บทที่ 312 รองเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักศึกษาเปลววิญญาณ
วันนั้นได้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้น ณ ท่าอากาศยานนครอาณานิคมดาวอังคาร เสียงนั้นดังมาจากท้องฟ้าก่อนจะสะท้อนก้องไปทั่วทั้งนคร
สายลมคลั่งพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงไปถึงสรวงสรรค์ขณะที่พลังอันท่วมท้นและชวนตื่นตะลึงแผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
เสียงระเบิดและพลังดังกล่าวทำเอาพนักงานท่าอากาศยานถึงกับผงะถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าขณะที่เรือบินลำหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอย่างเชื่องช้า
สิ่งนั้นอาจจะเรียกว่าเรือบินได้ไม่ถนัดนัก เพราะมันมีความยาวกว่าสามกิโลเมตร มีรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายปราการและส่องประกายเจิดจ้ามาแต่ไกล ใครก็ตามที่มองมันตรงๆ อาจมีอาการน้ำตาไหลเพราะตาพร่าได้
เรือบินลำนั้นดูคล้ายดวงอาทิตย์ขนาดย่อมๆ เสียมากกว่า!
สายตาทุกคู่ของพนักงานท่าอากาศยาน รวมถึงประชาชนผู้อาศัยในนครอาณานิคมดาวอังคาร และคนเดินถนนจำนวนมากต่างก็จับจ้องไปยังปราการแห่งดวงอาทิตย์นั้นทันทีที่มันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า!
“สวรรค์…สิ่งนั้นคืออะไรกัน”
“ดูเหมือนดาวตกเลย แต่ขนาดดูประหลาดไปเสียหน่อย…”
ณ ลานจัตุรัสสาธารณะ ภายในอาณาเขตของสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาแห่งเขต 12 หวังเป่าเล่อกำลังคุมจินตั้วจื่อและศิษย์อีกจำนวนหนึ่งฝึกตนอยู่ ชายหนุ่มเอง ก็ถึงกับชะงักเมื่อมองเห็นแสงสว่างจ้าส่องลงมาจากฟ้า
“ระเบิดหรือ” หวังเป่าเล่อตัวเกร็งขึ้นมาในบัดดล จินตั้วจื่อเงยหน้าขึ้นทันที เด็กหนุ่มจ้องมองครั้งหนึ่งแล้วยังไม่แน่ใจจึงมองดูอีกครั้งอย่างตั้งใจกว่าเดิม ก่อนจะพูดขึ้นอย่างมีโทสะ
“ท่านรองเจ้าสำนัก นั่นไม่ใช่ระเบิดขอรับ เจ้างั่งจินตั้วหมิงมาถึงแล้ว เขาชอบทำตัวเด่นจึงเดินทางมาที่นี่ด้วยป้อมปราการ หึ!”
“แน่อยู่แล้วว่าต้องไม่ใช่ระเบิด!” หวังเป่าเล่อถลึงตามองตอบ แต่แล้วก็ต้องลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จินตั้วหมิงเป็นพี่ชายเจ้าหรือ”
“ท่านรองเจ้าสำนักขอรับ ข้าดูแก่ขนาดนั้นเลยเชียวหรือ จินตั้วหมิงเป็นท่านลุงของข้า…เรานิสัยต่างกันอย่างสิ้นเชิงขอรับ เขาเป็นเพียงแค่คนเขลาที่มีทรัพย์มาก ในขณะที่ข้าฉลาดกว่าเขามากนักและไม่เคยใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเลยสักครั้งเดียว” จินตั้วจื่อ ทอดถอนใจ แล้วจู่ๆ ก็ดูภูมิใจในตนเองขึ้นมา
หวังเป่าเล่อจ้องมองจินตั้วจื่ออย่างแปร่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระแอมกระไอแล้วก็เงียบเฉยไป ชายหนุ่มเริ่มสงสัยสาเหตุการมาของจินตั้วหมิง พวกเขาเคยพบกัน ครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ชายหนุ่มแลกเปลี่ยนเอาอาวุธเวทมาเป็นของตน อาวุธเวทของจินตั้วหมิงผู้นี้ได้ช่วยเหลือหวังเป่าเล่อไว้อย่างมากบนเขตจันทราเวท
ใครๆ ต่างก็พากันมาดาวอังคาร ในเมื่อจินตั้วหมิงอยู่ที่นี่แล้ว ข้าเองก็ควรจะหาโอกาสไปพบเขาสักครั้ง หวังเป่าเล่อคิด จินตั้วจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ จ้องมองไปยังปราการลอยฟ้าและพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ท่านลุงของข้ามีความสนใจหลากหลาย สิ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษคือสตรีรูปงาม ข้าเดาว่าเหตุที่เขามาที่นี่ก็เพราะหมายปองสตรีบางคนบนดาวอังคารเป็นแน่ เพราะสำหรับคนที่มีอุปนิสัยเช่นเขา ดาวอังคารแห่งนี้ก็ไม่ต่างอันใดกับนรกหรอก”
