บทที่ 95 กระบี่ ไม่ได้ใช้แบบนี้!
“อาจารย์อาป๋าย…ช่างเป็นเทพในร่างคนที่แท้จริง!”
“นี่อาจารย์อาป๋ายคิดจะเดินอยู่บนเส้นทางการเป็นศัตรูของชายฝั่งทิศเหนือแบบไม่อาจย้อนกลับอีกถึงขนาดไหน…” ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้ แต่ละคนเมื่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนเผยความนับถือออกมา พวกเขายอมแพ้จากใจจริงแล้ว
ถึงขั้นยังมีคนไม่น้อยรู้สึกดีใจที่ตัวเองโชคดี ดีที่บุคคลหายนะอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เป็นคนของชายฝั่งทิศเหนือ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คิดภาพไม่ออกว่าคราวนี้ชายฝั่งทิศใต้จะบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน
“ชายฝั่งทิศใต้ของพวกเรามีอาจารย์อาป๋ายคนเดียวก็พอแล้ว เขาคนเดียวก็สามารถทำให้คนทั้งชายฝั่งทิศเหนือบ้าคลั่งกันไปหมดได้” วันนี้สวีเป่าไฉมองเซ่ออยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่เวลานี้เขาก็ค้นพบแล้วว่าความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น…ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ต่อให้ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจนี้จะปั่นป่วนแค่ไหนก็ยังต้องดำเนินต่อไป ขณะที่ชายฝั่งทิศใต้เกิดความเลื่อมใส ชายฝั่งทิศเหนือคลุ้มคลั่งกันอยู่นั้นเอง สนามที่สี่ของรอบที่สามก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ซ่างกวานเทียนโย่ว กุ่ยหยาและป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งสามคนล้วนชนะติดกันสามครั้ง ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาลงประลอง เพราะเป็นการช่วงชิงกันเองของลำดับที่สี่ห้าหก
ไม่นานพี่น้องกงซุนและสวีซงก็ขึ้นมาต่อสู้ตัดสินกันบนเวทีประลองอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกงซุนอวิ๋นเอาชนะกงซุนหว่านเอ๋อร์ และโจมตีสวีซงให้พ่ายแพ้ไปได้ จึงไม่จำเป็นต้องแข่งต่อ ออกจากสนามเป็นคนแรก ได้อันดับที่สี่ของการจัดอันดับโดยรวม
แม้ว่าสวีซงจะสู้กงซุนอวิ๋นไม่ได้ แต่เอาชนะกงซุนหว่านเอ๋อร์ไปได้ก็ถือว่าชนะหนึ่งครั้ง ออกจากสนามเช่นกัน อยู่ในอันดับที่ห้าของการจัดอันดับโดยรวม
ส่วนกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่แพ้หมดทั้งห้าสนามจึงต้องอยู่ในอันดับที่หกด้วยความเศร้าซึม
จากนั้นก็คือการประลองสามอันดับแรกของศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในครั้งนี้! การจัดอันดับของป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่างกวานเทียนโย่ว กุ่ยหยา ทั้งสามคนนี้จะเป็นเช่นไร ลูกศิษย์ของสองชายฝั่งเหนือใต้ล้วนพากันจดจ้อง
เพียงแต่ว่าเมื่อใดที่คนของชายฝั่งทิศเหนือมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ไฟแค้นก็ต้องโหมกระพือไปเสียทุกครั้ง สำหรับกุ่ยหยาและซ่างกวานเทียนโย่ว พวกเขายอมรับได้อย่างแท้จริง แต่กับป๋ายเสี่ยวฉุน ความไร้ยางอายของเขา ความต่ำช้าของเขา ก็ได้รับการยอมรับจากชายฝั่งทิศเหนือไปเช่นกัน
เวลานี้ชายฝั่งทิศเหนือทุกคนล้วนฝากความหวังไว้ที่กุ่ยหยาทั้งหมด ในสายตาพวกเขา ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีวิธีชั่วร้ายอีกแค่ไหน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสุดยอดพลังอันสมบูรณ์แบบก็ต้องพินาศย่อยยับอย่างแน่นอน
“รอบที่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่างกวานเทียนโย่ว!” ดูเหมือนว่าเพราะการปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน ความเย็นยะเยียบในน้ำเสียงของโอวหยางเจี๋ยจึงหายไป แทนที่มาด้วยน้ำเสียงปลดปลง
