Skip to content

อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า 2

  • by
Cover Aj For Web

Chapter 2

สำนักเซียน

เฟยเทียนเห็นก้อนหินระเบิดออกก็ตกตะลึงไป เฉินมู่อิ๋งยิ้มแหยๆ “เอ่อ…อาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจทำมันแตกนะเจ้าคะ”

“เอาเถอะๆ ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย” เฟยเทียนโบกๆ มือ “ขั้นพลังเจ้ายังไม่เสถียร ถ้าจะให้ดีเจ้าควรเข้าสำนักเซียนฝึกฝนพลังในร่างก่อน”

“เข้าสำนัก?” เฉินมู่อิ๋งเลิกคิ้วขึ้น เฟยเทียนเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะหินแล้วกวักมือ “มาๆ เจ้ามานั่งนี่ก่อน”

“เจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ เดินไปนั่งตรงข้ามอาจารย์ นางยื่นมือไปยกกาน้ำชา รินชาให้อาจารย์ “น้ำชาเจ้าค่ะ”

“อืม” เฟยเทียนยกชาขึ้นจิบ “เจ้านี่ช่างเอาอกเอาใจคล้ายเฟยเหยานัก”

“จริงซิ พี่สาวเฟยเหยาล่ะเจ้าคะ” เฉินมู่อิ๋งถาม เฟยเทียนวางถ้วยชาลงแล้วตอบ “เฟยเหยาตายไปตั้งแต่ 200 กว่าปีก่อนแล้ว นางเกิดใหม่เป็นเชื้อสายเทพมาร ตอนนี้กำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ตรงชายแดนเทพมารน่ะ”

“เชื้อสายเทพมาร?” เฉินมู่อิ๋งเลิกคิ้วขึ้น เฟยเทียนจึงอธิบายว่า “เดิมทีนางเป็นเชื้อสายระหว่างเทพกับมารน่ะ จิตของนางผ่านการเกิดตายมาหลายครั้งแล้ว จนกระทั่งชาติที่แล้วนางได้เกิดในครรภ์เทพที่มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อผ่านด่านเคราะห์น่ะ เรื่องนี้ยิ่งพูดยิ่งยาว เอาเป็นว่าเจ้ารู้แค่ว่านางเป็นเชื้อสายเทพมารก็พอ”

(อยากรู้เรื่องของเฟยเหยา อ่านเรื่องราวของนางได้ในเรื่อง หงส์คืนแค้น นะคะ)

“อ่า…เจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งก็ไม่ถามอะไรต่อ เพราะสิ่งที่นางสนใจคือสำนักเซียนมากกว่า เฟยเทียนจึงพูดต่อว่า “มาพูดเรื่องสำนักเซียนเถอะ”

เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ เฟยเทียนจึงบอกว่า “สำนักเซียน ก็คือสำนักที่ก่อตั้งโดยเซียนที่มีพลังขั้นสูง ที่โลกนี้มีสำนักเซียนราวๆ ห้าสิบหกสิบสำนักกระมัง แต่สำนักใหญ่ๆ มีแค่ 3 สำนัก ก็มี สำนักหมื่นดารา สำนักเทียนเต๋า แล้วก็สำนักซ่อนจันทร์”

นางหยุดพูดแล้วยกชาขึ้นจิบ จากนั้นก็พูดต่อ “สำนักซ่อนจันทร์ เจ้าห้ามเข้าเด็ดขาด”

“อ้าว” เฉินมู่อิ๋งอ้าปากค้างอย่างสงสัย เฟยเทียนจึงบอก “สำนักนี้รับแต่ศิษย์หญิง แต่เจ้าสำนักเป็นบุรุษ ข้าได้ยินว่าศิษย์สำนักนี้ต้องบำเพ็ญคู่กับเจ้าสำนัก เพราะงั้น เจ้าห้ามเข้าสำนักนี้เป็นอันขาด”

“บำเพ็ญคู่กับเจ้าสำนัก?” เฉินมู่อิ๋งขมวดคิ้ว เฟยเทียนโบกๆ มือ “เจ้าก็อย่าไปอยากรู้นักเลย”

เฉินมู่อิ๋งเห็นอาจารย์ไม่อยากเล่าก็ไม่ถามต่อ แม้จะยังไม่รู้ว่าคำว่า ‘บำเพ็ญคู่’ คืออะไร? เป็นวิชาแบบไหนกัน?

“สำนักเทียนเต๋า ก็เน้นการฝึกเต๋าอย่างเดียว สำนักนี้ข้าคิดว่าไม่ค่อยเหมาะกับเจ้าเท่าไหร่ เช่นนั้นเจ้าก็เข้าสำนักหมื่นดาราดีที่สุด สำนักนี้ข้าได้ยินว่าฝึกฝนพลังหลากหลาย มีวิชาเซียนมากมายนัก” เฟยเทียนบอก เฉินมู่อิ๋งกะพริบตาปริบๆ “แล้วอาจารย์สอนข้าไม่ได้หรือ?”

