Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1309

ตอนที่ 1309

พื้นฐานฝึกตนปะทุขึ้น

ในทันทีที่ตะเกียงวิญญาณดวงที่สามของเมิ่งฮ่าวดับลงไป ตะเกียงดวงอื่นๆ ก็แวบประกายขึ้นขณะที่สายลมพุ่งผ่านไป

“อารมณ์ทั้งเจ็ด…” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ หลับตาลง รับรู้ได้ถึงเสียงกระหึ่มที่ดังก้องอยู่ภายในร่าง พื้นฐานฝึกตนพุ่งทะยานขึ้นไป ทำให้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งส่วน!

ตอนนี้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าวเทียบเท่ากับหกในสิบส่วนของผู้ยิ่งใหญ่แล้ว!

“ถ้าข้าดับตะเกียงวิญญาณที่เหลืออีกสามสิบดวง สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าก็จะมีความแข็งแกร่งเป็นสามเท่าของผู้ยิ่งใหญ่! ถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งแค่สามเท่าของผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้ แต่ก็ยังคงเป็นระดับพลังที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง”

เมิ่งฮ่าวลืมตาที่เปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมา สูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่เสียงกระหึ่มยังคงดังก้องอยู่ภายในร่างอย่างต่อเนื่อง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขากำลังมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น พื้นฐานฝึกตน กายเนื้อ และจิตวิญญาณ

“สำหรับข้าแล้ว อาณาจักรโบราณไม่ใช่จุดสิ้นสุดอีกต่อไป แต่เป็น…ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!” เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ทำให้เกิดเป็นสายลมพุ่งขึ้นมาทั่วทุกทิศทาง ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปในบริเวณนั้น และรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเองมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมหกถึงเจ็ดส่วน!

“และข้าก็ยังแข็งแกร่งมากขึ้นได้อีก!” เมิ่งฮ่าวกล่าว ดวงตาสาดประกายขึ้น มองไปยังตะเกียงวิญญาณดวงที่สี่ จากนั้นก็สั่งให้มันดับลงไป!

ขณะที่เปลวไฟดับลง กลุ่มควันสีเขียวก็พุ่งขึ้นมา ลอยเข้าไปในจมูกเมิ่งฮ่าว ทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องมากขึ้น พื้นฐานฝึกตนพุ่งสูงขึ้นไปมากกว่าเดิม ทำให้สายลมพุ่งขึ้นเต็มไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้

สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง พุ่งขึ้นมาจากระดับก่อนหน้านี้หกส่วนไปจนถึงเจ็ดส่วน!!

กายเนื้อเกิดเป็นเสียงแตกร้าวขึ้น และรู้สึกราวกับว่าวิญญาณกำลังจะระเบิดออกมาจากร่าง ประกายแสงพุ่งออกมาจากดวงตา ราวกับว่าจะกลายเป็นจุดกำเนิดของแสงทั้งหมดในโลกแห่งนี้

อารมณ์แรกของอารมณ์ทั้งเจ็ดสร้างเป็นภาพลวงตาขึ้นมา แต่ก็ไร้ความหมายต่อเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง พวกมันไม่อาจจะทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อย

นี่อาจจะเป็นทัณฑ์โบราณของเซียนเต๋าทุกชั้นฟ้า แต่ก็ไม่อาจจะเทียบได้กับประสบการณ์ที่เมิ่งฮ่าวพบเจอมาในเรื่องของความจริงและความเท็จ ไม่อาจจะสู้ได้กับการค้นหาชีวิตในปัจจุบันที่ต้องใช้เวลาตราบชั่วนิรันดร์ของเมิ่งฮ่าวได้

แค่มองไปแวบเดียวก็ทำให้ภาพลวงตาทั้งหมดต้องแตกกระจายไป ราวกับว่าพวกมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แหลกละเอียดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไป!

เมื่อตะเกียงวิญญาณดวงที่สี่ดับลง พลังของเมิ่งฮ่าวก็พุ่งทะยานขึ้น เวลาเดียวกันนั้น ขณะที่เขากำลังจะดับตะเกียงดวงที่ห้า เสียงแผดร้องคำรามด้วยโทสะก็ดังก้องออกมาจากตะเกียงดวงที่สี่ อากาศบิดเบี้ยวไปมา และมองเห็นเป็นมือขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง พุ่งผ่านรอยแตกระหว่างภาพลวงตาและของจริงออกมา คว้าจับไปยังร่างเมิ่งฮ่าว

