บทที่ 223 สามสิ่งในชีวิต
ทุกคนตกตะลึงทันทีเมื่อเห็นศิลาสีเขียวแตกกระจาย แม้ว่าจะเคยเห็นพละกำลังของหวังเป่าเล่อและกงเต๋าระหว่างการต่อสู้มาบ้างแล้ว แต่เหล่าพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐทั้งหลายก็ยังคงผงะไปอยู่ดี
การปลดปล่อยเคล็ดวิชาของกงเต๋าทำให้เกิดรอยแตกร้าวกระจายทั่วพื้นผิวของศิลา ก็จริง แต่หวังเป่าเล่อกลับทำลายมันสิ้นด้วยหมัดเดียว!
“เจ้านั่นมันบ้าไปแล้ว…”
“ดีแล้วที่เจ้านั่นได้รับคัดเลือกเข้ามาโดยตรง เพราะหากเขาต้องไปทดสอบคัดเลือกกับพวกเราตั้งแต่แรก มีหวังอาจจะโชคร้ายได้จับคู่ประลองกับเขาก็เป็นได้…”
“แปลกดี พวกเจ้าไม่สงสัยกันบ้างหรืออย่างไร ว่าหมอนั่นต้องชดใช้โทษฐานที่ทำศิลาทดสอบพลังพังรึเปล่า”
หวังเป่าเล่อรู้สึกพึงพอใจอยู่ดีๆ แต่พอได้ยินบทสนทนาอันดุเดือดและเหล่าพันธุ์กล้าพูดถึงการชดใช้ศิลาก้อนนั้น ดวงตาของชายหนุ่มก็พลันเบิกโพลงในทันใด หลังจาก นึกขึ้นได้ว่าตนเองมีบัตรรูดวิญญาณเงินที่ไม่จำกัดวงเงิน ก็พอทำใจให้สงบลงได้บ้าง
แม้ว่าหวังเป่าเล่อคนนี้จะมาจากครอบครัวยากจน แต่ในฐานะขององครักษ์อาวุธเวทจากตำหนักอาวุธเวทแล้ว ก็นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งหากต้องชดใช้ให้การทดสอบนี้ ข้าจะทำงานให้หนักขึ้นและกินให้น้อยลง เพื่อจะออมเงินไว้ชดใช้! ชายหนุ่มรู้สึกถึงความสุจริตใจของตนเอง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะล้วงกระเป๋าคลำหาบัตรรูดวิญญาณเงินพัลวัน เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังไม่หายไปเสียก่อน…
พลังหมัดของหวังเป่าเล่อทำเอาบรรดาเจ้าพนักงานสหพันธรัฐรอบข้างปั่นป่วน กันไปทั่ว
“ศิลาสีเขียวสำหรับการประเมินนั้นทนทานต่อพละกำลังของคนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นรากฐานตั้งมั่น หรือแม้แต่ผู้ที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นระดับต้นก็ยังพอจะต้านทานไหว แต่บัดนี้หวังเป่าเล่อชกไปเพียงครั้งเดียวกลับพังทลายสิ้น!”
“ก่อนหน้านี้ ข้าไม่ทันตั้งใจดู แต่เจ้าอ้วนนั่น…อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกายเนื้ออย่างแน่นอน! แม้แต่กงเต๋ายังชกให้ศิลานั่นแตกกระจายไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อกลับทำได้เสียอย่างนั้น!”