“พลังเซียนกับพลังเทพมารต่างกัน ข้าเป็นเชื้อสายเทพมารรู้แต่วิธีการฝึกพลังเทพมาร เรื่องนี้ข้าสอนเจ้าไม่ได้จริงๆ แต่ข้ามีตำราหลอมโอสถเซียนอยู่นะ ในเมื่อเจ้าเป็นเซียนก็เอาตำรานี้ไปศึกษาเถอะ อ่อ ตำราหลอมอาวุธเซียนข้าก็มี” เฟยเทียนบอกพลางเอาตำรา 2 ม้วนออกมาจากกำไลคุนเฉียน ตำรา 2 ม้วนพลันปรากฏอยู่ในมือนาง นางยื่นให้เฉินมู่อิ๋ง “เอ้า”

เฉินมู่อิ๋งรับตำรา 2 ม้วนนั้นมาเปิดอ่าน นางเปิดดูตำราโอสถเซียนก่อน เปิดดูได้นิดหนึ่งก็ปิดไป แล้วเปิดตำราหลอมอาวุธเซียนดู นางดูนิดหนึ่งแล้วก็เก็บตำราทั้งสองม้วนไว้ในแหวนคุนเฉียน จากนั้นก็กุมมือ “ขอบคุณเจ้าค่ะ บุญคุณนี้ข้าจะไม่ลืมไปชั่วชีวิตเลยเจ้าค่ะ”

“โอ้! พูดถึงสำนักหมื่นดารา ข้าได้ยินว่าอีก 5 วัน สำนักนี้จะเปิดรับศิษย์ในรอบ 3 ปีนี่นา เจ้าจะมัวช้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”

เฟยเทียนพูดขึ้นมา “สำนักนี้เปิดรับศิษย์ 3 ปี 1 ครั้ง หากเจ้าพลาดโอกาสนี้ไปต้องรออีก 3 ปีเชียวนะ ไปๆ ข้าจะไปส่งเจ้าที่ชายแดนเซียน”

นางบอกแล้วก็ลุกขึ้นยืน เฉินมู่อิ๋งรีบลุกตาม เฟยเทียนเอากระบี่ราชันมารออกมา กระบี่สีดำเลื่อมพลันขยายใหญ่ขึ้นจนคนสามารถขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนกระบี่ได้เลย นางก้าวขึ้นไปนั่งบนกระบี่ เฉินมู่อิ๋งก็รีบขึ้นไปนั่งด้วย จากนั้นเฟยเทียนก็บังคับกระบี่ให้บินออกไป ฟิ้ว!

เสียงกระบี่แหวกอากาศออกไปราวกับลูกธนูถูกยิงออกจากคันศร เฉินมู่อิ๋งไม่รู้ว่าเร็วขนาดไหน นางรู้แต่ว่าทิวทัศน์รอบด้านกลายเป็นมองไม่ชัด ทุกอย่างรอบด้านผ่านไปไวยิ่งราวกับดาวตกอย่างไรอย่างนั้น รอบๆ ตัวมีหมอกดำล้อมรอบ นางยื่นมือไปคิดจะยื่นออกไปนอกหมอกดำ เฟยเทียนที่นั่งอยู่ข้างหน้ารีบหันไปดุ “นังหนู! อย่ายื่นมือออกไปซี้ซั้ว ไม่งั้นมือเจ้าได้กุดแน่”

“อ่า…” เฉินมู่อิ๋งหดมือกลับมาทันที เฟยเทียนหันหน้าไปบังคับกระบี่ให้พุ่งไปอย่างเร่งรีบ หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์นั่งอยู่บนกระบี่เงียบๆ

ตอนที่กระบี่ราชันมารเพิ่งพุ่งจากไป บนยอดเขาก็มีชายคนหนึ่งกับเด็กชายคนหนึ่งเพิ่งจะเดินขึ้นมาบนยอดเขา เด็กชายชี้มือไป “ท่านพ่อ นั่นท่านแม่ไปไหนรึขอรับ?”

“ไม่รู้ซิ” เทพกู่เสียนฟางส่ายหน้าแล้วจูงลูกชายเข้าบ้าน “ไปๆ เอาของไปเก็บก่อน เดี๋ยวพ่อจะทำเกี้ยวต้มที่เจ้าชอบให้กิน”

“เย้ๆ” เด็กชายดีใจรีบวิ่งเข้าบ้านไปทันที เทพกู่เสียนฟางเดินตามไป ในกระบุงบนหลังของเขายังมีเด็กทารกอีกคนหนึ่งนอนอยู่ในนั้น นี่คือลูกคนที่ 2 ของเขานั่นเอง เขาอยากให้ฮูหยินของเขาได้พักผ่อนบ้างจึงอาสาพาลูกไปซื้อของในเมืองด้วยกัน

กระบี่ราชันมารพุ่งแหวกอากาศไปดูเหมือนช้าแต่ความจริงแล้วเร็วมาก ด้วยสายตาธรรมดาของมนุษย์ทั่วไปไม่อาจมองทัน หากพวกเขาเงยหน้ามองท้องฟ้าก็จะเห็นเพียงเงาดำผ่านฟ้าไปจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งในพริบตาเดียว จนกระทั่งกระบี่หยุดกึกตรงชายแดนเซียน มันร่อนลงไปบนพื้นดิน เฟยเทียนก็หยิบหยก 2 ชิ้นออกมายื่นให้เฉินมู่อิ๋ง “นังหนู ก้อนนี้เป็นหยกอาคมเคลื่อนย้าย ส่วนก้อนนี้มีแผนที่แดนเซียนอยู่ เจ้ากำไว้ในมือก็จะเห็นแผนที่ทั้งหมดของแดนเซียน เอาล่ะ ข้าส่งเจ้าได้เท่านี้แหละ หากข้าไปส่งเจ้าถึงสำนักเกรงว่าจะทำให้อาคมแดนเซียนพังซะก่อน ข้าส่งเจ้าตรงนี้แหละ”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เฉินมู่อิ๋งรับหยก 2 ก้อนนั้นมาแล้วเก็บไว้ในแหวนคุนเฉียน แล้วนางก็กุมมือคารวะอาจารย์อีกครั้ง “อาจารย์เจ้าคะ ขอบคุณท่านมากจริงๆ”

“ช่างเถอะๆ อา…จริงซิ รูปโฉมเจ้าอย่าลืมปกปิดล่ะ ไม่เช่นนั้นรูปโฉมเช่นนี้จะนำภัยมาให้เจ้า” เฟยเทียนเตือนอย่างหวังดี เฉินมู่อิ๋งยิ้มรับอย่างซาบซึ้งใจ “เจ้าค่ะ”

“เอาล่ะ เจ้ารีบไปเถอะ หากช้าเกินไปต้องรออีก 3 ปีเชียวนะ” เฟยเทียนบอก เฉินมู่อิ๋งลุกขึ้นก้าวออกจากกระบี่ แล้วกุมมือคารวะอาจารย์อย่างซาบซึ้งใจยิ่ง เฟยเทียนมองพลางยิ้มให้แล้วบังคับกระบี่ให้ลอยขึ้น จากนั้นก็พุ่งหายลับไปในพริบตา เฉินมู่อิ๋งมองตามอย่างตะลึง ความเร็วของกระบี่นั่นเร็วมากจริงๆ พริบตาเดียวก็ไม่เห็นกระบี่ดำนั่นอีกแล้ว พลังแข็งแกร่งเช่นนั้นทำให้นางเกิดความรู้สึกฮึกเหิมอยากแข็งแกร่งเหมือนอาจารย์เฟยเทียนขึ้นมา นางคิดๆ แล้วก้าวเดินเข้าไปในแดนเซียน

เมื่อเข้าไปในแดนเซียนแล้วนางก็เอาหยกแผนที่ออกมากำไว้ในมือ พลัน! ในหัวเกิดภาพขนาดใหญ่มหึมาขึ้น นางดูภาพทีละส่วน…ทีละส่วน บนภาพมีจุดสีดำจุดหนึ่ง จุดนั้นเป็นเงาคนๆ หนึ่ง นางยื่นมือไป เงานั้นก็ยื่นมือออกไปเช่นกัน นางยื่นมือไปข้างหลัง เงานั้นก็ยื่นมือไปข้างหลังเช่นกัน ทำให้นางรู้ว่าเงาดำบนภาพก็คือตัวนางเอง เงานั้นแทนตัวนางบนแผนที่ใหญ่มหึมานั้น บนแผนที่มีชื่อบอกสถานที่ต่างๆ อย่างคร่าวๆ ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ใหญ่ๆ เช่นทะเลสาบต้าเทียน ป่าปีศาจ สำนักซ่อนจันทร์ สำนักเทียนเต๋า สำนักหมื่นดารา แล้วก็สำนักใหญ่อันดับสองและสามอีกหลายๆ สำนัก ฯลฯ

นางมองแผนที่นั้นแล้วมองตำแหน่งของสำนักหมื่นดาราที่อยู่ติดกับทะเลสาบต้าเทียน ระยะทางดูแล้วน่าจะห่างไกลมากทีเดียวจากจุดที่นางอยู่ นางคลายมือออกภาพแผนที่ก็หายไป “คงต้องรีบไปแล้ว อาจารย์บอกว่า 5 วัน”

