Skip to content

A Will Eternal 926

บทที่ 926 สถานที่แห่งอันตราย

นักพรตของสายตะวันตก ใต้ และเหนือรวมกันแล้วก็เจ็ดแปดร้อยคน และยังมีองค์รักษ์ของเกาะทงเทียนอีกหลายร้อยซึ่งเวลานี้คนส่วนใหญ่ต่างก็บินตรงดิ่งไปยังประตูหิน

ทุกคนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเองก็มองหน้ากันไปมา ก่อนจะพากันสูดลมหายเข้าลึกแล้วบินไปยังประตูหิน จางต้าพั่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นจึงหันมาพยักหน้าให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วบินออกไปเช่นคนอื่นๆ

เมื่อเห็นว่าพวกซ่งเชวีย จ้าวเทียนเจียว ป๋ายหลินต่างก็พุ่งตัวเข้าไปในประตูหิน ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว ขยับร่างตรงดิ่งไปที่นั่น ทว่าชั่วขณะที่เขาเตรียมจะย่างเท้าเข้าไปในประตูหินนั้นเอง คนเจ็ดแปดคนที่เป็นองค์รักษ์ของเกาะทงเทียนก็พากันมาถึงในเวลาเดียวกัน

ในเจ็ดแปดคนนี้มีโหวเสี่ยวเม่ยอยู่ด้วย

“พี่เสี่ยวฉุน พี่ต้องสู้ๆ นะ” โหวเสี่ยวเม่ยเอ่ยกระซิบพร้อมยิ้มตาหยี นางเดินเข้าประตูหินมาพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเองก็สังเกตเห็นแล้วว่าโหวเสี่ยวเม่ยอยู่ในกลุ่มขององค์รักษ์ แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะเข้าไปในพื้นที่การประลองครั้งนี้ด้วย

เพราะตบะของโหวเสี่ยวเม่ยก็แค่รวมโอสถ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองว่าการเข้าไปในพื้นที่การประลองนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก

“เจ้ามาได้ยังไง เดี๋ยวพอเข้าไปแล้วตามติดมากับข้านะ ข้างในต้องอันตรายมากแน่นอน” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกร้อนใจเล็กน้อยจึงรีบพูดสั่งความเร็วๆ

“ได้สิ มีพี่เสี่ยวฉุนปกป้องข้า ถ้าแบบนั้นก็ดีมากๆ เลยล่ะ” โหวเสี่ยวเม่ยกะพริบตาปริบๆ พลางปิดปากหัวเราะ เดิมทีนี่คือประโยคที่ธรรมดามาก

ทว่าพอป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้าไปใกล้โหวเสี่ยวเม่ยกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาสัมผัสได้ว่าบนร่างของโหวเสี่ยวเม่ยมีปราณเย็นอึมครึมบางอย่างที่ทำให้เขาครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ

ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาได้พิจารณาอย่างละเอียด

เพราะพอก้าวเท้าเข้าไปในประตูหิน ไอความเย็นของประตูหินก็แผ่ขยายออกมาเป็นวงกว้างทันที ซึ่งมันชะล้างปราณน่าสะพรึงกลัวบนร่างของโหวเสี่ยวเม่ยตามความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุนให้เจือจางลงไป จนเขาแยกแยะไม่ถูกว่าไอความเย็นวังเวงนี้แผ่ออกมาจากร่างของโหวเสี่ยวเม่ยหรือเกิดจากประตูหินกันแน่ ทว่าในใจของเขากลับเกิดความระแวงขึ้นมาแล้ว

และแปดทิศรอบด้านก็ยิ่งมีแต่ความพร่าเลือน ทั้งยังมีพลังนำส่งที่น่าตะลึงขุมหนึ่งโคจรอย่างว่องไว ไม่ให้เวลาคนได้ปรับตัว ค่ายกลนำส่งในประตูหินนี้ก็โคจรโดยตรง ชั่วขณะนั้นเสียงครืนๆ พลันดังสะเทือนแก้วหู ราวกับมีเสียงฟ้าร้องมาระเบิดอยู่ข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุนและทุกคนที่อยู่รอบกายเขา

ตามหลังเสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดินคือความรู้สึกเหมือนร่างกายถูกฉีกกระชากอย่างรุนแรงซึ่งถูกส่งออกมาจากในความว่างเปล่ารอบด้าน ราวกับว่ามีทั้งแรงดึงดูดและแรงกระชากรั้งระเบิดออกในเวลาเดียวกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เบื้องหน้าพลันพร่าลาย