ซ่างเทียนกวานโย่วเงยหน้าขึ้นพรึ่บ ในดวงตาฉายประกายดุดัน ภาพที่ตนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนแซงหน้าเมื่อครั้งศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติลอยขึ้นมาในสมอง นัยน์ตาเขาเผยแววหยามหยัน ก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีประลอง มีลมภูเขาพัดโชยมาพาเอาผมเส้นยาวของเขาปลิวไสว ทำให้ซ่างกวานเทียนโย่วในยามนี้ดูหล่อเหลาสง่างามราวกับกระบี่วิเศษเล่มหนึ่ง และทำให้ดวงตาของลูกศิษย์นับไม่ถ้วนเผยความคึกคักมีชีวิตชีวา
แต่ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้ไม่กล้าไชโยโห่ร้อง เพราะยังไงซะป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เป็นคนของชายฝั่งทิศใต้เช่นกัน อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีสารพัดวิธี พวกเขากังวลว่าหากกู่ร้องให้กำลังใจขึ้นมาเดี๋ยวป๋ายเสี่ยฉุนจะจำหมายหัว ทุกคนจึงทำได้แค่ข่มกลั้นเอาไว้
ชายฝั่งทิศเหนือกลับต่างออกไป เวลานี้พวกเขาถึงขั้นร้องไชโยให้กับซ่างกวานเทียนโย่ว เสียงกู่ร้องนี้ทำให้ใจของซ่างกวานเทียนโย่วรู้สึกพิกล เขารู้ว่าชายฝั่งทิศเหนือไม่ได้ส่งเสียงให้กำลังใจเพราะนับถือตน แต่เพราะตนกำลังจะสู้กับป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ส่งเสียงให้กำลังใจ ซึ่งก็หมายความว่า ต่อให้คู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นแค่หมูตัวหนึ่ง ชายฝั่งทิศเหนือก็ยังไชโยโห่ร้องเพื่อหมูตัวนั้นอยู่ดี พอคิดเช่นนี้ในใจซ่างกวานเทียนโย่วก็ยิ่งไม่สบอารมณ์กับป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปใหญ่
ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที เดินขึ้นมาบนเวทีประลอง มองซ่างกวานเทียนโย่วแล้วสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง รอยยิ้มเต็มใบหน้า
“ช่างเถอะๆ พวกเราล้วนเป็น…” เขายังไม่ทันพูดจบ ประกายเย็นเฉียบในดวงตาซ่างกวานเทียนโย่วระเบิดออก มือขวายกขึ้นชี้ กระบี่บินเล่มหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขาพลันส่งเสียงแหลมกรีดอากาศ บินออกมาทันทีราวกับเสียงฟ้าผ่าหนึ่งเสียง พุ่งตรงมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน บุกตะลุยราวพายุมาตลอดทาง ด้วยความรวดเร็วเกินไป พริบตาเดียวก็ห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ถึงเจ็ดฉื่อ!
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัว เมื่อวิกฤตมาเยือนจึงทรุดตัวคุกเข่าอย่างรวดเร็ว ลมจากกระบี่คำรามผ่านศีรษะของเขาไป ผมกระจุกหนึ่งถูกตัดขาด ร่วงลงมาเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
“บำเพ็ญตนเป็นนักพรต ต่อสู้ด้วยวิชาคาถา สำคัญแค่ช่วงชิงความรวดเร็วเท่านั้น กระบี่เล่มนี้ต่อให้เจ้าไม่หลบก็ไม่ถึงขั้นเอาชีวิตเจ้า เจ้ามันนิสัยเกเร ขาดการอบรมสั่งสอน ในเมื่อพ่อแม่เจ้าไม่สั่งสอนเจ้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะสั่งสอนเจ้าเอง ต่อไปจงจำเอาไว้ว่าอย่าใช้วิชาชั่วร้ายพวกนั้นมาสร้างความอับอายให้กับชายฝั่งทิศใต้ของเราอีก” ขณะที่ซ่างกวานเทียนโย่วเอ่ยปากเนิบนาบ พริบตานั้นกระบี่บินก็กลับมาลอยอยู่ตรงหน้าเขา
ชายฝั่งทิศเหนือเงียบกันไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ไชโยโห่ร้องขึ้นมา ทว่าทุกคนทางชายฝั่งทิศใต้กลับเงียบงัน สายตาที่มองไปยังซ่างกวานเทียนโย่วเผยความไม่พอใจ แม้แต่พวกคนที่ติดตามนับถือซ่างกวานเทียนโย่วก่อนหน้านี้ก็ยังขมวดคิ้ว
