Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1092

ตอนที่ 1092

มนต์อสูรสะท้อนกลับ

ขณะที่ผู้ฝึกตนอสูรวัยกลางคน กำลังเข้าไปใกล้หยกสีขาวชิ้นนั้น ทันใดนั้นเองเสียงแค่นอย่างเย็นชาก็ได้ยินออกมาจากด้านหลังของน้ำตก พร้อมกับเสียงตวาดที่ดังก้องขึ้น

“ไสหัวไป!”

เป็นเสียงที่ดูเหมือนจะไปกระตุ้นให้เกิดเป็นเสียงฟ้าร้องและประกายสายฟ้าขึ้น พลังอันน่าตกใจพุ่งขึ้นไป ทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือน ลมพายุเริ่มก่อตัวขึ้นมา และกระแทกเข้าไปยังร่างของผู้ฝึกตนอสูรในทันที

ตูมมมมมมม…

สีหน้าของผู้ฝึกตนอสูรเปลี่ยนไป และโลหิตก็พ่นกระจายออกมาจากปากมันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ร่างมันสั่นสะท้านปลิวไปทางด้านหลังคล้ายกับเป็นว่าวที่ถูกตัดสายป่าน ตกลงไปบนพื้นห่างออกไปไกลหลายร้อยจ้าง ก่อนจะในที่สุดก็เริ่มหยุดลง ใบหน้ามันซีดขาว ร่างกายสั่นสะท้านไปมา

เป้ยอวี้นั่งอยู่บนเรือของนาง ซึ่งกำลังลอยตัวอยู่ในกลางอากาศตอนนี้ ทันใดนั้นสีหน้านางก็เปลี่ยนไป และร้องอุทานออกมาห้าคำอย่างรวดเร็ว “มนต์อสูรสะท้อนกลับ!!”

จิตใจของผู้ฝึกตนอสูรอื่นๆ สั่นสะท้าน และสีหน้าไม่อยากจะเชื่อก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกมัน ขณะที่มองตรงไปยังน้ำตกแม้แต่ฝานตงเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกตื่นตระหนก

เมิ่งฮ่าวหรี่ดวงตาลง เสียงที่เพิ่งจะพูดออกมาเมื่อครู่นี้เพียงแค่ประโยคเดียว แต่ก็ปลดปล่อยพลังอย่างที่คาดไม่ถึงออกมา คำพูดนั้นคล้ายกับเป็นวิชาเวท เป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถ…

ทำให้จิตใจสั่นสะท้าน ไม่เพียงแต่จะทำให้ร่างกายของผู้ฝึกตนอสูรสั่นสะท้านได้เท่านั้น ยังโจมตีไปที่ความคิดของมันอย่างรุนแรงอีกด้วย

เมิ่งฮ่าวคุ้นเคยกับห้าคำที่เป้ยอวี้ร้องอุทานออกมา เขารู้ว่ามันคือหนึ่งในสามเวทแห่งเต๋าที่แข็งแกร่งมากที่สุดของกลุ่มผู้ฝึกตนอสูรในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า!

“มนต์อสูรสะท้อนกลับ สามารถจะเปลี่ยนให้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของคนผู้หนึ่ง กลับไปโจมตีตนเองได้…เป็นเรื่องยากที่จะต่อต้านได้ ยิ่งคนผู้นั้นมีสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งมากเท่าใด ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบอย่างน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น!”

ผู้ฝึกตนอสูรน้อยมากที่จะสามารถเรียนรู้มันได้สำเร็จ

ในรุ่นปัจจุบันนี้มีแต่เป้ยอวี้และหลงเทียนไห่เท่านั้นที่เคยศึกษามัน รวมทั้งแปดไห่เจี้ยเยา (อสูรทะเล) เหล่านั้น

จากวิธีการที่มันใช้ออกมา ทำให้เมิ่งฮ่าวพร้อมกับฝานตงเอ๋อร์และเป้ยอวี้ สามารถจะบอกได้ว่าใครก็ตามที่อยู่ด้านหลังน้ำตก ไม่ได้โจมตีมาด้วยความต้องการสังหาร เพียงแค่ทำการตักเตือนเท่านั้น

