Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1006

ตอนที่ 1006

กระบี่และเกราะป้องกันของรุ่นนี้

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า หลังจากนั้นเขาทำการส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์บางส่วนเข้าไปในร่างของนักรบศิลา

นักรบศิลาไม่อาจจะอยู่ที่ด้านนอกของดินแดนบรรพบุรุษได้เป็นเวลานาน หลังจากที่ได้รับคำสั่งของเมิ่งฮ่าวผ่านเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ มันก็หันหน้ามาหาเขา จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลง เมิ่งฮ่าวไม่ต้องการจะแยกจากกับมัน แต่ก็ต้องมองไปขณะที่มันผ่านเข้าไปในรอยแตกและกลับไปเป็นรูปปั้นอีกครั้ง

“สักวันหนึ่ง ข้าจะกระทำในสิ่งเดียวกันกับท่านปรมาจารย์รุ่นแรกให้จงได้! ข้าจะใช้ชิ้นส่วนของเศษซากเซียน…เพื่อนำเจ้าออกมา นั่นคือ…สิ่งที่เจ้าจะสามารถติดตามข้าไป เมื่อข้าต้องไปทำสงครามในท่ามกลางสวรรค์!” เมิ่งฮ่าวให้คำสัญญานี้กับนักรบศิลาอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ มันคือคำสัญญา, คำรับรอง เช่นเดียวกับคำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับหานซาน ในปีที่อยู่ในอาณาจักรแห่งซากสะพาน เขาไม่เคยจะลืมเลือนคำสัญญานั้นแม้แต่น้อย

หลังจากที่นักรบศิลาผ่านเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษ รอยแตกก็ปิดลง และจากนั้นก็หายไป

ท้องฟ้าเหนือตระกูลฟางกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่พื้นดินดูเหมือนจะสูญเสียไปอย่างมากมาย มองเห็นต้นไม้ใบหญ้านับไม่ถ้วนที่แห้งเหี่ยวตายไป และพลังลมปราณบนดาวดวงนี้ทั้งหมดก็เห็นได้ชัดว่าลดลงไป

ถึงแม้ว่ากลียุคในตระกูลจะไม่ได้ทำให้เกิดเป็นความเสียหายที่มองเห็นได้อย่างเด่นชัดมากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั่วทั้งดวงดาวได้อ่อนแอลงไป โดยที่ยังไม่ได้พูดถึงการที่ต้องสูญเสียกลุ่มคนทรยศของตระกูลไปทั้งหมด

เมิ่งฮ่าวยืนครุ่นคิดอยู่ที่นั่นอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะได้ข้อสรุปว่าความอ่อนแอของดาวตงเซิ่ง จะต้องเกี่ยวข้องกับการตื่นขึ้นมาของปรมาจารย์รุ่นแรกอย่างแน่นอน

ด้วยตัวตนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งเช่นนั้น เป็นบุคคลที่สามารถจะพลิกสถานการณ์บนกระดานหมากโดยที่ไม่ต้องเล่นต่อไปได้อีก เป็นคนที่สามารถจะสร้างความหวาดกลัวให้กับจิตใจของราชันหลี่ได้ ก็เห็นได้ชัดว่าจะต้องไม่ตื่นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

ในตอนนี้เป็นยามสนธยา และที่ห่างไกลออกไป ดวงตะวันกำลังส่องแสงอันโพล้เพล้ปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นดิน กลุ่มคนในตระกูลที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ต่างก็จมอยู่ในห้วงการรำลึก นึกคิดไปถึงผู้คนมากมายที่เคยคงอยู่รอบๆ ตัวพวกมันในครั้งหนึ่ง ไม่มีความยินดีเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการจบลงของหายนะในตระกูล

แต่กลับกัน กลุ่มคนทั้งหมดในตระกูลต้องถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