พวกเขาไม่ได้รังเกียจอะไรป๋ายเสี่ยวฉุน ในสายตาของพวกเขาถึงแม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเกเร แต่ก็ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ แม้ทำให้คนอื่นหน่ายใจ แต่ในใจกลับรู้สึกชื่นชอบเขา ต่อให้พวกชายฝั่งทิศเหนือจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แต่สำหรับชายฝั่งทิศใต้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นตัวแทนชายฝั่งทิศใต้เข้าร่วมการประลอง ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนเป็นเกียรติยศของชายฝั่งทิศใต้
ถึงขั้นที่ทุกคนล้วนดูออกว่าเมื่อครู่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากเพราะคิดจะยอมแพ้ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการเข่นฆ่ากันเองกับซ่างกวานเทียนโย่ว ทั้งยังมีความหมายแฝงอีกอย่างหนึ่ง นั่นคืออยากให้ซ่างกวานเทียนโย่วได้เก็บแรงเอาไว้สำหรับตอนรบกับกุ่ยหยา ช่วงชิงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมา
ไม่มีทางที่ซ่างกวานเทียนโย่วจะฟังไม่ออก แต่เขากลับยังลงมือ แถมแทบจะเรียกได้ว่าเป็นวิธีลอบโจมตีด้วยซ้ำ อีกทั้งยังเอ่ยปากสั่งสอน หมิ่นเกียรติพ่อแม่ การกระทำเช่นนี้ทำให้ในใจหลายคนของชายฝั่งทิศใต้รู้สึกเดียดฉันท์!
ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งยอง มองเส้นผมที่ลอยร่วงลงมาเบื้องหน้าด้วยความอึ้งงัน เขาเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า ตอนที่ลุกขึ้นเงยหน้ามองซ่างกวานเทียนโย่ว คำพูดสั่งสอนของอีกฝ่ายยังดังสะท้อนอยู่ในหูของเขา
“เจ้าเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ จะดูถูกข้าก็ไม่เป็นไร ข้าไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงต่ำลึก ร่างกายของเขาในยามนี้คล้ายจะแตกต่างออกไปจากยามปกติ
“เจ้าลอบโจมตีข้าก็ช่าง ข้าบำเพ็ญตบะก็เพื่อความเป็นอมตะ ไม่สนใจการรบราฆ่าฟันเลยสักนิด” มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนยกขึ้นมากระชากเอายันต์บนร่างที่ดับแสงลงเหล่านั้นโยนออกไปด้านข้าง บนร่างของเขาในเวลานี้มีความห้าวหาญของผู้กล้าให้เห็นได้รางๆ ทั้งค่อยๆ เพิ่มชัดมากขึ้น
ในกลุ่มคนของชายฝั่งทิศใต้ ดวงตาทั้งคู่ของโหวอวิ๋นเฟยแน่วแน่ ร่างสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนตอนอยู่ที่ตระกูลลั่วเฉินในปีนั้นปรากฏขึ้นมา
“แต่เจ้ามีสิทธิ์อะไร…มาสั่งสอนข้าแทนพ่อแม่ข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นพรวด นัยน์ตาของเขามีเส้นเลือดฝอยให้เห็น พ่อแม่ของเขาจากไปเร็ว นี่ส่งผลกระทบต่อเขาอย่างใหญ่หลวง ถึงขั้นที่ว่าการที่เขาอยากเป็นอมตะก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่เยอะมาก
เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี นั่นเป็นเพราะจงใจแสดงออกมาตั้งแต่เด็ก หากเขาไม่มองโลกในแง่ดี เด็กเล็กคนหนึ่งมองเห็นพ่อแม่ป่วยตายไปต่อหน้าต่อตา อาศัยอยู่กับศพของพ่อแม่ในห้องหลายวัน เขาไม่อยากจะเชื่อ เขาร้องไห้ตะโกนเรียกท่านพ่อท่านแม่ จนกระทั่งศพเริ่มส่งกลิ่นเหม็น จนกระทั่งถูกคนในหมู่บ้านเอาไปฝัง เขาเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน ถึงขั้นที่ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งเขาชอบพูดคุยกับตัวเอง…เด็กแบบนี้ เมื่อโตขึ้นมาจะต้องมีเงามืดตามติดไปตลอดชีวิต
เขาใช้รอยยิ้มมาทดแทนการร้องไห้ เปลี่ยนความคิดถึงให้กลายมาเป็นความศรัทธาในการเป็นอมตะ เขาจดจำคำพูดที่พ่อแม่บอกกับตนเองก่อนตายด้วยความอาลัยอาวรณ์ว่าให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างแม่นยำ
เขาเกเร แต่เขาก็รู้หนักรู้เบา หลายๆ เรื่องเขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิด ก้นบึ้งในจิตใจเขาล้วนดีงามเสมอมา