“ตาย!!” เสียงร้องตวาดนี้เต็มไปด้วยโทสะ เมิ่งฮ่าวไม่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับเสียงนี้หรือมือข้างนี้ เจ้าของเสียงนี้ก็คือ…ตัวตนที่เขาเคยพบเจอมาก่อน มันเคยหลบซ่อนอยู่ในกลุ่มเมฆลงทัณฑ์แห่งอาณาจักรโบราณ และรู้สึกเกลียดชังเมิ่งฮ่าวจนลึกลงไปถึงกระดูกในช่วงของอารมณ์แรก

มันเฝ้ารอคอยให้เมิ่งฮ่าวกลับเข้าไปในอารมณ์ของความฟุ้งซ่าน แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะได้รับประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นก็มีตะเกียงวิญญาณเหลืออยู่อีกแค่หนึ่งดวงเท่านั้น

เมื่อไหร่ที่ถูกดับลงไป อารมณ์แรกก็จะได้ข้อสรุปโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นมันก็จะไม่มีโอกาสที่จะทำอะไรกับเมิ่งฮ่าวได้อีก ดังนั้นในตอนนี้มันจึงกระวนกระวายใจขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ พยายามทำทุกวิถีทางโจมตีมายังเมิ่งฮ่าว เพื่อป้องกันไม่ให้เขาดับตะเกียงลงไปได้

“ข้าเฝ้ารอเจ้ามานานแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นขณะที่หัตถ์ยักษ์กดทับลงมา ยื่นมือขวาออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า รวดเร็วจนกระทั่งดูเหมือนว่ามือของเขายังคงอยู่ที่ข้างกาย แต่ก็กลายเป็นว่าได้คว้าจับไปยังหัตถ์ยักษ์ที่กำลังพยายามมาคว้าจับเขาไว้เรียบร้อยแล้ว

หัตถ์ยักษ์นั้นมีขนาดเล็กกว่าตอนที่เมิ่งฮ่าวเอาชนะทัณฑ์โบราณ หรือในตอนที่เขาอยู่ในช่วงอารมณ์แรกมากนัก ตอนนี้มันมีความกว้างแค่หนึ่งจ้างเท่านั้น และหยุดชะงักนิ่งในทันที ถูกเมิ่งฮ่าวตรึงไว้โดยสิ้นเชิง ไม่อาจจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้

เสียงแผดร้องด้วยความงุนงงและโทสะดังก้องออกมา ทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่ออีกด้วย เมิ่งฮ่าวแค่นเสียงเย็นชา ฟาดมือขวาออกไป ทำให้พื้นฐานฝึกตนระเบิดเป็นพลังออกไป เสียงแตกร้าวดังก้องขึ้น ตามมาด้วยเสียงแผดร้องอย่างโหยหวน เมิ่งฮ่าวกระชากมือที่กำลังคว้าจับไว้ไปทางด้านหลัง ทำให้เงาร่างนั้นถูกฉุดดึงออกมาจากตะเกียงวิญญาณดวงที่สี่

ดูคล้ายกับเป็นมังกรที่ก่อตัวขึ้นมาจากกลุ่มหมอกสีดำ ขณะที่ถูกฉุดลากออกมาก็กระตุกบิดเบี้ยวขึ้น ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตกใจเมื่อเมิ่งฮ่าวกำมือขวาจนแน่น เกิดเป็นเสียงกระหึ่มกึกก้องขึ้น และกลุ่มหมอกก็เริ่มหดตัวเล็กลงไป แทบจะราวกับว่ามือของเมิ่งฮ่าวกลายเป็นหลุมดำไป ในชั่วพริบตาเขาก็ดูดกลุ่มหมอกเข้าไปในฝ่ามือจนหมดสิ้น

“เจ้าต้องการมีชีวิตอยู่หรือตายไป?” เมิ่งฮ่าวเริ่มกำมือเป็นหมัด ทำให้เกิดเป็นเสียงแตกร้าวดังก้องออกไป

กลุ่มหมอกสีดำแทบจะกระจัดกระจายหายไป และเสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจก็ดังก้องออกมา ทันใดนั้นภายใต้แรงกดดันแห่งความตายที่ใกล้เข้ามา ก็ทำให้เงาร่างภายในกลุ่มหมอกเลือกที่จะยอมจำนนในที่สุด

“สายไปแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น กำมือแน่นขึ้น เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องออกไป และกลุ่มหมอกก็แตกสลายไปอย่างง่ายดายราวกับเป็นท่อนไม้ที่ผุพัง เสียงแผดร้องด้วยความสิ้นหวังเต็มไปด้วยคำสาปแช่งดังก้องออกมา ขณะที่เส้นใยสีดำลอยออกมาจากร่องนิ้วของเมิ่งฮ่าว ดูคล้ายกับเป็นอสรพิษพุ่งตรงไปยังร่างเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ทำให้เส้นใยที่ดูคล้ายอสรพิษสีดำแตกกระจายไป จนกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างฉับพลัน

เวลาเดียวกันนั้น ตะเกียงวิญญาณของอารมณ์แรกดวงสุดท้าย ซึ่งก็คือดวงที่ห้าของตะเกียงวิญญาณทั้งสามสิบสามดวงของเมิ่งฮ่าว ก็มืดลงไปในทันที

เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็สูดหายใจเอากลุ่มควันสีเขียวเข้าไป ทำให้ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ แหงนหน้าขึ้นและกู่ร้องออกมา เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกไป ขณะที่พื้นฐานฝึกตนพุ่งสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว วิญญาณภายในร่างปะทุขึ้นราวกับว่าต้องการจะระเบิดออกไป และสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!

ตอนนี้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาพุ่งผ่านเจ็ดส่วนเข้าไปสู่…แปดในสิบส่วนของระดับผู้ยิ่งใหญ่!

เมื่อเมิ่งฮ่าวส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เทียบเท่ากับแปดในสิบส่วนของผู้ยิ่งใหญ่ออกไป โลกรอบๆ บริเวณนั้นก็เริ่มสั่นสะเทือนจนแทบจะพังทลายลงไป

เมิ่งฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกๆ และดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น สถานะของเขาในตอนนี้สูงเกินกว่าระดับสูงสุดก่อนหน้านี้มากนัก และในตอนนี้ก็มีความเชื่อมั่นโดยสิ้นเชิงว่าสามารถจะเอาชนะไป๋จู่ได้อย่างง่ายดาย!

เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืน และดูดซับตะเกียงวิญญาณทั้งหมดเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเดินออกไปจากโลกแห่งนี้ เขาโผล่ออกมาจากประตู และกลับขึ้นมาอยู่บนหลังของปรมาจารย์เอกะเทวะ สิ่งแรกที่ได้ยินก็คือเสียงแผดร้องด้วยโทสะของปรมาจารย์เอกะเทวะ และจากนั้นก็มองเห็นศีรษะขนาดใหญ่โตของมันกำลังพุ่งตรงมา กลิ่นฉุนพุ่งมาปะทะใบหน้า ขณะที่ปากขนาดใหญ่อ้ากว้างราวกับว่าต้องการจะกลืนกินเขาลงไป

แน่นอนว่านี่คือปรมาจารย์เอกะเทวะ

ซึ่งหลุดพ้นออกมาจากเวทผนึกที่เมิ่งฮ่าววางลงไปบนร่างมันมานานแล้ว มันเฝ้ารอให้เมิ่งฮ่าวปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง และในทันทีที่เขาปรากฏขึ้น มันก็พยายามจะกลืนกินเขาลงไปในทันที

เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ไม่สนใจปากที่อ้ากว้างนั้นโดยสิ้นเชิง หายตัวไปจากส่วนหลังของปรมาจารย์เอกะเทวะ และไปปรากฏกายขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ปรมาจารย์เอกะเทวะอ้าปากงับลงไปในความว่างเปล่า จากนั้นก็หมุนศีรษะ แผดร้องตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

“เมิ่งฮ่าวเจ้าสารเลวน้อย เจ้าคนพาลที่สุดจะทนทานรับได้!”

เมิ่งฮ่าวมองกลับไปยังปรมาจารย์เอกะเทวะและยิ้มออกมา

“ก็ได้ เลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว แต่ถ้าข้าต้องการ เจ้าก็ต้องกลับมา” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น ในส่วนลึกของจิตใจก็รู้สึกเห็นใจปรมาจารย์เอกะเทวะไม่น้อย เขาโบกสะบัดชายแขนเสื้อ หันหลังเพื่อจากไป

แต่ดูเหมือนว่าปรมาจารย์เอกะเทวะจะไม่ยอมเลิกลา รีบพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว

“อย่าไป!”

ในทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปาก ปรมาจารย์เอกะเทวะก็รู้สึกเสียใจ ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านขึ้น จากนั้นก็เริ่มก่นด่าสาปแช่งตัวเองอยู่ภายในใจว่าทำไมถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็ไม่อาจจะถอยกลับได้ ซึ่งคงเป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างยิ่ง ดังนั้นมันจึงเสแสร้งทำเป็นมีโทสะขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้ เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักลง และปรมาจารย์เอกะเทวะก็เริ่มสั่นสะท้าน

เมิ่งฮ่าวหมุนตัวกลับไปมองยังปรมาจารย์เอกะเทวะ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด “หือ? เจ้าไม่ต้องการให้ข้าจากไป เพราะต้องการจะกลายเป็นพาหนะให้กับข้าจริงๆ?”