ถ้าสมาชิกธรรมดาของตระกูลมีความรู้สึกเช่นนี้ ฟางเว่ยก็ยิ่งมีความรู้สึกมากไปกว่านั้น เช่นเดียวกับฟางโส่วเต้า, ฟางเหยียนซวี และฟางตานอวิ๋น ซึ่งได้ลอยตัวอยู่ในกลางอากาศอย่างเงียบๆ

“มันจบลงแล้ว” ฟางโส่วเต้าเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา มองออกไปยังตระกูลฟางทั้งหมด เสียงของท่านลึกล้ำและเก่าแก่โบราณ และขณะที่เสียงนั้นดังก้องออกมา กลุ่มคนในตระกูลทั้งหมดต่างก็มองขึ้นไปในท้องฟ้า

“ร่างของมนุษย์ธรรมดาบางครั้งก็มีโรคภัยไข้เจ็บขึ้น ถ้าอาการเจ็บป่วยนั้นไม่ได้รับการรักษา พวกมันก็อาจจะตายไปได้”

“ตระกูลก็อาจจะได้รับผลกระทบจากโรคภัยไข้เจ็บนั้นเช่นเดียวกัน!”

“เมื่อวานนี้ โรคภัยไข้เจ็บได้หยั่งรากฝังลึกอยู่ในตระกูลฟาง ถ้ามันระเบิดออกมา ก็ทำให้ทั่วทั้งตระกูลต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน!

วันนี้โรคภัยนั้นได้ถูกขุดรากถอนโคนออกไปแล้ว ถึงแม้ว่าตระกูลฟางของพวกเราในตอนนี้จะโศกเศร้าเสียใจและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่อย่างน้อยพวกเราก็ได้ชีวิตใหม่กลับคืนมาแล้ว!”

“พรุ่งนี้จะกลายเป็นวันใหม่สำหรับพวกเรา! พวกเราจะทำให้ผู้ฝึกตนทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้าต้องจดจำความรุ่งเรืองของตระกูลฟางไว้ตลอดไป!”

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เหล่าฟูจะไม่ไปนั่งเข้าฌานตามลำพังอีกต่อไป ข้าจะเป็นผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการ ข้าจะทำให้ตระกูลฟางเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างสูงสุดในประวัติการณ์!” ขณะที่คำพูดของฟางโส่วเต้าดังก้องออกไป ก็ทำให้เปลวไฟในดวงตาของกลุ่มคนทั้งหมดของตระกูลฟางที่ด้านล่างปะทุติดขึ้นมา ราวกับว่าเสียงของท่านได้นำพาพลังอันลี้ลับบางอย่าง ให้ผ่านเข้าไปในจิตใจของกลุ่มคนในตระกูล และทำให้พวกมันต้องลุกโชนขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น

ฟางเว่ยยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ โดดเดี่ยวเดียวดายโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครในตระกูลยินดีที่จะเข้าไปใกล้มัน มันไม่มีสหายเหลืออยู่อีกเลย บิดามัน, ปู่ของมัน และกลุ่มคนในสายโลหิตเดียวกับมันทั้งหมดต่างก็ตกตายไปจนหมดสิ้น

มีมันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่

ฟางเหยียนซวีที่ลอยตัวอยู่ในกลางอากาศ มองไปยังฟางเว่ยที่กำลังจมอยู่ในความขมขื่น และแอบถอนหายใจออกมา ท่านชี้นิ้วตรงไปยังฟางเว่ย ทำให้ร่างกายมันสั่นสะท้านขึ้น และจากนั้นก็ลอยขึ้นไปในอากาศ กลุ่มคนทั้งหมดของตระกูลเฝ้ามองไป ขณะที่มันลอยตรงไปยังฟางเหยียนซวี

ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าซากศพของฟางเว่ยได้หายไปจากภายในถุงสมบัติของเขามานานแล้ว

“เจ้ายังคงยินดีที่จะปกป้องตระกูลฟางหรือไม่?” ฟางเหยียนซวีถามขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ

ฟางเว่ยเริ่มสั่นสะท้าน หลังจากที่เงียบไปเป็นเวลานาน มันก็มองลงไปยังกลุ่มคนอื่นๆ ของตระกูลฟาง และมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน ในที่สุดมันก็หันกลับไปยังฟางเหยียนซวี ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ

“การปกป้องตระกูลฟาง คือเป้าหมายหลักในชีวิตของข้า!”

ในตอนนี้ กลุ่มคนทั้งหมดของตระกูลฟางกำลังจ้องมองไปยังฟางเว่ยอย่างเงียบๆ พวกมันทั้งหมดจดจำได้ถึงภาพอันน่าอนาถใจที่มันได้ตายไป ภาพเหล่านั้นถูกฝังลึกอยู่ในจิตใจของพวกมัน

ฟางเหยียนซวีมองไปยังฟางเว่ยเป็นเวลานาน และแทบจะดูเหมือนว่าท่านกำลังมองเข้าไปในจิตของมัน หลังจากที่ผ่านไปนาน รอยยิ้มน้อยๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของท่าน

“นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าจะติดตามข้าไป ในวันข้างหน้า…เจ้าต้องเป็นเช่นเดียวกับนามของเจ้า, ปกป้องตระกูล! เจ้าจะไม่ใช่กระบี่ของตระกูล แต่เจ้าจะกลายเป็น…เกราะป้องกัน!”

ฟางเว่ยกำลังสั่นสะท้าน และหยดน้ำตาก็ไหลลงมาบนใบหน้า ขณะที่มันประสานมือและโค้งตัวลงให้กับฟางเหยียนซวี

ฟางเหยียนซวีถอนหายใจออกมา และหันหน้าไปโค้งตัวลงให้กับฟางโส่วเต้า จากนั้นก็โบกสะบัดมือและจากไปพร้อมกับฟางเว่ย คนทั้งสองกลายเป็นลำแสงหลากสี พุ่งออกไปจากตระกูลฟางยังทิศทางของสำนักเย่าเซียน (เซียนโอสถ)

ฟางตานอวิ๋นและฟางโส่วเต้ามองดูคนทั้งสองจากไป และแอบถอนหายใจออกมา

ฟางเหยียนซวีคือเกราะป้องกันของรุ่นนี้ และเป็นเงาของฟางโส่วเต้าด้วยเช่นกัน! ฟางโส่วเต้าคือกระบี่ของตระกูล ซึ่งเป็นทั้งความรุ่งเรืองอย่างไร้ขอบเขตด้วยเช่นกัน!

ในทุกๆ รุ่นของตระกูล จะมีดวงตะวันอันเจิดจ้าที่สาดประกายด้วยแสงอันไร้ขอบเขต และด้านหลังของคนผู้นั้น ก็มีเงาอยู่ด้วยเช่นกัน เงานั้นจะคอยช่วยเหลือดวงตะวันอันเจิดจ้า ช่วยให้คนผู้นั้นกระทำเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจจะทำได้สำเร็จ ต้องมีความอดทนอย่างมากมาย ต้องจัดการกับสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่อาจจะแตะต้องได้ บุคคลเช่นนั้นไม่ใช่กระบี่ที่ส่องประกายซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่จะกลายเป็น…เกราะป้องกันที่คนอื่นๆ มองข้ามไปในที่สุด!

บุคคลเช่นนั้นต้องยินดีที่จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยม พวกมันต้องหลบออกไปจากแสงสว่าง ละทิ้งศักดิ์ฐานะและตำแหน่ง หรือชื่อเสียงต่างๆ ทั้งหมดไป พวกมันคือเงามืด และเป็นเกราะป้องกันของตระกูล

ในรุ่นนี้ ฟางเหยียนซวีได้เลือกฟางเว่ยเป็นผู้สืบทอดในอนาคตของท่าน

มันเป็นเส้นทางที่กลุ่มคนในตระกูลธรรมดาทั่วไป ไม่อาจจะเข้าใจได้ อย่างไรก็ตามเมิ่งฮ่าวเข้าใจถึงทุกสิ่งทุกอย่างนี้ และทำให้เขาต้องสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความซับซ้อนขณะที่จ้องมองไปยังฟางเว่ย หวนรำลึกไปถึงสิ่งที่มันเป็นในขณะที่ยังเยาว์วัย และคำพูดที่มันได้กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่แหลมเล็กในวัยเยาว์ของมัน

“ข้ามีนามว่าฟางเว่ย! ข้าจะต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลัง เพราะว่าข้าจะต้องปกป้องตระกูลด้วยชีวิตของข้าทั้งหมด!”

ปรมาจารย์รุ่นเจ็ด, ปรมาจารย์รุ่นห้า, และปรมาจารย์รุ่นสาม ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งอาณาจักรโบราณ ต่างก็มองไปยังฟางเหยียนซวีและฟางเว่ยที่กำลังจากไปด้วยเช่นกัน สีหน้าพวกมันสาดประกายด้วยความเข้าใจขึ้นในที่สุด

นี่คือตระกูลฟาง ซึ่งเป็นสถานที่ที่กฎของตระกูลจะทำให้มั่นใจว่าจะยังคงมีความรุ่งเรืองต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละรุ่นจะมีอยู่สองคนที่สำคัญ หนึ่งอยู่ในแสงสว่าง หนึ่งอยู่ในความมืด หนึ่งคือกระบี่ หนึ่งคือเกราะป้องกัน

คนหนึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือ อีกคนคล้ายกับเป็นเงามืด

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเข้าใจแล้วว่าทำไม ถึงแม้ว่าปรมาจารย์รุ่นแรกจะตายไปในช่วงของการเข้าฌาน แต่ร่างจำแลงของท่านก็ยังได้กลายเป็นดวงดาวไป เพื่อคอยปกป้องตระกูล นั่นเป็นเพราะว่าร่างจริงของปรมาจารย์รุ่นแรกได้กลายเป็นกระบี่ของตระกูล ในขณะที่ร่างจำแลงของท่านคือเกราะป้องกัน

ถึงแม้ว่าร่างจริงของท่านจะจบลงด้วยการตายจากไป แต่ร่างจำแลงของท่านก็ยังคงปกป้องตระกูลไปตราบชั่วนิรันดร์…

“ตระกูลฟาง…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ในที่สุดเขาก็เริ่มยอมรับตระกูลมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

ฟางตานอวิ๋นโค้งตัวลงให้กับฟางโส่วเต้า จากนั้นก็มองลงไปยังเมิ่งฮ่าวพร้อมกับยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ให้กำลังใจ, ภาคภูมิใจ และที่มากไปกว่านั้นก็คือความมุ่งหวัง เป็นความมุ่งหวังที่เขาจะสามารถทำได้สำเร็จในบางสิ่งที่สำคัญยิ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากสิ่งที่ฟางเว่ยเคยทำได้มาก่อน

ท่านหันหลังและจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของท่านในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา อายุขัยอันยาวนานของท่านกำลังมาถึงจุดจบแล้ว และทำให้เกิดเป็นความจริงที่ว่าท่านสามารถจะแยกออกจากเซียนเขาเดียวของท่านได้แล้ว เป็นเรื่องยากสำหรับท่านที่จะยืดเยื้อให้นานไปมากกว่านี้ แต่ท่านก็ไร้ความโศกเศร้าเสียใจใดๆ

ท่านหวังว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือของท่าน นำพาให้แผนกเต๋าแห่งการปรุงยาของตระกูลเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง

เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสำนักเย่าเซียน ซึ่งเป็นเกราะป้องกันของตระกูล ต่างก็เป็นแค่เรื่องเล่าที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยตระกูลฟางเท่านั้น

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องจริงซึ่งก็คือ สามเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของตระกูล สำนักเย่าเซียนสามารถจะปรุงขึ้นมาได้สองชนิดจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่แผนกเต๋าแห่งการปรุงยาไม่อาจจะทำได้

กลุ่มคนในตระกูลที่อยู่บนพื้นด้านล่างในตอนนี้ ลุกโชนขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่นที่จะเห็นตระกูลมีชื่อเสียงรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันเริ่มทำการก่อสร้างพื้นที่มากมายในคฤหาสน์โบราณที่พังทลายลงไปขึ้นมาอีกครั้ง และชำระล้างโลหิตที่เปียกชุ่มอยู่บนพื้น ใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถจะฟื้นฟูพวกมันขึ้นมาใหม่ บางทีอาจจะเป็นวันพรุ่งนี้…ที่ตระกูลฟางจะไม่ได้ดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับบุคคลภายนอก

ฟางโส่วเต้ามองดูฟางเหยียนซวีและฟางตานอวิ๋นจากไป จากนั้นก็เริ่มจากไปด้วยเช่นกัน ปรมาจารย์รุ่นที่เจ็ดและปรมาจารย์อื่นๆ ทั้งหมดก็จากไปพร้อมกัน

เมิ่งฮ่าวกระพริบตาปริบๆ จากนั้นก็กระแอมไอออกมา เป็นเสียงที่ไม่ดังเท่าใดนัก แต่ก็เพียงพอที่จะดังก้องออกไปในอากาศ และได้ยินโดยฟางโส่วเต้าและคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ฟางโส่วเต้าก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และพุ่งออกไปยังที่ห่างไกลอย่างต่อเนื่อง

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แปลกๆ กำลังเกิดขึ้นอยู่ ถึงแม้ว่าตระกูลจี้จะมาเนื่องจากมรดกแห่งราชันหลี่ แต่มันก็ยังคงเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเมิ่งฮ่าวก็ตามที…

ในความคิดของเมิ่งฮ่าว เขาคือส่วนหนึ่งของแผนการทั้งหมด และถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจที่ถูกหลอกใช้โดยตระกูล แต่สิ่งที่เขาให้ความสนใจก็คือ…การที่ถูกหลอกใช้แต่ก็ไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมา!

“พวกมันน่าจะให้เงินข้าบ้าง! ข้าได้เสียสละช่วยเหลืออย่างมากมาย! ข้าเกือบตายไปตั้งหลายครั้ง และจิตใจก็ได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง! อย่างน้อยที่สุด พวกมันก็น่าจะอธิบายให้ข้าฟังบ้าง, ใช่หรือไม่?!” เมิ่งฮ่าวคิด

ด้วยความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง เขาจ้องมองไปยังฟางโส่วเต้าและคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป จากนั้นก็ตะโกนขึ้นเป็นเสียงดังว่า “ท่านปรมาจารย์ โปรดรอสักครู่!”

ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว สีหน้าของฟางโส่วเต้าและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามพวกท่านได้โบกสะบัดชายแขนเสื้อ และร่างกายก็เริ่มจางหายไป ขณะที่ทำการเคลื่อนย้ายทางไกลจากไป

ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้น

“ท่านปรมาจารย์ รอด้วย! อย่าได้จากไป!!”

“เหล่าเจียหั่ว (ไอ้แก่) หยุดให้กับข้า!”

ฟางโส่วเต้าและคนอื่นๆ กำลังจางหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็ได้ระเบิดโทสะออกมา เมื่อกลุ่มคนอื่นๆ ของตระกูลที่อยู่ในคฤหาสน์โบราณได้ยินคำพูดของเขา จิตใจพวกมันก็เริ่มเต้นรัว

ทันใดนั้นฟางโส่วเต้าก็หยุดชะงักนิ่ง และร่างที่กำลังจางหายไปก็เริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความตระหนักดีว่าไม่มีทางจะหลบหนีไปจากสถานการณ์นี้ได้ ท่านได้หันหน้ากลับมาและจ้องไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างโหดเหี้ยม

“เจ้าสารเลวน้อย! ข้าคือปู่ของปู่ของเจ้า! เจ้าบังอาจเรียกข้าว่าเหล่าเจียหั่วจริงๆ!?”

เมื่อคิดไปถึงความหงุดหงิดที่ได้รับมา เมิ่งฮ่าวก็บังคับให้ตนเองต้องโต้ตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังมากขึ้น “ทำไมข้าถึงจะไม่กล้า? ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด! ข้าเพิ่งจะกลายเป็นผู้กล้าช่วยตระกูลมาเมื่อครู่นี้!”

ฟางโส่วเต้าจ้องมองมายังเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ทันใดนั้นก็ตวัดชายแขนเสื้อขึ้น ภายในแวบเดียวเมิ่งฮ่าวก็หายตัวไปจากตำแหน่งที่อยู่ในกลางอากาศ ไปปรากฏตัวขึ้นใหม่อยู่ภายในอาคารหลังหนึ่ง

เขาจ้องมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวังตัว จากนั้นก็ถอยไปทางด้านหลังสองสามก้าว

ฟางโส่วเต้าหัวเราะกับตัวเองขึ้นมา ขณะที่นั่งอยู่ที่นั่นตรงด้านข้าง มองด้วยความมุ่งหวังไปยังเมิ่งฮ่าว กล่าวขึ้นว่า

“เจ้าคิดว่าอะไรไม่ถูกต้อง, หือ? ลองอธิบายมาดู”

“ตลอดช่วงกลียุคของตระกูล ข้าได้สละโลหิตให้กับตระกูล!” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบขึ้นอย่างฉับพลัน ในทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากเขา ฟางโส่วเต้าก็โบกสะบัดมือ ทำให้เกิดเป็นแสงระยิบระยับอันอ่อนโยนอาบไล้ไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นบาดแผลทั้งหมดของเขาก็ถูกรักษาขึ้นในทันที อันที่จริงบาดแผลในร่างเขาได้ฟื้นฟูกลับคืนมามากกว่าครึ่งแล้ว แต่ในตอนนี้พวกมันได้ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติโดยสิ้นเชิง แม้แต่รูขุมขนทั่วร่างของเขาก็ยังได้เปิดออกมาอีกด้วย จริงๆ แล้วพื้นฐานฝึกตนของเขาในตอนนี้ก็มีความเสถียรมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม

“อาการบาดเจ็บทั้งหมดของเจ้าถูกรักษาเรียบร้อยแล้ว” ฟางโส่วเต้ากล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ออกมา ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าวพร้อมรอยยิ้ม ก็ดูคล้ายกับเป็นจิ้งจอกชราที่น่ารังเกียจตัวหนึ่ง

“ในช่วงของการต่อสู้ ข้าต้องกินเม็ดยาเข้าไปมากมาย!” เมิ่งฮ่าวกล่าวต่อด้วยความระมัดระวัง “ข้ายังได้ดูดซับหยกเซียนและหินลมปราณเข้าไปอีกด้วย!” หลังจากที่พูดจบ ฟางโส่วเต้าก็โบกสะบัดมือขึ้นอีกครั้ง ในครั้งนี้ไม่มีประกายแสงอันอ่อนโยนปรากฏขึ้น แต่กลายเป็นจอภาพอันเจิดจ้า ที่มองเห็นได้บนจอภาพนั้นคือรายละเอียดของทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้น

จากตอนที่เมิ่งฮ่าวได้เอาชนะทัณฑ์เซียนของตนเอง จนกระทั่งการต่อสู้สิ้นสุดลงไป ตลอดช่วงเวลานั้น…เขาไม่ได้กลืนกินเม็ดยา หรือดูดซับหยกเซียน หรือหินลมปราณเข้าไปแม้แต่น้อย

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน แต่สีหน้าก็ยังคงเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่มองไปยังฟางโส่วเต้าที่คล้ายกับเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version