อีกทั้งดูเหมือนว่าแรงนำส่งนี้จะแข็งแกร่งเกินไป เป็นเหตุให้ความรู้สึกเหมือนร่างถูกฉีกทึ้งดำรงอยู่นานหลายสิบลมหายใจกว่าจะค่อยๆ จางหายไป และเมื่อมันหายไปหมดอย่างสิ้นเชิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเพียงว่ามีพลังขุมใหญ่ที่กระแทกลงมาบนร่างของตน พริบตานั้นเขาก็เหมือนคนที่ถูกผลักออกมา ฟ้าดินพลิกคว่ำคะมำหงาย เบื้องหน้าพร่าลายอีกครั้ง…

พอมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง ร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่ใน…โลกที่แปลกหน้าสำหรับเขาอย่างสิ้นเชิง!

ที่นี่คือทะเลทรายผืนหนึ่ง มองไปไกลๆ ก็เห็นว่ามีพายุทรายพัดโหมอยู่เต็มท้องฟ้า ซึ่งมันได้ก่อตัวกลายมาเป็นมหาสมุทรแห่งทรายผืนใหญ่ที่กำลังหมุนคว้างเข้ามาหาตน ดูเหมือนว่าพายุทรายนี้จะมีพลังที่น่าสะทกสะท้าน ทุกที่ที่มันพัดผ่าน เนินทรายทั้งหมดที่อยู่ในทะเลทรายก็ล้วนพังราบเป็นหน้ากลอง!

และที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงมากกว่าเดิมก็คือด้านในพายุทรายที่หมุนคว้างเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วนี้กลับมีเงาร่างหนึ่งที่ถูกพัดหอบเข้าไป หน้าตาของคนผู้นี้ถูกพายุทรายกลบทับจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ดูจากอาภรณ์ที่เขาสวมใส่ก็น่าจะเป็นนักพรตของสำนักมังกรเหินสมุทรผี และเวลานี้เขาก็กำลังกรีดร้องเสียงโหยหวน

สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของเขาที่อยู่ในพายุทรายถูกฉีกกระชากจนขาดออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วระเบิดดังตูม เลือดสดสาดกระจาย อาบย้อมพื้นดินขอบเขตเล็กๆ ของพายุทรายให้กลายเป็นสีแดงฉาน ทว่าชั่วพริบตาเดียวสีเลือดพวกนี้ก็ถูกลบทิ้งไป เสียงอึกทึกและพายุทรายยังคงอยู่ ซึ่งเวลานี้มันอยู่ห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ถึงร้อยจั้งแล้ว

พายุลูกนี้โหมกระหน่ำบ้าคลั่งอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจดังเฮือก หัวใจสั่นรัวน้อยๆ และตอนนี้พื้นที่รอบด้านที่มีแต่ทรายสีเหลืองสุดลูกหูลูกตา นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็ไม่มีคนอื่นอยู่อีก

ท้องฟ้าของที่นี่เป็นสีม่วง ทว่าแสงสีม่วงนี้ประหลาดตายิ่งนัก

เพราะเมื่อมันสาดส่องลงบนพื้นดินกลับไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นของทุกคน ทำให้ยังคงมองเห็นภาพทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ทันคิดให้มากความ หลังจากที่มองเห็นภาพเหตุการณ์โดยรอบแล้วเขาก็รีบถอยกรูดออกห่างไปข้างหลังทันที

เพิ่งจะก้าวถอย เขาก็สัมผัสได้ว่าร่างทั้งร่างเจ็บปลาบ

ทว่าความเจ็บปวดนี้ดำรงอยู่แค่ไม่กี่อึดใจก็หายไป และตอนที่เขาก้าวถอยนั้นเอง พายุทรายก็ม้วนตลบเข้ามา เม็ดทรายสีเหลืองปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้าและห้อทะยานผ่านรอบกายเขาไป กรวดทรายจำนวนนับไม่ถ้วนกระแทกลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจนป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นเยือก

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดแค่ร่างของลูกศิษย์สำนักมังกรเหินสมุทรผีถึงถูกหอบเข้ามาข้างใน ไม่ทันได้ต้านทานก็ถูกแยกร่างออกเป็นเสี่ยงๆ

นั่นเป็นเพราะ…เม็ดทรายทุกเม็ดที่อยู่ในพายุทรายลูกนี้ต่างก็มีพลังของเวทอภินิหารที่เทียบเคียงได้กับเขตก่อกำเนิดช่วงต้น และพอกรวดทรายจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวเข้าด้วยกันจึงกลายมาเป็นพลังแห่งการทำลายล้างที่มากพอจะทำให้คนชาไปทั้งหนังศีรษะ อีกทั้งพอถูกม้วนตลบเข้าไปด้านในแล้วก็ยังต้องรับการโจมตีปะทะซึ่งๆ หน้า

นอกจากนี้ในพายุทรายยังมีแรงดึงดูดที่น่าตะลึงมาก พอคนคนหนึ่งถูกหอบเข้าไปจึงยากที่จะสลัดให้หลุด ยามนี้ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบรัวน้อยๆ แม้เขาจะหนังหนา ทั้งยังมีตบะเป็นคนฟ้า ยิ่งพลังของเรือนกายที่อาจไม่ถึงขั้นมองข้ามวิชาอภินิหารที่เทียบเคียงได้กับก่อกำเนิดขั้นต้นจำนวนมากนี้ไปได้ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าตรงจุดศูนย์กลางของพายุทรายมีพลังที่น่ากลัวบางอย่างแฝงเร้นอยู่ ซึ่งต่อให้เป็นเขาเองก็ยังมิอาจอยู่ในนี้ได้นานนัก

“นี่มันสถานที่การประลองบ้าบออะไร ทำไมถึงได้อันตรายขนาดนี้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวา ยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้แรงดึงดูดนั้น เขาก็ยิ่งค้นพบว่าร่างของตัวเองค่อยๆ ถูกดูดให้ขยับเข้าไปหาจุดศูนย์กลางของพายุทรายทีละนิดอย่างห้ามไม่ได้ และเมื่อมองไปรอบด้านก็เห็นแต่ทรายสีเหลืองเต็มไปหมดจนแยกแยะทิศทางไม่ออก

หากเปลี่ยนมาเป็นนักพรตก่อกำเนิดที่อยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นครึ่งก้าวคนฟ้าก็ยังต้องสิ้นหวัง ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนฟ้า แม้ตอนนี้จะตกใจ แต่ก็ยังมีวิธีไม่น้อยที่จะพาตัวเองออกไป เขารีบร่ายผนึกมิวางวายทันทีอย่างไม่มีลังเล พริบตานั้นความเร็วของเขาก็ถูกร่ายไปถึงขีดสูงสุด

แม้ว่าพลังดึงดูดนี่จะไม่ธรรมดา แต่ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนน่าตะลึงยิ่งกว่า นั่นจึงทำให้เกิดเป็นแรงผลักดัน เสียงกัมปนาทดังตูมสนั่นหวั่นไหว

ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนลูกธนูที่พุ่งออกจากสายซึ่งฝ่าออกไปไกลมาก ตลอดทางไม่มีสิ่งใดขัดขวางเขาเอาไว้ได้ เม็ดกรวดเม็ดทรายจำนวนมหาศาลที่กระทบลงบนร่างของเขาแตกสลาย และร่างของเขาก็พลันพุ่งออกไปจากขอบเขตของพายุทรายผืนนี้

หลังจากหลุดออกมาได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงรักษาความเร็วบินพรวดออกไปไกลหลายร้อยเมตรในรวดเดียว แล้วถึงได้หันกลับมามองพายุทรายน่าครั่นคร้ามคล้ายเชื่อมโยงฟ้าและดินให้เป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งอยู่ห่างไปด้านหลังของตัวเองลูกนั้น

เมื่อมองจากตำแหน่งนี้จึงเห็นได้ว่าขอบเขตของพายุทรายนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีเสียงตูมตามดังแว่วมาพร้อมกับสายฟ้าหลายเส้นที่แลบแปลบปลาบอยู่ข้างใน

“สถานที่การประลองแห่งนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง พอย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ เขาก็ยืนยันได้เลยว่าไม่ว่าก่อกำเนิดคนใดก็ตามที่อยู่ในพายุทรายลูกนั้นต้องตายกันหมดแน่นอน หากไม่มีวิธีการที่พิเศษก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะรอดชีวิตออกมาได้เลย

“และยังมีการนำส่งก่อนหน้านี้อีก ความรู้สึกเหมือนถูกดึงถูกรั้งเช่นนั้นเหนือกว่าการนำส่งที่ข้าเคยเจอมาไม่รู้ต่อกี่เท่า หากลองคำนวณดู นี่หมายความว่าหากไม่ใช่เพราะพื้นที่การนำส่งครั้งนี้กว้างใหญ่จนไร้คำบรรยาย ถ้าเช่นนั้น…