นางเก็บหยกแผนที่ไปแล้วรีบแปลงโฉมใบหน้าตัวเองให้กลายเป็นใบหน้าบุรุษธรรมดาๆ ทันที จากนั้นก็ใช้มายาลวงตาทำให้รูปลักษณ์ที่คนอื่นมองเห็นกลายเป็นบุรุษ ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่านางใช้มายาลวงตาเองได้อย่างไร มันเป็นความรู้สึกที่แค่คิดมายาลวงตาก็คลุมร่างนางแล้ว ก่อนหน้านี้นางใช้มายาลวงตาต้องใช้ผ่านไพลินวิญญาณ แต่ตอนนี้คล้ายกับว่าความสามารถของไพลินวิญญาณกลายเป็นของนางไปแล้ว นางเอากระจกมาส่องๆ ดูความเรียบร้อยของการปลอมรูปโฉม เห็นว่าเงาสะท้อนในกระจกเป็นบุรุษคนหนึ่งหน้าตาสามัญก็ยิ้มอย่างพอใจ เห็นคราบเลือดบนอาภรณ์ก็ส่ายๆ หน้า “อา…ข้ายังไม่ได้เปลี่ยนอาภรณ์เลยนี่นา”

เขาหยิบอาภรณ์ชุดใหม่ออกมาจากแหวนคุนเฉียนแล้วรีบเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่อย่างไวยิ่ง ส่วนอาภรณ์ชุดเก่าก็เก็บใส่แหวนคุนเฉียนไป เขามองดูเงาตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วเก็บของต่างๆ จากนั้นก็เร่งเดินทาง

ขณะเดียวกัน มีเซียนกลุ่มหนึ่งบินเข้าใกล้ทะเลสาบกังเยว่ พวกเขาถึงกับประหลาดใจที่เห็นต้นไม้ในบริเวณนั้นมีแต่กิ่งก้าน ต้นโกร๋นไร้ใบ จนดูคล้ายต้นไม้ในฤดูใบไม้ร่วงไม่มีผิด “หือ?”

เซียนคนหนึ่งหยุดชะงักกึก กระบี่ลอยอยู่กลางอากาศ เขามองต้นไม้โกร๋นๆ เหล่านั้นอย่างประหลาดใจ “เหตุใดต้นไม้ถึงเป็นเช่นนั้นเล่า?”

“ศิษย์พี่ มีอะไร…” เซียนอีกคนเอ่ยปากถามยังไม่ทันจบก็ชะงักไปเมื่อเห็นต้นไม้โกร๋นๆ เบื้องล่าง “หือ?”

เซียนคนแรกร่อนกระบี่ลงไป เซียนคนที่สองก็ตามลงไป เซียนคนอื่นๆ ที่ตามหลังมาล้วนประหลาดใจมาก พวกเขาตามศิษย์พี่ใหญ่ไป “ศิษย์พี่ เหตุใดที่นี่ถึงกลายเป็นเช่นนี้ล่ะ?”

ศิษย์พี่คนนั้นยืนมองต้นไม้ที่ใบร่วงหมดต้นอย่างงุนงง ศิษย์น้องก็มองๆ เช่นกัน พวกเขาจำได้ว่าเมื่อวานตอนผ่านไปบริเวณนี้ยังไม่เป็นเช่นนี้เลยนี่นา ศิษย์น้องคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “เมื่อวานนี้ข้ายังเห็นว่ามันยังเขียวๆ อยู่เลย เหตุใดวันนี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้แล้วล่ะ?”

“นั่นซิศิษย์พี่ เมื่อวานพวกเราผ่านไปมันก็ยังไม่เป็นเช่นนี้เลยนี่” ศิษย์น้องอีกคนพูดขึ้นบ้าง ศิษย์พี่มองๆ แล้วยื่นมือไปจับต้นไม้ต้นหนึ่ง พลัน! ต้นไม้ต้นนั้นก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงลงมาทันที

“เหวอ!” พวกเขาร้องตกใจแล้วรีบขี่กระบี่บินขึ้นฟ้าทันที เมื่อลอยอยู่กลางอากาศพวกเขาก็มองลงไปเบื้องล่างที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย “นี่มัน!”

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”

“เหมือนกับว่ามันถูกดูดพลังชีวิตหายไปจนตายอย่างนั้นแหละ” ศิษย์พี่พูดขึ้นมา พวกศิษย์น้องหน้าเปลี่ยนสีกันเลยทีเดียว “ใครกันที่ทำเช่นนี้ได้?”

