉุนยังไง” เจิ้งหย่วนตงมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยแผลเป็นของเถี่ยตั้น ในใจก็ให้เวทนาถึงขีดสุด
เถี่ยตั้นไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองแม้แต่น้อย
ทว่าพอเจิ้งหย่วนตงพูดถึงหลี่ชิงโหวและป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของมันกลับสั่นสะท้าน ดวงตาฉายแววเจ็บปวด บนลำคอของมันเคยมีบาดแผลที่สาหัสรุนแรงที่สุด แผลนี้ได้มาก็เพราะช่วยหลี่ชิงโหว แต่น่าเสียดายที่มันไม่สามารถช่วยหลี่ชิงโหวไว้ได้ ได้แต่มองหลี่ชิงโหวถูกคนของสำนักธารมรรคาจับตัวไปคาตาของตัวเอง
และชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งทำให้ดวงตาของเถี่ยตั้นแดงก่ำ ในสมองมีความรู้สึกอ่อนโยนที่เคยได้รับและการย้อนทวนความจำลอยขึ้นมา แต่ไม่นานความทรงจำนั้นก็ถูกมันฝังไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ มันยังคงจำคำพูดก่อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะจากไปได้เป็นอย่างดี ป๋ายเสี่ยวฉุนบอกให้มันปกป้องสำนักสยบธาร!
ลมหายใจของมันเริ่มเปลี่ยนมาเป็นหอบหนัก มองไปยังคนของสามสำนักทั้งหมดที่อยู่นอกค่ายกลด้วยสายตาที่เป็นปรปักษ์ ยิ่งตอนที่มองเห็นเงาร่างทั้งสามซึ่งเต็มไปด้วยคลื่นของคนฟ้า ดวงตาของมันก็ฉายแววเคียดแค้น แต่ยิ่งมากด้วยความกริ่งเกรง
สงครามยังคงดำเนินต่อไป ระดับความรุนแรงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ราวกับว่าสงครามทำลายล้างครั้งนี้ได้ดำเนินมาถึงจุดที่มิอาจแก้ไขได้แล้ว ในจุดลึกของสำนักสยบธาร บนภูเขาลูกที่เก้าซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่า เวลานี้บุรพาจารย์สายธาราเทพมีสีหน้าขมขื่น เขารู้ดีว่าที่คนฟ้าจากสามสำนักยังไม่ได้ลงมือด้วยตัวเองทันทีก็เพราะหวั่นเกรงพลังรากฐานของสำนักสยบธาร ต้องรู้ว่าแม้ตอนนี้สำนักสยบธารของพวกเขาจะไม่มีคนฟ้า แต่หากสู้สุดชีวิตโดยการระเบิดพลังแฝงทั้งหมดออกมาก็ยังสามารถสังหารคนฟ้าช่วงต้นคนหนึ่งได้!
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการเผาผลาญพละกำลังทั้งหมดของสำนักสยบธารไปทีละนิด จนกระทั่งอีกฝ่ายคิดว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นแล้วถึงจะลงมือกวาดล้างพวกเขาอย่างโหดเหี้ยมทารุณ!
“อาจารย์ ท่านว่าปาฏิหาริย์…จะเกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่?” บุรพาจารย์ธาราเทพกล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง เมื่อคำพูดของเขาดังจบ ด้านหลังของเขาก็มีลิงตัวหนึ่งเดินออกมา มันเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองไปยังทิศไกล จุดลึกในดวงตาฉายความลึกล้ำและสติปัญญาที่เฉียบคม
“แน่นอน!”