ก็เป็นเพราะการนำส่งมาถึงที่นี่จำเป็นต้องทำลายปราการกั้นขวางที่หนาใหญ่จนมิอาจจินตนาการได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังประหวั่นพรั่นพรึงเริ่มรู้สึกเสียใจที่มาร่วมการประลองครั้งนี้

แต่พอนึกถึงยาอายุขัย เขาก็กัดฟันกรอด สะบัดร่างหนึ่งครั้งเคลื่อนหน้าต่อไป ระหว่างทางเขาก็ทดลองใช้อาวุธวิเศษไปด้วย แต่กลับพบว่าแม้ถุงเก็บของจะเปิดได้ตามปกติ ทว่าทุกครั้งที่หยิบเอาของออกมาหรือเก็บของเข้าไปก็ล้วนต้องเผาผลาญพลังวิญญาณไปไม่น้อย และยิ่งหยิบเอาอาวุธล้ำค่าออกมา พอมาอยู่ในพื้นที่การประลองแห่งนี้ก็เหมือนถูกตัดขาดจึงมิอาจร่ายใช้ได้ จากอาวุธล้ำค่าก็กลายมาเป็นของไร้ค่าไปอย่างสิ้นเชิง

ขณะเดียวกันก็เห็นได้ชัดว่าการนำส่งครั้งนี้แยกนักพรตเกือบพันคนของสี่สายให้กระจายตัวกันไปอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ของสถานที่แห่งนี้ และเนื่องจากที่นี่มีอาณาเขตกว้างขวาง คิดจะเจอกันและกันคงต้องดูที่ดวงเท่านั้น

แต่ยังดีที่แผ่นหยกส่งข้อความเสียงยังสามารถใช้งานได้ เพียงแต่ว่าขอบเขตหดย่อลงมามากเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนลองสัมผัสคลื่นที่อยู่ในแผ่นหยกส่งข้อความเสียง อาศัยตบะคนฟ้าของเขาจึงวิเคราะห์ได้ทันทีว่าพื้นที่ในแผ่นหยกนี้ย่อลงมาเหลือเพียงในรัศมีพันลี้เท่านั้น

หากเกินพันลี้ไปก็จะไม่สามารถส่งข้อมูลได้

นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ในพื้นที่การประลองแห่งนี้ยังมีสถานการณ์หนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกปรับตัวไม่ได้ นั่นก็คือพลังวิญญาณ…เมื่อเทียบกันแล้ว พลังวิญญาณของที่นี่เบาบางอย่างยิ่ง แตกต่างกับโลกภายนอกมากเกินไป พอจะจินตนาการได้เลยว่าทุกอย่างนี้ต้องทำให้นักพรตแทบทุกคนปรับตัวไม่ได้อย่างแน่นอน

แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว พลังวิญญาณไม่ใช่ปัญหา ต่อให้ที่นี่จะมีพลังวิญญาณเบาบาง แต่อย่างมากก็แค่พอๆ กับแดนทุรกันดารเท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ชีวิตอยู่ในแดนทุรกันดารมานานหลายปี จึงคุ้นชินกับการทำให้พลังวิญญาณของตัวเองจมดิ่งอยู่นิ่งๆ และจะระเบิดออกมาต่อเมื่อต้องการมานานแล้ว

และที่สำคัญที่สุดก็คือพลังกล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่ง ต่อให้ไม่จำเป็นต้องมีตบะหรือวิชาอภินิหารก็ยังมีพลังการต่อสู้ของคนฟ้าอยู่ดี

“สถานที่ที่อันตรายอย่างนี้ พวกโหวเสี่ยวเม่ย จางต้าพั่ง ซ่งเชวีย ป๋ายหลิน…ต้องเสี่ยงภัยมากแน่ๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ย้อนนึกถึงไปความรู้สึกเย็นเยียบบนร่างของโหยเสี่ยวเม่ยก่อนหน้านี้ซึ่งไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า และทันใดนั้นลมหายใจของเขาก็พลันหอบรัว รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย จึงรีบหยิบเอาแผ่นหยกออกมาส่งข้อความเสียงไปให้ทุกคนอย่างทั่วถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอแค่มีคนอยู่ในรัศมีพันลี้ก็จะได้รับข้อความเสียงจากเขา และเมื่อตอบรับกลับมาก็จะได้รีบมารวมตัวกันโดยไว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version