ศิษย์พี่มองอย่างครุ่นคิดแล้วขี่กระบี่บินไปเบื้องหน้า พวกศิษย์น้องก็ขี่กระบี่บินตามไป จนพวกเขาลอยอยู่เหนือทะเลสาบกังเยว่ พวกเขาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง “น้ำแห้งหมดแล้ว!”

ศิษย์พี่ร่อนกระบี่ลงไปก้นทะเลสาบที่ไม่มีน้ำสักหยด เหลือแต่พื้นทรายแห้งผากราวกับทะเลทรายอย่างไรอย่างนั้น พวกศิษย์น้องก็ร่อนกระบี่ตามลงไป ศิษย์น้องคนหนึ่งใช้มือกอบทรายขึ้นมา เม็ดทรายไหลผ่านมือเขาไป ไม่มีความชุ่มชื้นหลงเหลือแม้แต่น้อย มันแห้งผากราวกับทรายในทะเลทราย “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ? เมื่อวานข้ายังจำได้ว่ามีน้ำอยู่เลย”

ศิษย์พี่ส่ายหน้า เขาก็ไม่รู้เช่นกัน เรื่องนี้เกินกว่าปัญญาของเขาจะขบคิดได้ เขามองๆ แล้วชวนว่า “รีบกลับสำนักไปรายงานอาจารย์เถอะ”

“อื้ม” พวกศิษย์น้องพยักหน้าคนละทีสองที พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ จู่ๆ สถานที่ก็เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน จากป่าทึบกลายเป็นป่าแห้งตาย ทะเลสาบกลายเป็นทะเลทราย นี่มันช่างน่าหวาดหวั่นจริงๆ พวกเขารีบขี่กระบี่บินขึ้นแล้วมุ่งหน้ากลับสำนักอย่างเร่งรีบ ทะเลสาบกังเยว่เกิดการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เจ็ดแปดปีก่อนแล้ว น้ำในทะเลสาบลดลงเรื่อยๆ ทุกปีๆ มาคราวนี้น้ำเหือดแห้งไปหมด ป่ารอบๆ ก็แห้งตาย

พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ก็มีหลายสำนักส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ มาตอนนี้ทะเลสาบกังเยว่เปลี่ยนไปเช่นนั้นย่อมสร้างความแตกตื่นไปทั่วแน่นอน

เฉินมู่อิ๋งเร่งเดินทางอย่างเร่งรีบ ขณะเดียวกันก็คิดถึงครอบครัวด้วย แต่เวลาผ่านไป 200 กว่าปีแล้ว แน่นอนว่าท่านพ่อ น้องชาย ย่อมไม่มีชีวิตอยู่แล้ว คนอื่นๆ ก็ด้วย ดังนั้นสิ่งที่เขาควรทำก็คือเข้าสำนักเซียนฝึกฝนพลังก่อน แล้วค่อยกลับไปดูที่แคว้นซินหยางทีหลังก็ได้ บางทีที่นั่นอาจจะเหลือลูกหลานตระกูลเฉินอยู่ก็ได้ แต่ถึงจะเหลืออยู่เขาก็ไม่รู้สึกผูกพันสักเท่าไหร่ สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้คือ หลังจากท่านแม่ท่านพ่อตายไปแล้วจะไปเกิดใหม่อย่างไร? ความคิดนี้ติดอยู่ในใจเขาจนเขาอยากหาคำตอบให้ได้ วัฏจักรเกิดตายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมต้องเกิด? ทำไมต้องตาย? มันเป็นคำถามที่เขาอยากหาคำตอบยิ่งนัก บางทีสำนักเซียนอาจมีคำตอบให้เขาก็ได้

หลังจากสำนักเซียนรู้ข่าวทะเลสาบกังเยว่ก็ส่งคนไปตรวจสอบ คนจากหลายๆ สำนักพากันไปที่ทะเลสาบกังเยว่เป็นกลุ่มๆ พวกเขาเห็นทะเลสาบแห้งผาก เห็นป่ารอบๆ ทะเลสาบที่เปลี่ยนไปราวกับกลายเป็นป่าผีสิง ก็มึนงงจนขบคิดอย่างไรก็ขบคิดไม่ออกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? รู้แต่ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทะเลสาบกังเยว่เปลี่ยนไปน่าจะมีคนหรืออะไรสักอย่างดูดกลืนพลังชีวิตจากทะเลสาบไป พวกเขาสรุปออกมาเช่นนี้ ทำให้เซียนทั้งหลายรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก หากเป็นคน คนๆ นั้นเป็นใคร? มีพลังสูงส่งขนาดไหน? หากเป็นของวิเศษ จะต้องเป็นของวิเศษที่พลิกฟ้าพลิกดินได้เลยทีเดียว

ส่วนต้นตอที่ทำให้ทะเลสาบกังเยว่เปลี่ยนไปเช่นนั้นยังคงวิ่งอยู่ในป่ามุ่งหน้าไปสำนักหมื่นดาราอย่างเร่งรีบ เฉินมู่อิ๋งแทบไม่หยุดพักเลย เขาวิ่งๆๆ หยุดพักกินเสบียงแห้งที่เก็บไว้ในแหวนคุนเฉียนเป็นระยะๆ กินเสร็จก็รีบออกวิ่งต่อ เขาเคยลองใช้ม่านแสงสีน้ำเงินช่วยเดินทางแล้ว แต่กลับรู้สึกว่ามันลอยไปช้ากว่าที่เขาวิ่งไปเองเสียอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้มันอีก อาศัย 2 ขาของตัวเองวิ่งไปดีกว่า

เฉินมู่อิ๋งวิ่งอยู่ในป่าทึบ ผ่านที่ราบทุ่งหญ้า ผ่านภูเขาสูงชัน บางคราวมีสัตว์ร้ายไล่ตามเขา แต่เขาก็ไม่อยากเสียเวลากับมันจึงตัดสินใจวิ่งหนีมันให้เร็วที่สุด จนสลัดพวกมันหลุดไปได้ พวกมันวิ่งตามจนเหนื่อยหอบวิ่งไม่ไหวอีกก็นอนหมอบหอบลิ้นห้อยแฮ่กๆ ได้แต่มองเหยื่ออันโอชะหนีไปไกลลิบ เฉินมู่อิ๋งวิ่งมา 4 วันติดๆ แล้ว เขาหยุดพักชั่วขณะแล้วเอาหยกแผนที่ออกมาดู เห็นว่าจุดที่ตัวเองอยู่กับสำนักหมื่นดาราอยู่ห่างกันไม่มากแล้ว แต่เทียบจากระยะทางที่ผ่านมาแล้วคาดว่าหากยังวิ่งสุดกำลังเช่นนี้ต่อไปอีก คงไปถึงสำนักในอีก 2 วันกระมัง เขาไม่รู้ว่าสำนักหมื่นดาราเปิดรับศิษย์กี่วัน อาจจะเป็นวันเดียวก็ได้ “เช่นนั้นข้าต้องรีบแล้ว”

เขาเก็บหยกแผนที่ไปแล้วเอาเสบียงแห้งยัดใส่ปากเคี้ยวเร็วๆ จากนั้นก็ดื่มน้ำตามแล้วก็ออกวิ่งอีกครั้ง ขณะที่เขาวิ่งจากจุดที่หยุดพักเมื่อกี้ ก็มีหมาป่าตัวใหญ่กระโจนลงตรงที่เขายืนเมื่อกี้ เขาได้ยินเสียงตุบ! จึงหันไปมองดู เห็นหมาป่าตัวหนึ่งขนเป็นสีเทา ตัวมันใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไปสัก 3 เท่าได้ มันมองมาที่เขาราวกับมองเหยื่อ ทำให้เขาหันหน้ากลับไปแล้วรีบวิ่งหนีทันที หมาป่าตัวนั้นก็พุ่งตามไปทันทีเช่นกัน เฉินมู่อิ๋งวิ่งสุดกำลังเลยทีเดียว เขาไม่อยากเสียเวลากับหมาป่าตัวนี้ เวลาของเขายิ่งมีจำกัดอยู่นะ!

หมาป่าวิ่งไล่กวดไป มันมองเหยื่ออย่างหิวโหย มันไม่เชื่อหรอกว่าเหยื่อของมันจะวิ่งหนีมันไปได้ “แฮ่—”

เฉินมู่อิ๋งวิ่งหนี หมาป่าวิ่งไล่ หากใครได้เห็นภาพนี้คงตกตะลึงจนตาค้างแน่ นั่นคือหมาป่าวายุเชียวนะ ฝีเท้ามันไวราวกับลมพายุ ขนาดเซียนระดับสูงยังวิ่งหนีมันไม่ทันเลย แต่เฉินมู่อิ๋งกลับวิ่งหนีมันได้ อีกทั้งระยะห่างยิ่งทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ เขารู้สึกว่ายิ่งวิ่งฝีเท้าตัวเองก็ยิ่งเร็วขึ้นอีก เร็วขึ้นเรื่อยๆ หากเทียบกับเมื่อ 4 วันก่อน ความเร็วของเขาคงเพิ่มเป็น 3 เท่าตัวเลยกระมัง อีกทั้งก็ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ เขาวิ่งฉิวไปเรื่อยๆ ทิ้งห่างหมาป่าตัวใหญ่นั่นไปเรื่อยๆ หมาป่าวายุวิ่งตามไปจนกระทั่งถึงชายขอบเขตที่อยู่ของมัน มันก็ไม่กล้าวิ่งตามอีก ได้แต่มองเหยื่อหนีไปจนหายลับไป มันเงยหน้าหอนอย่างแค้นใจ “โบร๋ววววว—”

เฉินมู่อิ๋งหันไปมองแวบหนึ่งเห็นมันไม่วิ่งไล่แล้วเขาก็โล่งใจ แต่ฝีเท้าก็ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย ยังคงวิ่งต่อไปอีก เพราะเวลากระชั้นชิดยิ่งนัก เขาไม่อยากพลาดโอกาสแล้วต้องรอไปอีก 3 ปีหรอกนะ! ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องเข้าสำนักหมื่นดาราให้ได้!

ในที่สุดเฉินมู่อิ๋งก็วิ่งมาถึงตีนเขาของสำนักหมื่นดารา ตรงตีนเขาของสำนักเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง เมืองนี้มีชื่อว่าซ่อนดารา เฉินมู่อิ๋งมองป้ายหินแกะสลักตรงข้างประตูเมืองแล้วมองเข้าไปในเมืองซ่อนดารา เขาเห็นผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา เขามองๆ แล้วเดินเข้าไป

“หยุด!” ทหารหน้าประตูยื่นทวนยาวมาขวางทาง เฉินมู่อิ๋งชะงักกึก หันไปมองทหารคนนั้น ทหารแบมือ บอกน้ำเสียงดุดันว่า “จะเข้าเมืองก็ต้องจ่ายค่าผ่านทาง”

“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งจึงล้วงอกเสื้อหยิบถุงเงินออกมาพลางถามว่า “ค่าผ่านทางเท่าไหร่หรือพี่ชาย?”

“5 หยก” ทหารกางนิ้วตรงหน้าเฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งขมวดคิ้ว “5 หยก?”

เขาเก็บถุงเงินใส่อกเสื้อแล้วล้วงเอาหยกเขียวออกมาจากแหวนคุนเฉียน เมื่อเขาดึงมือออกมาจากอกเสื้อก็มีหยกเขียว 5 ชิ้นอยู่ในมือ ทหารมองหยกเขียวเหล่านั้นแล้วบอกว่า “ไม่ใช่หยกจากแดนมนุษย์ แต่เป็นหยกปราณฟ้าดิน”

เฉินมู่อิ๋งขมวดคิ้ว ขณะนั้นเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป หนึ่งในคนกลุ่มนั้นยื่นถุงผ้าให้ทหารอีกคน ทหารคนนั้นรับถุงผ้าแล้วเทของข้างในออกมานับ เฉินมู่อิ๋งเห็นหินสีขาวมีแสงวิบวับๆ อยู่ข้างใน จึงเข้าใจแล้วว่า หินสีขาวมีแสงวิบวับนั่นก็คือ ‘หยกปราณฟ้าดิน’ นั่นเอง เขาจึงส่ายหน้าบอกทหารที่อยู่ตรงหน้าว่า “ข้าไม่มีหยกปราณฟ้าดินหรอกพี่ชาย”

“ไม่มีหยกก็เข้าเมืองไม่ได้” ทหารบอกน้ำเสียงดุดัน เฉินมู่อิ๋งจึงถอยไป เขาถอยไปด้านข้างแล้วมองกำแพงเมืองสูงใหญ่ เหนือกำแพงเมืองขึ้นไปเขาเห็นคล้ายอากาศเคลื่อนไหวเหมือนม่านโปร่งบาง เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเรียกว่า ‘อาคม’ เขาเห็นแค่มันมีแสงวิบวับๆ กระเพื่อมไปมา เขาเบนสายตากลับมามองกลุ่มคนที่กำลังเข้าเมือง เห็นทหารนับๆ หยกปราณฟ้าดินแล้วก็ปล่อยให้คนกลุ่มนั้นเข้าไป

“นี่น้องชาย หากเจ้าไม่มีหยก แต่ถ้าเจ้ามีโอสถหรืออาวุธเซียนก็เอามาขายให้ข้าได้นะ ข้าจะรับซื้อราคาสูงที่สุดเลย” ทหารบอกเสียงเบา เฉินมู่อิ๋งคิดๆ อันที่จริงเขาก็มีอาวุธเซียนอยู่อย่างหนึ่งนะ ตอนที่ผ่านภูเขาสูงชันเขาเจอกับโครงกระดูกร่างหนึ่งนั่งพิงอยู่กับต้นไม้ โครงกระดูกร่างนั้นถูกรากไม้ชอนไชจนแทบจะรวมเป็นส่วนหนึ่งกับต้นไม้เลยทีเดียว ในมือโครงกระดูกมีกระบี่เซียนอยู่เล่มหนึ่ง เขาจึงเก็บกระบี่เซียนเล่มนั้นมา ก็คนตายไปแล้วส่วนกระบี่ปล่อยไว้อย่างนั้นก็เสียของน่ะซิ เขาจึงเก็บมาเผื่อใช้ประโยชน์ได้ แล้วตอนนี้ก็น่าจะมีประโยชน์ขึ้นมาแล้ว

เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบกระบี่เล่มนั้นออกมาจากแหวนคุนเฉียน ตอนที่เขาดึงมือออกมาจากอกเสื้อจึงกลายเป็นเหมือนดึงกระบี่ออกมาจากอกเสื้อ หากเป็นในโลกมนุษย์ผู้คนเห็นเช่นนี้จะต้องแตกตื่นแน่นอน แต่ที่นี่เป็นแดนเซียนที่มีของวิเศษอย่างถุงฟ้าดิน ซึ่งข้างในถุงฟ้าดินมีพื้นที่ให้เก็บสิ่งของได้ ดังนั้นทหารเห็นภาพเช่นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร คิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เก็บถุงฟ้าดินไว้ในอกเสื้อนั่นเอง เขามองจ้องกระบี่ที่ถูกดึงออกมา กระบี่เก่าๆ มีพลังเซียนอ่อนจาง เฉินมู่อิ๋งส่งกระบี่เล่มนั้นให้ทหาร “อ่ะ พี่ชาย ท่านจะให้ราคาเท่าไหร่รึ?”

ทหารรับกระบี่ไปดู เขาพลิกไปพลิกมาแล้วถอนหายใจ “มันแทบจะเหมือนเศษเหล็กแล้ว ข้าให้มากสุดหยก 6 ก้อน”

“เพิ่มให้ข้าอีกสักหน่อยไม่ได้รึพี่ชาย?” เฉินมู่อิ๋งต่อรอง ทหารคนนั้นส่ายหน้าแล้วยื่นกระบี่คืนให้ “จะเอารึไม่เอา? ถ้าไม่เอาก็เอากระบี่เจ้าคืนไปเถอะ 6 ก้อนนี่ก็ถือว่าข้าให้ราคาสูงสุดเพราะเห็นใจเจ้าแล้วนะ”

“ได้ ข้าขายให้ท่าน” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับ ทหารคนนั้นจึงล้วงหยกปราณฟ้าดินให้เจ้าหนุ่มคนนี้ก้อนนึง ส่วนอีก 5 ก้อนก็หักเป็นค่าผ่านทางเข้าเมือง เฉินมู่อิ๋งรับหยก 1 ก้อนนั้นมาแล้วเดินเข้าเมืองไป เมื่อเดินผ่านประตูเมืองเข้าไปแล้วเฉินมู่อิ๋งก็มองไปมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ภายในเมืองมีบ้านเรือนไม่ต่างจากแดนมนุษย์สักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าไม้ที่ใช้ทำบ้านเรือนล้วนแผ่พลังเซียนออกมาจางๆ สองข้างทางมีแผงขายของเรียงรายยาวสุดสายตา เฉินมู่อิ๋งไม่ได้สนใจดูของสักเท่าไหร่ เขาอยากรีบไปให้ถึงสำนักหมื่นดารามากกว่า

เขาเห็นผู้คนเดินมุ่งหน้าไปทางภูเขาสูง คาดว่าคนพวกนั้นน่าจะเป็นคนที่มาสมัครเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นดาราเหมือนกับเขากระมัง เดินไปยังไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงดังกังวานว่า “คนที่จะสมัครเป็นศิษย์สำนักหมื่นดาราในปีนี้ให้ไปรวมตัวกันที่บันไดทางขึ้นสำนัก”

ผู้คนได้ยินเช่นนั้นก็รีบสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าเร็วขึ้นทันที เฉินมู่อิ๋งก็เดินตามผู้คนไป มีคนข้างหลังเขาเร่งฝีเท้าจนแทบจะวิ่งไป ทำให้คนอื่นๆ พลอยวิ่งตามไปด้วย เฉินมู่อิ๋งไม่ได้วิ่งตามไป เขายังคงเดินไปเรื่อยๆ ตาก็มองสำรวจดูซ้ายขวาไปพลาง เขาก้าวเดินเหมือนช้าแต่ความเร็วกลับตามคนที่วิ่งไปไม่ทิ้งห่างมากนัก จนกระทั่งไปถึงจุดที่มีคนยืนอออยู่ข้างหน้าเป็นพันๆ คนเลยกระมัง เขามองดูผู้คนเบื้องหน้าแล้วตื่นตาตื่นใจเล็กน้อย ผู้คนเบื้องหน้าดูแล้วคล้ายๆ กับบัณฑิตทั้งหลายที่มาออรอสมัครสอบขุนนางอย่างไรอย่างนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version