ผู้ฝึกตนอสูรวัยกลางคนผู้นั้นลอยตัวอยู่ในกลางอากาศ ใบหน้าซีดขาว มองไปยังน้ำตกด้วยความหวาดกลัว ในที่สุดมันก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ จากนั้นก็รีบกลับเข้าไปบนเรือของมัน

สุนัขจิ้งจอกสีขาวไม่ได้ขยับตัวเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง เพียงแค่ทำการฝึกฝนสูดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับหยกขาวไปอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น แต่ก็ยังคงยืนอย่างเงียบๆ อยู่ที่นั่นต่อไป เป้ยอวี้ลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็เคลื่อนที่ตรงไปยังน้ำตก นางรู้สึกว่าไร้ทางเลือกใดๆ นอกจากต้องประสานมือและโค้งตัวลง กล่าวว่า

“ผู้เยาว์คือไหหนี่ว์ (ธิดาทะเล) เป้ยอวี้จากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ผู้อาวุโส ท่านมีความสัมพันธ์ใดกับกลุ่มผู้ฝึกตนอสูรของพวกเรา?”

มนต์อสูรสะท้อนกลับคือเวทอันลี้ลับของกลุ่มผู้ฝึกตนอสูร เป็นสิ่งที่บุคคลภายนอกไม่อาจจะเรียนรู้ได้ แต่พวกมันทั้งหมดกลับได้เห็นวิชาเวทนี้อยู่ในที่แห่งนี้

ไม่มีคำตอบใดๆ ออกมาจากน้ำตก และในที่สุดสุนัขจิ้งจอกสีขาวก็อ้าปากขึ้น กลืนกินหยกขาวเข้าไป จากนั้นก็หมุนตัวกลายเป็นแสงสีขาวหายลับเข้าไปที่หลังน้ำตก

เป้ยอวี้ลังเลอยู่ชั่วขณะ และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะไม่เสี่ยงตามเข้าไปที่หลังน้ำตก เมื่อครู่นี้พลังของคำพูดนั้นได้เผยให้เห็นถึงพื้นฐานฝึกตนของคนที่อยู่ข้างใน…ช่างแข็งแกร่งอย่างน่ากลัวนัก

หลังจากที่ประสานมือด้วยความเคารพอีกครั้ง เป้ยอวี้ก็กลับไปยังเรือของนาง ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวกระพริบตาข้างขวาไปเก้าครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในจิตใจ เมื่อโลกที่เขามองเห็นจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ทันใดนั้นสายตาของเขาก็มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น แทงทะลุผ่านเข้าไปที่ด้านหลังน้ำตก อย่างน่าตกใจยิ่งเขามองเห็นถ้ำแห่งเซียน และบุรุษวัยกลางคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ที่ด้านข้างของบุรุษผู้นั้นเป็นหลุมฝังศพหลังหนึ่ง!

ราวกับว่าบุรุษผู้นี้มักจะอยู่ในที่แห่งนั้น และมักจะเป็นเช่นนี้ นั่งอยู่เป็นเพื่อนกับหลุมฝังศพตลอดไป!

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังมัน ฉับพลันนั้นบุรุษที่อยู่ในถ้ำแห่งเซียนก็หันหน้ามองมายังเขา สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน มองเห็นความตกใจอยู่ในแววตาของมัน และมันก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ ปิดการมองเห็นของเมิ่งฮ่าวไป ความเจ็บปวดเต็มอยู่ในจิตใจของเขา และใบหน้าก็กลายเป็นสีแดงก่ำไป แต่ก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าการมองเห็นของเขาจะจบลงไป แต่ก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงรูปร่างหน้าตาของบุรุษผู้นั้น และจดจำได้ว่ามันมีเกล็ดสีขาวอยู่บนหน้าผาก

“มันคือผู้ฝึกตนอสูร!” เมิ่งฮ่าวคิด หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เขาก็มุ่งหน้าต่อไป เจี้ยนเต้าจื่อลังเลอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็ติดตามไป ในที่สุดคนทั้งหมดที่อยู่บนเรือก็ติดตามไปด้วย

หลังจากที่มุ่งหน้าไปได้ไม่นาน มือของเมิ่งฮ่าวจู่ๆ ก็พุ่งออกไปคว้าจับเจี้ยนเต้าจื่อไว้ มันคิดจะหลบเลี่ยงแต่ก็ลังเล และมือของเมิ่งฮ่าวก็จับแน่นไปบนแขนของมัน