ขณะที่เสียงพูดคุยซุบซิบดังขึ้นรอบตัว ต้วนมู่ฉีก็คลี่ยิ้มเบาๆ เหมือนรู้อยู่แล้ว แววตาที่มองหวังเป่าเล่อและกงเต๋านั้นลุกโชนไปด้วยความหวัง
กงเต๋าหรี่ตาเล็กลงกะทันหัน เขายังคงนิ่งเงียบขณะจ้องหวังเป่าเล่อด้วยความกระหายอยากจะประลองกันอีกสักตั้ง แต่ก็ต้องข่มใจเก็บความต้องการนั้นเอาไว้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งจะท้าทายอีกฝ่ายไปหมาดๆ
หวังเป่าเล่อรู้สึกยินดีและผ่อนคลายเมื่อสังเกตเห็นอาการตื่นตะลึงจากฝูงชน ก่อนจะประสานมือคำนับต้วนมู่ฉีและเหล่าเจ้าพนักงาน แล้วถอยหลังกลับไปอย่างยินดีปรีดา
กองทัพนักรบรีบนำศิลาทดสอบพลังก้อนใหม่เข้ามาทันที เพื่อให้คนอื่นสามารถทำการทดสอบต่อได้ และแล้วสัปดาห์แห่งการฝึกฝนก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้น
เหล่าผู้สังเกตการณ์ต่างจดจำใบหน้าของหวังเป่าเล่อและกงเต๋าได้จากพิธีทดสอบนี้ สำหรับเหล่าพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐคนที่เหลือ แม้พลังกายจะอยู่ในระดับขั้นธรรมดาทั่วไป แต่คาถาเวทและกระบวนท่าที่พวกเขามีอยู่แต่ไม่ได้สำแดงออกมา ล้วนแล้วแต่แก่กล้าพอๆ กับหวังเป่าเล่อและกงเต๋าเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่นท่าไม้ตายของเจ้าเยี่ยเหมิง ที่เคยทำให้หวังเป่าเล่อสู้รบปรบมือจนปวดเศียรเวียนเกล้ามาแล้ว
จึงเป็นเรื่องยากหากจะบอกว่าใครอ่อนแอหรือแข็งแกร่งกว่าใคร แต่ถึงอย่างนั้นหวังเป่าเล่อก็ตกเป็นเป้าความสนใจในพิธีทดสอบครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ต้วนมู่ฉีมองบรรดาหนุ่มสาวทั้งหลายตรงหน้าก่อนยืนขึ้น
“โชคร้ายนักที่พวกเจ้าเกิดมาในยุคนี้ เพราะต้องเผชิญหน้ากับพลังลึกลับอันหลากหลาย รวมถึงภัยอันตรายเกินจินตนาการจำนวนมาก อีกทั้งบททดสอบและความยากลำบากอันนับไม่ถ้วน…เจ้าอาจจะต้องประจันหน้ากับสรวงสวรรค์เข้าสักวันก็เป็นได้!
“แต่การได้เกิดมาในยุคกำเนิดวิญญาณนี้ ก็นับเป็นโชคชะตาและพรหมลิขิตของพวกเจ้าแล้วเช่นกัน ลูกหลานจะจดจำชื่อเสียงของพวกเจ้าไปอีกนานตราบนาน พวกเจ้าทุกคน…จะไม่ต่างจากยอดจอมยุทธ์ในสายตาของคนรุ่นหลัง! การเดินทางของพวกเจ้าจะไม่มีวันหยุดชะงัก…ไม่มีทางตันรอพวกเจ้าอยู่ เพราะพวกเจ้ากำลังก้าวเดินอยู่บนเส้นทางการฝึกตน บรรลุสัจธรรมแห่งเต๋า เพื่อมุ่งหน้าสู่ชีวิตอันเป็นอมตะ!
“ข้าจึงมักจะเรียกขานยุคกำเนิดวิญญาณนี้ว่า…ยุคแห่งการก้าวสู่วิถีเซียน!”
“อนาคตนั้นไร้ขีดจำกัด ต้วนมู่ฉีผู้นี้…จะขอเดินบนเส้นทางสายนี้ร่วมกับพวกเจ้า!” ต้วนมู่ฉีพูดจบพร้อมมองทุกคนด้วยสายตาลึกซึ้ง ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ฮึกเหิมไปด้วยแรงบันดาลใจ
คำแถลงของเขาเรียบง่าย ราวกับคลี่ม้วนภาพซึ่งแต่งแต้มด้วยสีสัน เป็นอนาคตอันยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงได้ แววตาของหวังเป่าเล่อลุกโชน คำว่า ‘ยุคแห่งการก้าวสู่วิถีเซียน’ นั้นจุดประกายให้ชายหนุ่มตื่นเต้นจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่
ต้วนมู่ฉีจากไปพร้อมกับรอยยิ้มท่ามกลางเสียงสูดลมหายใจด้วยความตื่นเต้นของฝูงชน
หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการฝึกวิชาอันน่าจดจำนี้แล้ว เหล่าพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐทั้งหลายก็แยกย้ายกันขึ้นเรือบินกลับสู่สถาบันหรือสำนักศึกษาของตนเองตามกันไป…
แผนพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นแห่งสหพันธรัฐเสร็จสิ้นลงแล้วอย่างเป็นทางการ!
สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ส่งเรือบินมาคุ้มกันบรรดาลูกศิษย์ของสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ หวังเป่าเล่อเริ่มเดินทางกลับพร้อมกับจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง และ เหล่าพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐอีกสองสามคน
ระหว่างทางกลับสำนักศึกษา หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนเดียวที่ตื่นเต้นที่จะได้กลับไป คนอื่นๆ เองก็รอให้กลับไปถึงไม่ไหวแล้ว หากประเมินจากรางวัลและชื่อเสียงที่ พวกเขาจะได้รับจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในฐานะพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐแล้ว พวกเขาทุกคนจะได้รับการเลื่อนขั้นทันทีที่กลับไปถึง!
เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนจะได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นรองเจ้าตำหนักที่ตนเองสังกัดอยู่อย่างแน่นอน!
จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะไม่ตื่นเต้นกับตำแหน่งใหม่นี้ หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัวเมื่อคิดถึงตำแหน่งรองเจ้าตำหนัก จนแทบอยากจะหายตัวไปโผล่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เสียตอนนั้น
ชายหนุ่มคิดภาพอนาคตตนเองกุมอำนาจในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้วก็อดลิงโลดใจไม่ได้ ก่อนเกิดความคิดว่าควรจะต้องหาพันธมิตรเอาไว้บ้าง ตามที่อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงระบุเอาไว้ หวังเป่าเล่อจำรายละเอียดจากตำราเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มเหลือบมองจั่วอี้ฟานซึ่งกำลังนั่งอยู่มุมหนึ่งของเรือบินด้วยดวงตาทอประกาย แล้วรีบเข้าไปโอบไหล่ทันที
“อี้ฟาน พวกเรากำลังจะขึ้นเป็นรองเจ้าตำหนักหลังจากกลับไปถึงแล้ว เจ้าตื่นเต้นบ้างรึเปล่า”
จั่วอี้ฟานมองอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายมีบางอย่างอยากจะบอก หากเป็นคนอื่นเขาคงไม่คิดจะถามกลับ แต่เมื่อเป็นหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจึงถอนหายใจลึกๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าอยากจะพูดอะไรก็ว่ามาเถิด”
“ฮ่าๆ อี้ฟานเอ๋ย เราเป็นสหายที่ดีต่อกันใช่หรือไม่ ถ้าคิดดูให้ดีแล้วเราเป็น สหายร่วมเหตุการณ์เฉียดตายกันมาหลายต่อหลายครั้งนัก อย่างไรเสีย เราก็อยู่ในยุคกำเนิดวิญญาณ ยุคแห่งการก้าวสู่วิถีเซียนเหมือนกัน ทั้งยังเป็นศิษย์แห่งเต๋าเหมือน กันอีก ต่อไปในภายภาคหน้า พวกเราต้องช่วยเหลือกันเอาไว้!” หวังเป่าเล่อพูดพลางทุบอกตัวเองอย่างฮึกเหิม
“ข้าคิดว่าเราควรจะรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรกันไว้ หากภายภาคหน้าพวกเราได้ขึ้นเป็นใหญ่ อนุชนรุ่นหลังจะได้ขนานนามเราได้ถูกต้องอย่างไรเล่า!”
จั่วอี้ฟานงุนงง ไม่เข้าใจความคิดพิสดารของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“เลิกมึนงงเสียเถิด ลองคิดดูดีๆ มัวแต่จมปลักอยู่ในสายตระกูลตัวเองไม่อาจเติมเต็มความต้องการของเจ้าได้อยู่แล้ว เช่นนั้นเจ้าจะลงแรงฝึกตนให้มีฝีมือโดดเด่นไปทำไมกันเล่า ตอนนี้เจ้าก็แค่คนๆ หนึ่งเท่านั้น แต่หากพวกเรารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เจ้าจะมีข้าและคนอื่นๆ ในกลุ่มของเราคอยหนุนหลังอยู่เสมอ ในเมื่อมีคนคอยสนับสนุนเจ้าเยอะถึงเพียงนี้ ต่อให้สายตระกูลของเจ้าลองดีมาทำให้ชีวิตเจ้าวุ่นวาย หรือหลอกใช้เจ้าเป็นเครื่องมืออีก พวกข้าจะถล่มคนพวกนั้นให้เจ้าเอง!” ตอนแรก หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงโอหัง ก่อนพลิกมาโน้มน้าวใจอีกฝ่ายแทน
จั่วอี้ฟานยังคงเงียบกริบ ไม่เคยคิดให้ความสำคัญกับประเด็นที่อีกฝ่ายยกมาพูดมาก่อน แต่คำพูดสุดท้ายของหวังเป่าเล่อกลับทำให้เขาเริ่มไขว้เขว เพราะมันคือ ความจริงที่เขาคอยวิ่งหนีมาตั้งแต่แรก เขาอดไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้พยักหน้ารับออกมา!