หวังเป่าเล่อได้ยินเข้าพอดี แล้วจึงนึกไปถึงขบวนของจินตั้วหมิงที่เขาเห็นบน ดวงจันทร์ ชายหนุ่มทอดถอนใจใหญ่ รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะคิดไปว่า หากได้โอกาสกลับบ้านไปพบบิดาอีกครั้ง เขาจะถามว่าพวกเรามีญาติที่ขาดการติดต่อไปอยู่บ้างหรือไม่ อาจจะมีญาติฐานะร่ำรวยที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนอยู่ก็เป็นได้
โดยเฉพาะท่านปู่ของข้า ท่านอยู่ที่ใดกันนะ
หวังเป่าเล่อจำได้ว่าเคยถามคำถามนี้กับบิดาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก บิดาไม่ได้ตอบเขาว่าอย่างใดเลยในตอนนั้น…
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าแปลกยิ่งนัก เขารู้สึกถึงสิ่งไม่ชอบมาพากลบางประการ แล้วจู่ๆ ชายหนุ่มก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมาเฉยๆ
บางที…ข้าอาจจะมีท่านปู่ที่รวยมากๆ อยู่ก็เป็นได้!
ในขณะที่หวังเป่าเล่อจมจ่อมอย่างมีความสุขอยู่ในจินตนาการสุดประหลาดนั่นเอง ความโกลาหลก็กำลังก่อตัวขึ้นในหมู่ประชากรจำนวนหนึ่งของนครอาณานิคม ดาวอังคาร เรือบินจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาจากเขตต่างๆ ในนครดาวอังคารมุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยาน เรือบินทุกลำมีรูปลักษณ์เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน คือมีสีเงินเป็นมันราบเรียบ ทุกลำดูเหมือนมาจากฝ่ายการเมืองเดียวกันและดูแพงระยับ
เรือบินนับร้อยลำพุ่งทะยานไปยังท่าอากาศยาน ดูเหมือนว่าทุกลำจะมีสิทธิพิเศษที่ช่วยให้ผ่านระบบป้องกันของท่าอากาศยานและวงแหวนปราณไปได้ เหล่าเรือบินแล่นผ่านแนวป้องกันทั้งสองไปอย่างไม่อนาทรก่อนจะลงจอดบนจัตุรัสสาธารณะ ที่ใหญ่ที่สุดในท่าอากาศยาน จากนั้นผู้ฝึกตนนับพันก็ทยอยลงจากเรือบิน
ผู้ฝึกตนทุกคนสวมใส่เครื่องแบบเดียวกัน พวกเขากระจายตัวกันออกไปต้อน เรือบินลำอื่นออกจากพื้นที่เพื่อสร้างที่ว่างขึ้นมาเป็นบริเวณกว้างขวาง ก่อนจะมา ยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นทุกคนก็ก้มศีรษะลงและรอคอย
ประชาชนทั่วไปที่อยู่บนท่าอากาศยานเมื่อได้เห็นดังนั้นก็ถึงกันตะลึงงันไป เพราะพวกเขาจำเรือบินและเครื่องแบบของเหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มนี้ได้ ทุกคนต่างจ้องมองไปยังปราการลอยฟ้าที่ค่อยๆ แล่นลงจอดบนท่าก่อนจะอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“กลุ่มไตรจันทรา!”
“ผู้ฝึกตนกลุ่มไตรจันทราพวกนี้มารอต้อนรับคนในปราการแน่นอน คนที่อยู่ในปราการนั้นต้องเป็น…บุคคลสำคัญของกลุ่มไตรจันทรา!”
ปราการลอยฟ้าเคลื่อนที่เข้ามาอย่างแช่มช้าท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน รูปร่างภายนอกของปราการเริ่มจะชัดเจนขึ้น และไม่ช้าทุกคนก็เห็นว่าตัวปราการนั้นสร้างมาจากเพชรสั่งทำพิเศษ เพชรนั้นแข็งเป็นอย่างยิ่ง แข็งเสียยิ่งกว่าแร่เงินเวท เสียอีก นอกจากนั้นยังควบคุมทิศทางของปราณวิญญาณได้เป็นอย่างดี และด้วย เหตุนี้มันจึงเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการหลอมอาวุธเวท
ความทรงพลังของอาวุธเวทส่งผลให้วัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมมีราคาสูงมากขึ้นตามกัน การใช้วัตถุดิบล้ำค่าเช่นนี้สร้างปราการขนาดยักษ์แปลว่าราคาในการสร้างย่อมต้อง…แพงอย่างสุดจะจินตนาการ
ช่างเป็นความเลิศหรูอย่างหาที่สุดมิได้!
ปราการที่เข้ามาใกล้ทำให้ทุกคนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง แถมยังตาพร่าเลือนเพราะแสงสว่างจ้าที่ส่องลงมา ประชากรด้านล่างถึงกับต้องเพ่งสมาธิรวมปราณวิญญาณไปที่ดวงตาเพื่อป้องกันไม่ให้ตาบอดจากแสงสว่างที่มาจากแหล่งใหญ่ยักษ์นั้นไปเสียก่อน เปลือกนอกของปราการปกคลุมไปด้วยอักขราจารึกจำนวนมหาศาล ระหว่างบรรทัดของอักขราจารึกมีปืนใหญ่ที่สร้างมาจากศิลาวิญญาณชนิดพิเศษ
ไม่ใช่เพียงขนาดและรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นที่ทำให้ปราการดูน่าตื่นตะลึง แต่พลังการสังหารของมันก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากปราการใช้พลังทำลายสูงสุด ผลของมันจะต้องรุนแรงจนสะเทือนปฐพีอย่างแน่นอน!
ขณะที่ฝูงชนยังคงตื่นตะลึงอยู่ เสียงกัมปนาทก็สะท้อนก้องไปทั่วทั้งฟ้า ปราการขนาดเขื่องลงจอดในที่สุด ประตูทุกบานบนปราการเปิดออกและมีชาย ตัวใหญ่ยักษ์ในชุดคลุมสีดำนับสิบคนก้าวออกมา แต่ละคนมีพลังปราณในระดับสูง น่าประทับใจทีเดียว ตามหลังมาไม่ห่างคือ สาวรับใช้หน้าตาสะสวยทุกชาติพันธุ์นับ สิบนาง
และที่หางขบวนยืดยาวนั้นก็คือ จินตั้วหมิง!
จินตั้วหมิงไม่ได้ใส่กางเกงลายดอก แต่สวมแว่นตากันแดดทรงโก้และชุดสูททางการ ผมยาวสลวยประบ่าปลิวไหวไปตามสายลมเมื่อชายหนุ่มก้าวออกมา เขายิ้มอย่าง เกียจคร้าน หุ่นเชิดสามตัวเดินตามหลังเขามาติดๆ!
หุ่นเชิดชายหนึ่งตัว หุ่นเชิดหญิงหนึ่งตัว และหุ่นเชิดอสูรหนึ่งตัว!
หุ่นเชิดทุกตัวสวมชุดเกราะ คลื่นพลังปราณที่หลั่งไหลออกมาจากชุดเกราะเหล่านั้นแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าชุดเกราะนั้นทรงพลังกว่าเหล่าหุ่นเชิดมากนัก…
“พวกเราขอคารวะนายน้อย!” ทันทีที่จินตั้วหมิงก้าวออกมาพ้นปราการ ผู้ฝึกตนนับพันที่รายล้อมอยู่ก็พากันประสานมือและก้มต่ำเพื่อคารวะชายหนุ่ม เสียงทักทายนั้นดังกระหึ่มราวสายฟ้าฟาดก่อนจะสะท้อนก้องไปในอากาศ
จินตั้วหมิงดูจะคุ้นเคยกับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นอย่างดี เขาไม่ได้ตอบคำเพียงแต่เดินตามเหล่าผู้ฝึกตนนับพันไปขึ้นเรือบินอีกลำหนึ่ง จากนั้นเรือบินนับร้อยลำก็ออกตัวทะยานไปในอากาศก่อนจะเรียงแถวเป็นแนวป้องกันรอบเรือบินที่จินตั้วหมิงอยู่ และเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังเขต 12
ทุกคนที่เห็นขบวนเรือบินล้วนตกตะลึงกับความอลังการ ช่างเป็นภาพที่น่าเกรงขามเสียนี่กระไร ขบวนเรือบินเหล่านั้นดูราวกับเป็นศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ บินข้ามท้องฟ้าไป
“ความรวยนี่…ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง…” เสียงกระซิบกระซาบแทรกความริษยาดังแซ่ดขึ้นในหมู่คนที่เฝ้ามองฝูงเรือบินค่อยๆ บินห่างออกไป
ขณะกำลังเดินทางไปเขต 12 จินตั้วหมิงก็นอนพังพาบอยู่บนตักของผู้ฝึกตน สาวสวยสองนาง ปากก็เคี้ยวผลไม้ที่ฝานโดยผู้ฝึกตนหญิงอีกนาง เขาถอดแว่นตา กันแดดออกก่อนจะทอดสายตาไปมองชายวัยกลางคนท่าทางเคร่งขรึมที่กำลังรายงานสถานการณ์ให้เขาฟัง