“ซ่างเซียน…” มันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก

ใบหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งขณะที่กำมือแน่นลงไปบนแขนของเจี้ยนเต้าจื่อ เสียงแตกร้าวได้ยินออกมา เมื่อเขาตัดนิ้วของเจี้ยนเต้าจื่อไปหนึ่งนิ้ว ความเจ็บปวดทำให้เจี้ยนเต้าจื่อสั่นไปทั้งร่าง แต่ก็ไม่กล้าจะแสดงความโกรธออกมา มีแต่ความหวาดกลัวเท่านั้น

“ผู้ฝึกตนอสูรเมื่อครู่นี้คือหนึ่งในใบมีดที่เจ้าจัดเตรียมไว้ เพื่อแทงมาที่ด้านหลังของพวกข้า ใช่หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นก็ปล่อยแขนของเจี้ยนเต้าจื่อไป

ใบหน้าเจี้ยนเต้าจื่อเต็มไปด้วยความขมขื่น ราวกับว่ามันต้องการจะกล่าวคำอธิบายต่อสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่อาจจะทำได้

“เจ้าสามารถจะเสแสร้งมากเท่าใดก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ แต่จดจำไว้…อย่าได้ตอแยข้า!” เมิ่งฮ่าวกล่าวจบในรวดเดียว จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเจี้ยนเต้าจื่อ

“ตัดนิ้วเจ้าไปเป็นแค่คำตักเตือนเท่านั้น ถ้าเจ้ากล้ามาหาเรื่องข้าอีกครั้ง…ข้าไม่สนใจว่าเจ้าแอบซ่อนใครไว้ในอาณาจักรสายลมแห่งนี้ หรือว่าจะมีใบมีดมากมายแค่ไหนที่เจ้าจัดเตรียมไว้…เจ้าจะต้องเสียใจ” ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวเริ่มยิ้มน้อยๆ ออกมา

แต่สำหรับเจี้ยนเต้าจื่อแล้ว รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัวอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้ามันคือปีศาจที่โหดเหี้ยม เป็นคนที่มันไม่กล้าจะไปตอแยด้วย ถ้ามันทำ…ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอกับอะไรตามมาบ้าง

คนทั้งหมดไม่ได้พบเจอกับสิ่งผิดปกติใดๆ ตลอดช่วงการเดินทางที่เหลือ และเจี้ยนเต้าจื่อก็ไม่ได้พูดอะไรกับเมิ่งฮ่าวอีก ขณะที่คนทั้งหมดเดินทางต่อไป เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง

สำหรับผู้ฝึกตนอื่นๆ จากอาณาจักรขุนเขาทะเล พวกมันติดตามมาอย่างเงียบๆ หลังจากมีสิ่งเกิดขึ้นกับผู้ฝึกตนอสูรวัยกลางคน ก็ดูเหมือนว่าทัศนคติที่ก้าวร้าวของพวกมันจะถูกควบคุมไว้ และพวกมันก็ไม่ไปคว้าจับสิ่งใดๆ ที่มองเห็นอยู่ตลอดเส้นทางด้วยความหุนหันพลันแล่นอีก

ชนเผ่าที่เก้ามีขนาดไม่กว้างใหญ่มากนัก หลังจากที่บินไปประมาณครึ่งวัน เป้ยอวี้ก็เปลี่ยนทิศทางตรงไปยังถ้ำแห่งเซียนที่นางได้เลือกไว้ ผู้ฝึกตนอสูรคนอื่นๆ ก็จากไปทีละคนด้วยเช่นกัน ในที่สุดฝานตงเอ๋อร์และผู้ฝึกตนวัยเยาว์ของนางก็ติดตามจากไป สุดท้ายก็มีเมืองปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว

มันเป็นเมืองของมนุษย์ธรรมดา และเป็นเมืองหลวงของชนเผ่าที่เก้าด้วยเช่นกัน

ด้านหลังของเมืองหลวง มองเห็นภูเขาลูกหนึ่งอย่างเลือนราง ที่ด้านบนขึ้นไปครึ่งหนึ่งถูกปกคลุมไว้ด้วยหิมะ และที่ด้านล่างครึ่งหนึ่งเป็นสีเขียวมรกต ที่ด้านล่างของภูเขาเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่ง ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหนึ่งที่ยืดยาวออกไปยังที่ห่างไกล

ทะเลสาบราบเรียบเหมือนกับเป็นกระจก ไม่มีคลื่นหรือระลอกใดๆ แม้แต่น้อย เผยให้เห็นถึงท้องฟ้าที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำอย่างชัดเจน

เจี้ยนเต้าจื่อติดตามไปเป็นเพื่อนกับเมิ่งฮ่าวอย่างต่อเนื่องขณะที่เขาบินผ่านเมืองและข้ามทะเลสาบไป ในที่สุดเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาไป๋เฟิง

ขณะที่กลุ่มคนของเมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ สายลมอันหนาวเย็นก็โชยพัดลงมาจากภูเขา ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน และอากาศก็ร้อนอบอ้าวเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นสายลมอันหนาวเย็นนี้ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนต้องชอบภูเขาที่ครึ่งหนึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะขึ้นมาในทันที

ความรู้สึกนี้ถูกส่งเสริมให้เพิ่มมากขึ้นโดยหิมะสีขาวที่อยู่ตรงครึ่งด้านบนของภูเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกับสีเขียวมรกตที่อยู่ตรงครึ่งด้านล่าง เป็นสิ่งที่ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่กลุ่มคนเข้าไปใกล้ เขารับรู้ได้เป็นอย่างดีว่ากฎธรรมชาติและแก่นแท้โลกในที่แห่งนี้…มีความเข้มข้นและชัดเจนมากขึ้น

ราวกับว่าภูเขาลูกนี้เป็นจุดศูนย์กลางของชนเผ่าที่เก้าทั้งหมด ราวกับว่ามันคือต้นกำเนิดของกฎธรรมชาติและแก่นแท้ทั้งหมด

นอกจากนี้ภูเขาลูกนี้ยังทำให้เมิ่งฮ่าวเกิดความรู้สึกที่คุ้นเคย เหมือนกับที่เขาเคยพบเจอมาจากเจดีย์แห่งถังบนดาวหนานเทียน

มันเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากสิ่งที่ถูกกราบกรานสักการะมาเป็นเวลานานหลายหมื่นปีจนนับไม่ถ้วน มันคือพลังที่ไร้ตัวตน เช่นเดียวกับพลังที่ออกมาจากธูปที่ถูกเผาไหม้

หลังจากที่รวมตัวกันจนยืดยาวออกไป ก็กลายเป็นกลิ่นอายแห่งเชื้อชาติของชนเผ่าที่เก้า และในที่สุดก็กลายเป็น…การไหลเวียนของกระแสลมปราณ!

เป็นกระแสลมปราณที่ไหลเวียนไปมาของอาณาจักรสายลม!

เมิ่งฮ่าวรู้สึกยินดีมากเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาเริ่มเบิกกว้างขึ้นอย่างช้าๆ ขณะที่จ้องมองขึ้นไปยังยอดเขาที่อยู่สูงขึ้นไปของภูเขา จากที่แห่งนั้นเขารับรู้ได้ถึงเสียงร้องเรียกบางอย่าง

ความรู้สึกนั้นเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวเริ่มเต้นรัว โลหิตเริ่มพลุ่งพล่าน และในที่สุดก็ไม่อาจจะควบคุมตนเอง จนต้องแหงนหน้ามองขึ้นไปยังยอดเขา และมองเห็นสิ่งที่กำลังร้องเรียกตัวเองอยู่

เมื่อเขากำลังจะก้าวเท้าตรงไป ก็ต้องหยุดชะงักลง

“ช่างน่าสนใจนัก ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ข้ารู้สึกว่าเสียงเรียกนั้นต้องการหลอกล่อให้ข้าบินตรงไปยังยอดเขา…” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็ไม่ทำเช่นนั้น แต่เริ่มเดินขึ้นไปบนบันไดศิลาในทุกย่างก้าว

ที่ด้านหลัง เจี้ยนเต้าจื่อและชายชราคนอื่นๆ สังเกตเห็นสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้ ต่างก็สบตากันไปมาด้วยความตกใจ

ภูเขาไป๋เฟิงคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในชนเผ่าที่เก้าทั้งหมด เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เคยมีเซียนมากมายมาเยี่ยมเยือนเมื่อในอดีต เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งหมดเลือกที่จะบินตรงขึ้นไปยังด้านบน

ในขณะที่เมิ่งฮ่าวเลือกที่จะเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ จากด้านล่าง ช่างเป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็นเป็นอย่างยิ่ง

อันที่จริง การเดินขึ้นมาจากด้านล่างสุดของภูเขา จะทำให้รับรู้ถึงกฎธรรมชาติและแก่นแท้ได้อย่างลึกล้ำมากขึ้น ซึ่งถูกถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของชนเผ่าที่เก้า รวมทั้งเป็นกลิ่นอายแห่งเชื้อชาติอีกด้วยเช่นกัน

เมิ่งฮ่าวเริ่มใช้เวลาเดินขึ้นไปทีละก้าว บางครั้งเขาก็หยุดลงเพื่อเพลิดเพลินกับความรู้สึกถึงกฎธรรมชาติบนภูเขา และแก่นแท้ที่มีอยู่ทั่วไปในทุกแห่งหน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถจะรับรู้ได้ถึง…สิ่งที่ถูกเรียกว่ากลิ่นอายแห่งเชื้อชาติ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาอยู่บนภูเขาลูกนี้ อันเนื่องมาจากการกราบกรานสักการะเป็นเวลานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนอีกด้วย

ในช่วงหนึ่งเขายื่นมือขวาออกไปในอากาศ และทำท่าคว้าจับ

“นี่คือ…แก่นแท้แห่งสายลม?” เขาพึมพำ

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ แต่ที่ไหนสักแห่งตรงด้านนอกของชนเผ่าที่เก้า สายลมอันรุนแรงได้พุ่งขึ้นมา

“แก่นแท้แห่งน้ำ…และนี่คือไฟ…พวกมันต่างก็ไม่สมบูรณ์ไปทั้งหมด…”

เวลาผ่านไปขณะที่เขาก้าวเดินตรงขึ้นไป ในที่สุดก็เป็นยามราตรี และสุดท้ายก็มองเห็นดวงตะวันโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็เป็นยามเที่ยงวัน ในตอนนี้เองที่เขาเดินผ่านส่วนที่เป็นสีเขียวมรกตของภูเขา และผ่านเข้าไปในเขตหิมะสีขาว เขาเดินขึ้นไปทีละก้าว จมตัวเองอยู่ในการเข้าฌาณของภูเขา เพื่อได้รับความรู้แจ้ง เขาลืมไปว่ากำลังเดินอยู่ ลืมไปว่ากำลังเคลื่อนที่ตรงไป

เขาไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องเหล่านั้น แต่ขณะที่เดินขึ้นไปบนภูเขา ดินแดนทั้งหมดของชนเผ่าที่เก้ากำลังสั่นสะเทือน สายลมโชยพัดและสายฝนก็ตกลงมา สายฟ้าแวบขึ้นในท้องฟ้า และน้ำพุก็ปะทุขึ้นมา ภูเขาหายไปและจากนั้นก็ปรากฏขึ้นมาใหม่ แม่น้ำเปลี่ยนเส้นทางการไหล ทั่วทั้งโลกนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เมิ่งฮ่าวกำลังเดินขึ้นไปบนภูเขา และใคร่ครวญเกี่ยวกับกฎธรรมชาติของโลกแห่งนี้ ขณะที่เขาได้รับความรู้แจ้งของแก่นแท้แห่งสวรรค์และปฐพี เขาก็ทำการครอบครองและเปลี่ยนแปลงชนเผ่าที่เก้าอย่างเห็นได้ชัด

ย้อนกลับไปยังเชิงเขา เจี้ยนเต้าจื่อและคนอื่นๆ เริ่มจ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและตกตะลึงขึ้นมานานแล้ว เจี้ยนเต้าจื่อยิ่งมีปฏิกิริยามากไปกว่าชายชราคนอื่นๆ ทั้งหมด ตอนนี้ดวงตามันเต็มไปด้วยความกังวลใจอย่างลึกล้ำ และสิ่งที่มันรู้สึกกังวลก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เมิ่งฮ่าว

อันที่จริง เมิ่งฮ่าวไม่ได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่า เขาได้บรรลุถึงยอดเขาเรียบร้อยแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version