ปรมาจารย์เอกะเทวะเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกิริยาท่าทางและการกระทำของมันกำลังจะจางหายไป แต่เมื่อตระหนักว่ากู๋อี่ติงซานอวี่กำลังยืนหัวเราะอยู่บนหลังของตนเอง ก็ให้รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง กระแอมไอออกมา พยายามพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แก่ชราและลึกซึ้ง

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ข้าก็ยังคงเป็นปรมาจารย์ของเจ้า อย่างน้อยก่อนที่จะจากไป เจ้าก็ควรจะโขกศีรษะให้กับเหลาจู่ แต่ถ้าเจ้าไม่ทำ ก็ไม่เป็นไร ฮึ่ม”

ปรมาจารย์เอกะเทวะบังคับตัวเองอย่าได้สั่นสะท้าน และจริงๆ แล้ว มันก็รวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดเพื่อกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกไป มันชำเลืองมองไปยังเมิ่งฮ่าว ค่อยๆ ถอยไปทางด้านหลังอย่างช้าๆ

เมิ่งฮ่าวหัวเราะหึๆ รู้ดีว่าปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ตนเองกำลังมีอารมณ์ดีอยู่ในตอนนี้ จึงแค่ประสานมือและโค้งตัวลง

“ขอให้เหลาจู่ปลอดภัยแข็งแรง ปล่อยให้เมิ่งโหม่วจากไปดีหรือไม่?”

“ฮึ่ม! เจ้าคลานจากไปได้แล้ว!” ทันใดนั้นปรมาจารย์เอกะเทวะก็รู้สึกพึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกว่าต้องมีบางสิ่งในตนเองที่เจ้าสารเลวน้อยเมิ่งฮ่าวรู้สึกหวาดกลัว ทำให้ความรู้สึกเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมาในทันที

เมิ่งฮ่าวยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน แต่ทันใดนั้นพลังการฝึกตนก็ส่งเสียงดังกระหึ่มขึ้น และสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็กระจายออกไป ปรมาจารย์เอกะเทวะรู้สึกตกใจจนตัวสั่นขึ้นมาในทันที พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น โดยไม่ต้องขบคิดใดๆ ใบหน้ามันมีท่าทางประจบเอาใจขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ฮา ฮา ฮา เหลาจู่แค่ล้อเล่นเท่านั้น! สหายน้อยเมิ่งฮ่าว เจ้า…เจ้ารีบไปเถอะ…”

ในตอนนี้ปรมาจารย์เอกะเทวะไม่สนใจว่ากู๋อี่ติงซานอวี่กำลังแอบหัวเราะอยู่ หนังศีรษะของมันเริ่มด้านชาขึ้นมา และต้องการให้เมิ่งฮ่าวจากไปอย่างรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันยังได้ก่นด่าสาปแช่งคำพูดที่ไม่ยั้งคิดของตนเองเมื่อครู่นี้อีกด้วย

ด้วยเช่นนั้น มันรีบถอยไปทางด้านหลัง กลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งห่างออกไปไกลในทันที ก่นด่าตัวเองว่าน่าจะมีพลังมากกว่านี้ เพื่อจะได้อยู่ห่างออกไปจากเมิ่งฮ่าวได้รวดเร็วกว่านี้

เมิ่งฮ่าวมองดูปรมาจารย์เอกะเทวะจากไป ด้วยแววตาที่อ่อนโยน เขาต้องยอมรับว่าปรมาจารย์เอกะเทวะคือต้นกำเนิดของความทรงจำที่น่ารักมากมาย จากภูเขาต้าชิงไปจนถึงสำนักเอกะเทวะ ทั้งหมดนั้นคือส่วนที่ล้ำค่าในอดีตที่ผ่านมา

หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก เมิ่งฮ่าวก็หมุนตัวไป ในตอนนี้บรรยากาศที่เยือกเย็นจนน่าขนลุกพุ่งขึ้นมาอยู่รอบๆ ตัว แววตาเปลี่ยนเป็นคมกริบราวใบมีด จากนั้นก็เริ่มมุ่งหน้าตรงไปยังรอยแตกที่อยู่ระหว่างขุนเขาทะเลที่เจ็ดและแปด

“ไป๋จู่ ครั้งนี้เจ้าต้องตาย!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา หลังจากที่เหยียบย่างเท้าลงไป ร่างกายก็หายไปอยู่ในที่ห่างไกลอย่างฉับพลัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version