เขากลัวตาย และอาจทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาขี้ขลาด แต่เมื่อสหายต้องเผชิญหน้ากับวิกฤต คุณธรรมก็ทำให้เขาเอาชนะความกลัวตาย เขาสามารถคำรามอย่างโกรธแค้น แล้วหันกลับไปสู้ตายด้วยกายที่สั่นสะท้าน
เขาก่อกวน แต่เขาให้มีน้ำใจเอื้ออารี จางต้าพั่ง หลี่ชิงโหว โหวอวิ๋นเฟย ตู้หลิงเฟย โหวเสี่ยวเหม่ย เจ้าสำนัก ทุกคนที่ดีกับเขา เขาล้วนจดจำไปชั่วชีวิต
“เจ้ามีสิทธิ์อะไร!” ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนบุกถลาออกไปดังตูมด้วยความรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าซ่างกวานเทียนโย่ว ดวงตาทั้งคู่ของซ่างกวานเทียนโย่วพลันหดตัว ขนลุกชันไปตลอดร่าง ยังไม่ทันที่เขาจะตั้งตัวได้ หมัดที่แฝงไปด้วยประกายแสงสีเงินของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตกกระทบลงมา
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง แสงคุ้มกันร่างกายของซ่างกวานเทียนโย่วปรากฎออกมา แต่แสงคุ้มกันเหล่านี้ไม่สามารถสกัดกั้นอะไรได้แม้แต่นิด พริบตาเดียวก็พังทลาย หมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่พลังรุนแรงราวพายุกระแทกลงบนโล่เล็กที่โผล่พรวดออกมาเบื้องหน้าซ่างกวานเทียนโย่วอย่างรวดเร็ว
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง โล่เล็กชิ้นนี้สั่นไหว ถูกหมัดเดียวของป๋ายเสี่ยวฉุนต่อยจนลอยกระเด็นออกไป หมัดจึงกระแทกลงบนหน้าอกของซ่างกวานเทียนโย่วโดยตรง ซ่างกวานเทียนโย่วกระอักเลือด ร่างกายถูกพลังมหาศาลผลักกระเด็นจนโซซัดโซเซถอยไปหลายสิบก้าว เลือดถูกพ่นออกมาอีกครั้ง สีหน้าเผยความไม่อยากเชื่อ
“นี่น่ะเหรอศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากเนิบช้า ยามนี้เขาไม่ได้เชิดหน้า ไม่ได้วางท่ายอดฝีมือผู้เบื่อหน่าย แต่ในชั่วขณะนี้กลับทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนเขาเป็นแสงแดดแก่กล้า ชายฝั่งทิศใต้มีเสียงสูดลมหายใจของคนนับไม่ถ้วนลอยมาให้ได้ยิน ส่วนทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือก็ล้วนสะท้านสะเทือน
นัยน์ตากุ่ยหยาระเบิดประกายเฉียบคม พวกเจ้าสำนักที่อยู่บนแท่นยกล้วนหน้าเปลี่ยนสี กลายมาเป็นสีหน้าเคร่งขรึม
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!” ซ่างกวานเทียนโย่วรู้สึกเหมือนโดนหมิ่นเกียรติ เขาคำรามโกรธแค้นหนึ่งเสียง เมื่อมือทั้งสองข้างทำมุทรา นอกร่างพลันปรากฏกระบี่บินห้าเล่ม กระบี่บินทั้งห้าเล่มนี้ แต่ละเล่มแผ่ไอกระบี่อันน่าตกตะลึงออกมา คำรามพุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนภายใต้การควบคุมโดยร่างกายที่มีวิญญาณกระบี่ของซ่างกวานเทียนโย่ว
รวดเร็วอย่างยิ่ง สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน คล้ายกับได้กลายร่างเป็นกระบี่มังกรที่หนาพอครึ่งจั้ง ยาวสิบกว่าจั้ง บางเล่มก็พุ่งเข้าหาในแนวขวาง บางเล่มก็ดีดตัวเป็นรูปโค้งงอบุกคำรามเข้าหา แม้แต่บนเวทีประลองก็ยังปรากฏรอยปริแตกหลายเส้น พลังอำนาจเช่นนี้ กระบี่เล่มเดียวสามารถฆ่าลูกศิษย์ธรรมดาได้ สองเล่มสามารถสังหารศิษย์แห่งความภาคภูมิใจให้ดับสูญ ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างกงซุนอวิ๋นก็ยังต้องยอมแพ้ไปด้วยกระบี่สามเล่ม แต่เวลานี้กระบี่ทั้งห้าเล่มปรากฏตัวในเวลาเดียวกัน ไอกระบี่ตัดสลับไปทั่วทุกสารทิศตลอดทั้งเวทีประลอง
“ข้าไม่เข้าใจการใช้กระบี่ ไม่มีร่างของกระบี่วิเศษ แต่ข้าคิดว่า กระบี่…ไม่ได้ใช้แบบนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากด้วยความนิ่งสงบ มือขวายกขึ้นมาชี้ กระบี่วิหคทองพลันกลายเป็นเส้นสีทองหนึ่งเส้น พริบตานั้นก็บินออกมาอยู่เบื้องหน้าของเขา ตวัดฉับลงบนกระบี่ที่พุ่งเข้ามาเบื้องหน้า!