“นายน้อยขอรับ ปีนี้กลุ่มไตรจันทราของเราทำกำไรที่นครอาณานิคมบน ดาวอังคารจากสินค้าเหล่านี้…”
“ผู้เฒ่าหลี่ ท่านเก็บไปรายงานบิดาของข้าเถอะ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้” จินตั้วหมิงหาวก่อนจะพูดขัดชายผู้นั้นขึ้นมากลางคัน
ชายวัยกลางคนเบ้หน้าก่อนจะโคลงศีรษะ เขาเงยหน้าขึ้นมองจินตั้วหมิง และตระหนักว่าระดับการฝึกตนของนายน้อยในตอนนี้อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น และแก่นรากฐานวิญญาณก็ถูกสร้างขึ้นมาจากวัตถุเวทเต็มชิ้น ไม่ใช่เศษเสี้ยววัตถุเวทแต่อย่างใด ชายวัยกลางคนเบนสายตาไปจ้องมองหุ่นเชิดที่ยืนอยู่ข้างกายจินตั้วหมิง ถอนใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปด้วยเสียงแผ่วเบา
“นายน้อย สถานการณ์การเมืองบนดาวอังคารขณะนี้วุ่นวายยิ่งนักและค่อนข้างเปราะบาง…ข้าคิดว่าเราน่าจะลดความเอิกเกริกลงเสียหน่อยนะขอรับ” แน่นอนว่า เขากำลังพูดถึงปราการหุ้มเพชร
จินตั้วหมิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา เขาดึงตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะพูดเสียงแผ่ว “บิดาข้าก็ใช้ชีวิตสมถะพออยู่แล้ว หากข้ายังคิดใช้ชีวิตเช่นนั้นด้วย กลุ่มไตรจันทราของเราจะมีปัญหาเอาได้…เราอย่าพูดถึงเรื่องนั้นกันเลย ผู้เฒ่าหลี่ ข้าขอให้ท่านช่วยรวบรวมเอกสารข้อมูลของหลี่อี้ ท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
ชายวัยกลางคนถึงกับคิดหนักเพราะประโยคส่วนแรกที่จินตั้วหมิงพูด ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนใจเมื่อได้ยินส่วนที่สอง เขาดึงเอาแผ่นหยกออกมาจากกระเป๋าด้วยสีหน้าแปลกแปร่งก่อนจะยื่นส่งไปให้จินตั้วหมิง
นัยน์ตาของจินตั้วหมิงลุกโชนขึ้น เขารับเอาแผ่นหยกมาและเริ่มอ่านมันทันที ดวงตาทั้งคู่ส่องประกายกล้าด้วยความตื่นเต้นหลังอ่านจบก่อนจะตบตักฉาด
หลี่อี้นี่ร้ายใช่เล่น นางเป็นสตรีที่ข้า จินตั้วหมิงผู้นี้หมายปอง นางเป็นถึงผู้ช่วยของรองเจ้านคร มีอนาคตที่สดใสรอนางอยู่
เพียงแค่คิดถึงหลี่อี้ เปลวไฟแห่งความปรารถนาก็ลุกโชนขึ้นในใจของจินตั้วหมิงทันที เมื่อเขาเห็นหลี่อี้ครั้งแรกในเขตจันทราเวท ก็ให้รู้สึกประทับใจในทรวดทรงอันชดช้อยของนาง เขารู้สึกตัวว่าหลงรักนางเข้าเสียแล้ว แม้เขาจะเคยรู้สึกเช่นนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่าสองร้อยครั้งในชีวิต แต่มันก็ไม่ได้ลดทอนความตื่นเต้นและคลั่งไคล้ลงไปแม้แต่น้อย
จินตั้วหมิงเดินทางมายังดาวอังคารก็เพื่อสารภาพรักกับหลี่อี้ แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงที่นี่ทั้งทีก็เห็นควรว่าต้องมาทำธุระทางการด้วยเช่นกัน ประจวบกับที่ ตำแหน่งรองเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณว่างลงพอดี เป็นผลให้ขณะนี้…เขาเป็นรองเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักศึกษาเปลววิญญาณ