บทที่ 948 เขตต้องห้ามแห่งชีวิต
แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเหตุและผลที่สมบูรณ์แบบซึ่งเกิดจากการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสรุปรวมบทสนทนาที่ได้ยินมาก่อนหน้า รวมไปถึงประสบการณ์และจินตนาการของตัวเองตอนอยู่แดนทุรกันดารจึงพอจะวาดเค้าโครงของเรื่องนี้ขึ้นมาได้คร่าวๆ ในสมอง
แต่เขากลับมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า ต่อให้การวิเคราะห์ทั้งหมดของตนจะไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ต้องถูกไปสักเจ็ดแปดส่วนแล้ว…
นี่จึงทำให้เขาตื่นตะลึงอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็อดนึกไปถึงคนเฝ้าสุสานไม่ได้…
เขามิอาจไม่เอาเรื่องนี้มาเชื่อมโยงเข้ากับคนเฝ้าสุสาน อีกทั้งหากย้อนนึกอย่างละเอียดก็เกรงว่าคนเฝ้าสุสานคงคิดคำนวณมาถึงจุดนี้นับตั้งแต่เมื่อครั้งศึกไร้เทียมทานในแดนทุรกันดารแล้ว คิดคำนวณได้ทุกก้าวย่าง!
“นี่คือการชดเชยแผนซ้อนแผนของเขา!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนผวาอยู่ในใจ เขารู้ว่าเมื่อครั้งศึกไร้เทียมทานในแดนทุรกันดาร คนเฝ้าสุสานคิดจะสังหารเทียนจุนให้ได้ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายทำไม่สำเร็จ ทว่าตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าคนเฝ้าสุสานได้ร่ายใช้แผนลวงสังหาร…เป็นครั้งที่สองแล้ว!
หากศึกไร้เทียมทานทำสำเร็จก็ยังพอทำเนา แต่หากล้มเหลว ถ้าเช่นนั้นเรือกระดูกลำนี้ก็เตรียมไว้ให้เทียนจุนโดยเฉพาะ!
“ดังนั้นเขาถึงได้ให้หยกประดับแผ่นนั้นกับข้า เป้าหมายของเขานอกจากจะให้ข้าออกไปจากเขตต้องห้ามแห่งชีวิตได้อย่างปลอดภัยแล้ว อีกเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่า…ก็คือไม่ให้ข้าตายในแผนของเขาที่เอามาซ้อนแผนของเทียนจุน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งใจสั่นรัว เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าต้องเป็นสมองแบบไหนกันแน่ถึงจะสามารถดึงเอาทุกวิธีการมาใช้ซ้ำซ้อนครั้งแล้วครั้งเล่าจนกลายมาเป็นแผนการที่น่าทึ่งได้ขนาดนี้!
“ครั้งนี้เกรงว่าเทียนจุน…คงต้องล้มเหลวอีกครั้ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอจัดระเบียบความคิดได้แล้วก็อดที่จะสูดลมหายใจดังเฮือกไม่ได้ หัวใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย เขาไม่สนใจเทียนจุน และตู้หลิงเฟยที่มีบิดาอยู่ด้วยก็ย่อมต้องปลอดภัยดี ยามนี้สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงก็คือความปลอดภัยของโหวเสี่ยวเม่ย
“ตอนที่ข้าพบกับโหวเสี่ยวเม่ยครั้งแรกบนเกาะทงเทียน ตอนนั้นนางน่าจะยังไม่ถูกเด็กหญิงสิงร่าง แต่เป็นวันที่สอง…ที่ข้ารู้สึกถึงความเย็นเยือกวังเวงจากตัวนาง นั่นต้องไม่ใช่เพราะข้าคิดไปเองแน่!”
“และเมื่อครู่นี้ คลื่นวิญญาณของโหวเสี่ยวเม่ยยังคงอยู่ในร่างของนาง นางยังไม่ถูกกลืนกิน…วิธีเดียวที่จะช่วยนางได้ ก็คือไล่เด็กหญิงออกไปจากร่างของโหวเสี่ยวเม่ย!”
มุมปากป๋ายเสี่ยวฉุนยกยิ้มขมขื่น เขารู้วิธีการก็จริงอยู่ แต่ศึกครั้งนี้ ตบะของเขามิอาจส่งผลอะไรได้เลย
และขณะที่เขากำลังร้อนใจ คลื่นกระเพื่อมไหวและแรงโจมตีของชั้นที่สามบนเรือกระดูกซึ่งแฝงเร้นไว้ด้วยพลังของการทำลายล้างก็สร้างแรงสะเทือนรุนแรง มันพัดหอบเอาร่างของเขาปลิวไปยังปากทางของบันใด ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพร่าลายพร้อมๆ กับที่กระเด็นออกมาจากชั้นสาม เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งเขาก็รีบหันไปมองรอบด้าน แล้วก็พบทันทีว่านี่คือชั้นที่สองของเรือกระดูก!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ คิดจะย้อนกลับไป แต่แรงโจมตีของชั้นสามที่ซัดเข้ามาทำให้เขามิอาจย้อนกลับไปได้ เขาได้แต่ข่มกลั้นความร้อนใจเอาไว้ พยายามคิดหาวิธีอื่น และตอนนี้แฝดอวิ๋นเหลย รวมไปถึงหลิงเซียนซ่างเหรินจากสำนักเสาเอกสยบจันทราที่แผ่กลิ่นอายความเป็นเซียนเต็มตัวก็ถูกหอบตามหลังเขามาติดๆ ส่วนนักพรตก่อกำเนิดกลุ่มที่สาม…ที่เมื่อครู่นี้โผล่เข้ามาในชั้นสามล้วนตายกันไปหมดแล้วเพราะถูกลูกหลงแรงโจมตีของเทียนจุนและมารดาแห่งผี
พวกตู้หลิงเฟยนั้นได้ถูกเทียนจุนเก็บเข้าไปไว้ในถุงเก็บของตั้งแต่ตอนที่เขาลงมือแล้ว ตอนนี้จึงปลอดภัยดี
ในชั้นที่สองนี้ไม่ต่างจากตอนแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยมาเยือน เก้าอี้โยกตัวนั้นยังคงโยกไหว โครงกระดูกสองร่างหน้าเก้าอี้โยกที่ผสานรวมเข้าด้วยกันได้แค่ครึ่งเดียวก็ยังคงอยู่ในท่วงท่าการผสานรวมที่แปลกประหลาด รอบด้านยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยไอเย็นอันน่าขนลุก
ทว่าครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนต่างไปจากคราวก่อน เขาไม่ใช่ก่อกำเนิดอีกแล้ว แต่เลื่อนขึ้นเป็นคนฟ้า เพิ่งจะปรากฏตัว เขาที่ลมหายใจหอบรัวก็รีบแผ่อำนาจจิตออกไป กลายมาเป็นพลานุภาพสยบที่ปกคลุมไปยังเก้าอี้โยกตัวนั้น
เก้าอี้โยกพลันชะงักกึก และวินาทีที่มันหยุดนิ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบพุ่งตัวเข้าไปใกล้ คราวแรกที่มาที่นี่เขาก็ให้ความสนใจโครงกระดูกทั้งสองโครงนี้อย่างถึงที่สุดอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะว่ากลิ่นอายของบทมิวางวายกับบทอมตะที่แผ่ออกมาจากบนร่างของมันดึงดูดใจเขาอย่างรุนแรง
เพียงแต่ว่าตอนนั้นตบะของเขายังไม่ใช่คนฟ้า จึงหวาดกลัวและสัมผัสได้ถึงวิกฤตแห่งความเป็นความตายอย่างแรงกล้า ถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะเก็บมันไป คิดแต่จะหนีให้รอดอย่างเดียวเท่านั้น
ตอนนี้ทุกอย่างแตกต่างไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดีว่าบางทีตนอาจไม่มีโอกาสได้มาเยือนที่นี่อีกเป็นครั้งที่สาม และหากพลาดโอกาสนั้นไป มันก็จะกลายมาเป็นความเสียดายไปตลอดชีวิตของเขา
ดังนั้นเขาจึงรีบถลาเข้าหาพวกมันอย่างไร้ซึ่งความลังเล และแทบจะเวลาเดียวกันกับที่เขาพุ่งไป ตรงบันได แฝดอวิ๋นเหลยและผู้เฒ่าจากสำนักเสาเอกสยบจันทราก็ได้ทยอยกันบินออกมา พวกเขาไม่เหมือนกับป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะพอเหยียบเข้ามาถึงที่นี่ พวกเขาก็ตะลึงงันไปกับสภาพของชั้นที่สองนี้อย่างเห็นได้ชัด
รอจนพวกเขาสังเกตเห็นการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คว้าจับโครงกระดูกทั้งสองร่างนั่นแล้วและกำลังจะเก็บพวกมันไป แต่ว่าจู่ๆ สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
แทบจะขณะเดียวกันกับที่เขาคว้าโครงกระดูกทั้งสองร่างนี้ไว้ได้ เขาสัมผัสได้ว่าเลือดคงกระพันในร่างของตัวเองเดือดพล่านขึ้นมาโดยอัตโนมัติ อีกทั้งในโครงกระดูกสีทองที่เป็นของบทมิวางวายกลับมีเลือดลมหมาศาลไหลกรากออกมา ก่อนที่มันจะไหลตามมือของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วมุดหายเข้าไปในร่างของเขา ซึ่งเพียงแค่อึดใจเดียวก็ทำให้เลือดคงกระพันของเขาเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ขึ้นมาอีกหนึ่งหยด!!
สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ภาพนี้เขย่าคลอนจิตวิญญาณของเขาอย่างรุนแรง เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาชุบหลอมบำเพ็ญตบะ
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสะอึกค้าง รีบข่มกลั้นความสั่นสะเทือนในใจลงไปแล้วคว้าเอาโครงกระดูกทั้งสองเก็บเข้าไปในถุงเก็บของทันที
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเอาอะไรไป!” ผู้เฒ่าสำนักเสาเอกสยบจันทราเปิดปากขึ้นมาทันควัน ดวงตาของเขาเป็นประกายลุกเรือง ต่อให้เป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่เขาก็เหมือนจะบังเกิดใจละโมบขึ้นมา
หากเปลี่ยนมาเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่รู้เบื้องหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน แฝดอวิ๋นเหลยเองก็คงต้องคิดเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าตอนนี้เทียนจุนอยู่ด้านล่าง ต่อให้พวกเขามีความกล้าหาญเทียมฟ้าแค่ไหนก็ไม่กล้าจะทำอย่างนั้นแน่นอน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจผู้เฒ่าของสำนักเสาเอกสยบจันทราแม้แต่น้อย หลังจากที่เก็บโครงกระดูกมาได้เขาก็บึ่งไปที่บันได คิดจะขึ้นไปยังชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าคราวก่อนบันไดนี่จะพิลึกพิลั่น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจย้อนกลับไปได้ แต่ตอนนี้เขามีตบะเป็นถึงคนฟ้า มองปราดเดียวจึงเห็นถึงเส้นสนกลใน
เพียงแต่ว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะจากไป
ผู้เฒ่าของสำนักเสาเอกสยบจันทรากลับพุ่งมาขวางทางเขา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเราต่างก็เป็นคนฟ้าเหมือนกัน มาถึงที่นี่พร้อมกัน สมบัติของที่แห่งนี้ใครที่เห็นล้วนมีส่วนแบ่ง เจ้าคิดจะฮุบกลืนเอาคนเดียวงั้นรึ?!”
“ไสหัวไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจและหงุดหงิดเพราะเรื่องของโหวเสี่ยวเม่ย แถมการที่เขาได้รู้ความลับที่ทุกคนไม่รู้ก็ทำให้อารมณ์ของเขาไม่คงที่ พอผู้เฒ่ามาตอแย เขาเลยระเบิดอารมณ์ทันที
พอกล่าวจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร่ายใช้ชนาเขย่าภูเขาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาพุ่งเข้าชนผู้เฒ่าถูกพร้อมเสียงอึกทึก พลังอำนาจก็ยิ่งพวยพุ่งจนกลายมาเป็นพลานุภาพสยบที่ทำให้ผู้เฒ่าถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ลังเลอยู่ครู่ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบ
และพอเขาเบี่ยงหลบ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถลันพรวดขึ้นไปหาบันได ครั้นจึงก้าวขึ้นไปอย่างไม่รีรอ
เวลาเดียวกับที่พวกป๋ายเสี่ยวฉุนเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่หนึ่ง ทันใดนั้นบนพื้นของชั้นที่สองก็ระเบิดตูมพังกระจาย เศษไม้จำนวนนับไม่ถ้วนปลิวว่อนไปรอบด้าน เทียนจุน กงซุนหว่านเอ๋อร์และมารดาแห่งผีไล่ฆ่ากันจากชั้นที่สามขึ้นมายังชั้นที่สอง
พวกเขาเพิ่งจะขึ้นมา คลื่นโจมตีที่เกิดจากวิชาอภินิหารก็กลายมาเป็นพายุระห่ำที่พัดกวาดไปทั่วชั้นสอง สิ่งปลูกสร้างจำนวนนับไม่ถ้วนพังทลายไปในชั่วพริบตา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองที่ก้าวออกมาก้าวหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่บนชั้นที่หนึ่งแล้ว
ชั้นที่หนึ่งนี้ยังเหมือนกับคราวก่อนอย่างไม่มีผิดเพียน ภาพวาดบนผนังรอบด้านมีชีวิตชีวาเสมือนจริง เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเห็นมาก่อนแล้ว ตอนนี้จึงแค่กวาดตามองทีเดียวแล้วพุ่งขึ้นไปยังดาดฟ้าทันที
ทว่าแฝดอวิ๋นเหลยจื่อกับผู้เฒ่าคนนั้นที่พอมาถึงที่นี่กลับถูกภาพวาดรอบด้านดึงดูดความสนใจ ร่างของคนทั้งสามสั่นเทิ้มรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด สายตาของพวกเขาที่มองภาพเหล่านั้นฉายความเลื่อนลอย
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่สีหน้าร้อนรนไม่ได้สนใจคนทั้งสาม เพียงสะบัดกายตะบึงไปยังบันได พริบตาเดียวก็โผล่ออกมาจากชั้นหนึ่งของเรือกระดูก…มายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ!
ท้องฟ้าที่ห่างไปไกลเป็นสีขมุกขมัว รอบด้านเต็มไปด้วยทะเลกระดูก ธงสามผืนบนดาดฟ้าเรือที่มีใบหน้าผีดุร้ายโบกสะบัดด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีลม…ทุกอย่างที่ตาเห็นในตอนนี้ รวมไปถึงความกดดันของรอบด้านและกลิ่นอายที่พิเศษในเขตต้องห้ามแห่งชีวิต ทำให้ความกังขาเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหายวับไปในพริบตา
“กลับมาที่นี่…จริงๆ ด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ
ทันใดนั้นดาดฟ้าเรือที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาพลันระเบิดแตก ผู้เฒ่าสำนักเสาเอกสยบจันทราและแฝดอวิ๋นเหลยกระอักเลือด หน้าซีดเซียว รีบพุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว และด้านหลังพวกเขาก็มีเงาร่างอีกสามเงาที่พุ่งจากเรือขึ้นไปบนฟ้า!
“มารดาแห่งผี วันนี้เจ้าหนีไม่รอดหรอก ข้าจะกินเจ้า!!”
กงซุนหว่านเอ๋อร์เปล่งเสียงหวีดแหลมแล้วกระโจนเข้าใส่มารดาแห่งผี
เทียนจุนสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าความเร็วกลับมากถึงขีดสุด พริบตาเดียวก็ขยับไปใกล้ บีบให้มารดาแห่งผีต้องถอยร่นต่อเนื่อง!
และเวลานี้เอง เมื่อดาดฟ้ากับพื้นของทั้งสามชั้นเปิดโล่งถึงกัน ไม่นานพวกนักพรตที่โชคดีรอดชีวิตมาจากพื้นที่การประลองก็ทยอยกันบินออกมา แต่ละคนมาปรากฏตัวอยู่บนดาดฟ้าเรือ พอเห็นสภาพสิ่งแวดล้อมรอบด้านและสงครามที่อยู่บนท้องฟ้า ทุกคนก็อึ้งตะลึงกันอยู่ตรงนั้น ลมหายใจหอบหนักอย่างที่มิอาจควบคุม จิตวิญญาณก็ยิ่งตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด
“สวรรค์…นั่นมันเทียนจุนนี่นา!!”
“ที่นี่…คือสถานที่อะไรกันแน่!”
“ทางออกกลับกลายมาเป็นเรือลำหนึ่ง นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!! พวกเราอยู่ที่ไหน ยังอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ทงเทียนอีกหรือไม่…” ในกลุ่มคน ป๋ายหลินและจ้าวเทียนเจียวบาดเจ็บสาหัส ได้จางต้าพั่งช่วยประคองเอาไว้ คนทั้งสามใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ได้แต่มองไปรอบด้านด้วยอาการอึ้งงัน
มีเพียงซ่งเชวีย…ที่ยืนตัวสั่นอยู่ในกลุ่มคน ลมหายใจของเขาหอบรัว นัยน์ตาฉายความเหลือเชื่อ พลันหันขวับไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับต้องการขอคำยืนยัน
“ที่นี่คือ เขตต้องห้ามแห่งชีวิต” ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์ห่อเหี่ยว น้ำเสียงจึงทุ้มหนักตามไปด้วย และประโยคนี้ของเขาก็ดังก้องไปรอบทิศ