ไม่ว่าเจ้าจะมีกระบี่สามเล่มหรือห้าเล่ม ข้าก็ใช้แค่เล่มเดียว!
กระบี่ตวัดฉับครั้งนี้ ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทโหมสัดซาด กลายเป็นพายุไอกระบี่!
กระบี่ตวัดฉับครั้งนี้ มียกหนักเสมือนเบา และแฝงไปด้วยยกเบาเสมือนหนัก!
กระบี่ตวัดฉับครั้งนี้ พลังวิญญาณที่ผ่านการกลั่นหลอมในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่ได้ระเหยออกไปอย่างสิ้นเปลืองเลยแม้แต่นิดเดียว!
เขาไม่เข้าใจการใช้กระบี่ก็จริง แต่เขาเข้าใจวิชาพลังม่วงควบคุมกระถาง เข้าใจยกหนักเสมือนเบา ยกเบาเสมือนหนัก รู้ว่าใบไม้ใบหนึ่งไม่สามารถยกชิ้นไม้ที่หนักเกินไปได้ แต่หากนำใบไม้มาม้วนขดเข้าด้วยกัน สามารถยกก้อนหินขึ้นได้ หากนำใบไม้มาฉีกเป็นเส้นๆ แล้วถักทอเข้าด้วยกัน สามารถยกหินผาที่ใหญ่กว่าได้!
สิ่งเขาเข้าใจ คือวิธีการพลิกแพลงใช้พลังวิญญาณ!
เชี่ยวชาญวิชาเดียว ไม่พูดถึงความเชี่ยวชาญหมื่นวิชา แต่ในขั้นรวมลมปราณ…บวกเข้ากับวิชาผิวหนังเงินคงกระพันของเขา แค่นี้ก็ไร้พ่ายแล้ว!
ตูมๆๆๆ!
เสียงดังราวหูจะดับสะเทือนไปแปดทิศ เมื่อเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนบนเวทีประลองปลิวกระจัดกระจาย กระบี่ที่ฟันฉับลงไปของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นลมพายุ เมื่อปะทะเข้ากับกระบี่มังกรทั้งห้าเล่มของซ่างกวานเทียนโย่วก็ระเบิดออกทันที กระบี่มังกรห้าเล่มนั้นบิดเบี้ยว ท่ามกลางเสียงดังปึงปังก็ระเบิดแตกออกเป็นจุณ ส่วนกระบี่พายุของป๋ายเสี่ยวฉุนเล่มนั้นกลับพุ่งทะยานไประเบิดอยู่เบื้องหน้าซ่างกวานเทียนโย่ว
ลมพัดพาเอาผมยาวของป๋ายเสี่ยวฉุนโบกสะบัด เขายืนอยู่บนเวที สีหน้านิ่งสงบ ไม่ได้เอามือไพล่หลัง ไม่ได้สะบัดปลายแขนเสื้อ แต่ความเงียบสงบเช่นนี้เมื่อประกอบเข้ากับพายุไอกระบี่เล่มนั้นแล้ว ได้กลายเป็นภาพที่ประทับลงในใจลูกศิษย์ทุกคนของสองชายฝั่งเหนือใต้อย่างลึกซึ้งไปนิจนิรันดร์
“เขาคือป๋ายเสี่ยวฉุน…จริงๆ เหรอ?” เวลานี้ในใจของทุกคนล้วนสะเทือนเลื่อนลั่น
———