ชายหนุ่มพยักหน้า ส่วนหนึ่งก็เห็นแก่ข้อเสนอของหวังเป่าเล่อ แต่อีกส่วนหนึ่งน้อยๆ…ตัวเองก็อยากจะเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าด้วย ไม่สำคัญว่าสายตระกูลของเขามีอำนาจบารมีเหลือประมาณ หรือเป็นขุมอำนาจที่ไม่อาจจับต้องได้สักเพียงใด อย่างไรจั่วอี้ฟานยังคงมีความหวังเล็กๆ และรู้สึกอบอุ่นลึกซึ้งเมื่อนึกถึงอนาคตที่หวังเป่าเล่อสัญญากับเขาเอาไว้
หวังเป่าเล่อตบบ่าชายตรงหน้าเบาๆ อย่างตื่นเต้นหลังจากชักจูงสำเร็จ ก่อนมองเจ้าเยี่ยเหมิง แล้วเข้าไปนั่งเบียดใกล้ๆ จนแทบได้กลิ่นหอมฟุ้งจากร่างหญิงสาว
นางไม่กล่าวอะไรเมื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้ เพียงเหลือบมองอย่างเย็นชาเพื่อบอกเป็นนัยว่านั่งใกล้เกินไปแล้ว
การทำให้ผู้คนที่เข้ามาหารู้สึกไร้ค่าและน่าอายนั้นถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเจ้าเยี่ยเหมิง
อย่างไรก็ดี วิธีนี้…กลับใช้ไม่ได้ผลกับหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัวว่าหญิงสาวต้องการสื่ออะไรผ่านทางสายตา พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ขึ้น ก่อนพูดเสียงเบา “แม่นางเหมิงจ๋า…”
แม้ว่าเจ้าเยี่ยเหมิงจะเป็นคนสุขุมโดยธรรมชาติ แต่คำพูดนั้นก็ทำให้นางขนลุกและเย็นวาบไปทั้งตัว จนรู้สึกอึดอัด
“เอ้อ แม่นางเยี่ยเหมิง เราสองคนผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันนานแล้ว แถมยังรอดตายมาด้วยกันอีกต่างหาก เจ้ารู้รึเปล่าว่ามนุษย์เราต่างมีสามสิ่งในชีวิตที่ต้องผ่านพ้นให้ได้เหมือนๆ กัน นั่นคือ ความเป็นความตาย เหตุการณ์ชี้เป็นชี้ตาย และ ความทุกข์ยากลำบาก!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างตื่นเต้น
“พวกเราผ่านทั้งสามสิ่งนั้นมาด้วยกัน อี้ฟานและข้ากำลังสร้างกองกำลังพันธมิตร เจ้าเข้าร่วมกับพวกเรา และใช้ชีวิตข้างหน้าไปด้วยกันสิ ข้าจะจับมือเจ้าและเราจะเดินไปด้วยกัน” ชายหนุ่มพึงพอใจกับคำพูดที่ตนคิดว่าสละสลวยสุดๆ ก่อนจะหยิบขนมออกมากินอย่างอดไม่ได้ หลังจากเคี้ยวไปสองสามคำ ก็ส่งถุงขนมให้เจ้าเยี่ยเหมิงบ้าง
“นี่เป็นขนมร่วมสาบาน ถ้าเจ้ากิน แปลว่าเราจะร่วมสร้างครอบครัวไปด้วยกันกับข้า!”
สีหน้าของเจ้าเยี่ยงเหมิงดูแปลกประหลาด เพราะสำหรับนางแล้ว สามสิ่งที่ หวังเป่าเล่อพูดมานั้นเหมือนว่าจะเป็นอย่างเดียวกันไม่ใช่หรือ อีกทั้งประโยคสุดท้าย ฟังดูราวกับจะสื่อเป็นความหมายอื่นเสียมากกว่า แต่เพราะนางเป็นคนเก็บตัว ไม่มีมิตรในสำนักศึกษาเต๋าเท่าใด เรียกได้ว่าหวังเป่าเล่อเองก็เป็นสหายเพียงคนเดียวของนาง หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า แล้วหยิบขนมจากมืออีกฝ่ายมาเคี้ยวคำเล็กๆ ในที่สุด
หวังเป่าเล่อโบกมืออย่างตื่นเต้นหลังจากเห็นว่ามีสมาชิกหลักสองคนเข้าร่วมพันธมิตรแล้ว ในภายภาคหน้า สหพันธรัฐจะต้องมีคลื่นลูกใหม่อย่างพวกเขาเข้ามาปั่นป่วนอย่างไม่ต้องสงสัย
“มาช่วยกันคิดชื่อกลุ่มของพวกเราดีกว่า พวกเจ้าก็ต้องช่วยคิดด้วย…ตั้งตามลักษณะเฉพาะตัวของพวกเรา พวกเจ้าว่าอย่างไร พันธมิตรคนหน้าตาดีขั้นเทพ คิดว่าอย่างไร ชื่อนี้ฟังดูดีทีเดียว เหมาะเหม็งสุดๆ !” หวังเป่าเล่อหัวเราะลั่น คิดว่าตนเองนั้นมีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อเสียเต็มประดา
จั่วอี้ฟานตามไม่ทัน เอาแต่นั่งนิ่งเงียบ ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดไป…