Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1384

ตอนที่ 1384

สร้างความแตกแยก

อาณาจักรขุนเขาทะเลเงียบกริบ ผู้ฝึกตนที่รอดชีวิตทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ในขุนเขาที่เก้า เหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่ล้านคนเท่านั้น แต่กลุ่มคนไม่กี่ล้านที่รอดชีวิตมาจากสงครามอันโหดร้าย ก็ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของผู้ฝึกตน คนทั้งหมดไม่ว่าจะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในระดับใด ในตอนนี้ต่างก็มีชีวิตอยู่หลังจากการสังหารอันโหดร้ายอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

พวกมันไม่ได้เข้าสู่สนามรบเป็นครั้งแรกอีกต่อไป พวกมันมีความฮึกเหิม พวกมันมีความหวัง แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่าง…กำลังระส่ำระสายอยู่ในตอนนี้

จะเอาชนะได้อย่างไร…?

จะต่อสู้อย่างไร…?

ตรงด้านนอกของขุนเขาทะเลที่เก้าเป็นกองกำลังของกลุ่มคนนอกคอกอันแข็งแกร่งนับสิบล้าน ทำการโอบล้อมอาณาจักรขุนเขาทะเลไว้โดยสิ้นเชิง ที่ห่างไกลออกไปมากกว่านั้นเป็นสวรรค์ชั้นที่สิบแปดจนถึงชั้นที่สามสิบสาม คล้ายกับเป็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับจิตใจของกลุ่มคนที่เฝ้ามองมา

ที่โดดเด่นมากที่สุดของทั้งหมดนั้นก็คือผู้นำกองกำลังของกลุ่มคนนอกคอกเหล่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่สองผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้เท่านั้น ด้วยการเพิ่มขึ้นมาของวานรเต้าฟาง ทำให้พวกมันมีอยู่ถึงสามคนในตอนนี้!

สามผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้…ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ สามารถจะกล่าวได้ว่าในทันทีที่พวกมันปรากฏตัวขึ้น อาณาจักรขุนเขาทะเลก็พ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว

ขุนเขาและสายน้ำมอดมลาย อาณาจักรก็ล่มสลายไปด้วยเช่นกัน ขุนเขาทะเลที่เก้าเต็มไปด้วยความหดหู่และเงียบกริบ ราวกับเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทลงไปแล้ว…ไม่มีใครพูดอะไรออกมา กลุ่มคนทั้งหมดมองออกไปยังด้านนอกอย่างเงียบๆ

ผู้ฝึกตนนับล้านที่รอดชีวิตมาเหล่านี้ ต่างก็ทำการรักษาบาดแผลของตนเองที่มีอยู่ทั่วร่างกันทั้งหมด

ยังคงมี…ความหวังเหลืออยู่บ้างหรือไม่…?

คำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบนี้ กัดกร่อนจิตใจของคนทั้งปวงอย่างต่อเนื่อง

สงครามได้กลายเป็นความขมขื่นอย่างแท้จริง เมื่อขุนเขาทะเลแรกถูกทำลายไป หลังจากนั้นขุนเขาทะเลแห่งแล้วแห่งเล่าพังทลายลงไป จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงแค่ขุนเขาทะเลที่เก้าเท่านั้น เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังขุนเขาทะเลในตอนนี้ และจิตใจก็ปวดร้าวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่กำลังมองไปจริงๆ แล้วก็คือ…บ้านเกิดของตนเอง

แต่ขณะที่เกิดสงครามขึ้น ความตาย…เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ ครอบครัวและสหายกำลังจะกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ สวี่ชิงโผล่ออกจากกลุ่มฝูงชน มายืนอยู่ที่ข้างกายเมิ่งฮ่าว เมื่อเขาเห็นนาง ก็ยื่นมือออกไปจับมือของนางไว้ รู้สึกหนาวเย็นเป็นอย่างยิ่ง

นางมองเข้ามาในดวงตาเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่สงบนิ่ง ราวกับว่าแค่ได้จับมือกับเขา ก็เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดแล้วในโลกนี้

กลุ่มคนตระกูลฟางก็มายืนอยู่ที่ข้างกายเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน คนในครอบครัวก็มาด้วย สหายก็มา ในตอนนี้เมื่อสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดของอาณาจักรขุนเขาทะเลคือขุนเขาทะเลที่เก้า สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว เมิ่งฮ่าวคือสัญลักษณ์ของคนทั้งหมด

ที่ห่างไกลออกไป ปรมาจารย์เอกะเทวะถอนหายใจ เข้ามาใกล้พร้อมกับแคว้นจ้าวที่อยู่บนหลังด้วยเช่นกัน ในขุนเขาทะเลที่เก้าก็ยังมีตระกูลหลี่และตระกูลหวังที่ดูเย็นชาและอ้างว้างด้วยเช่นกัน เหมือนกับสำนักและตระกูลต่างๆ ทั้งหมดในตอนนี้

เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของพี่สาว ที่อยู่ร่วมกับบิดามารดาบนดาวหนานเทียน

ขณะที่อาณาจักรขุนเขาทะเลตกอยู่ในความเงียบ เสียงของไห่เมิ่งจื้อจุนจู่ๆ ก็ดังก้องออกมา

นางมองขึ้นไปยังสุ่ยตงหลิว กล่าวขึ้นให้คนทั้งหมดได้ยินว่า “ท่านคือ…จิ่วเฟิงจริงๆ…?”

เมื่อผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลได้ยินคำพูดนาง พวกมันก็มองขึ้นไปในท้องฟ้าด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าคนทั้งหมดจะมองไม่เห็นสิ่งใดที่ด้านบน แต่ความหดหู่ในจิตใจก็จางหายไปในทันที และความหวังก็เริ่มลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งอย่างช้าๆ

คนทั้งหมดต่างก็รู้จักจิ่วเฟิง และตลอดช่วงของการเกิดสงครามในครั้งนี้ ต่างก็ตระหนักว่าจิ่วเฟิงจื้อจุนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วในตอนนั้น คือความมุ่งหวังทั้งหมดที่พวกมันเฝ้ารออยู่ในตอนนี้

เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปยังสุ่ยตงหลิว เฝ้ารอเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ทั้งปวงเพื่อได้ยินคำตอบจากท่าน

ตอนแรกสุ่ยตงหลิวไม่พูดอะไรออกมา แต่หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ ก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าคือ จิ่วเฟิง!!”

ในทันทีที่ท่านพูดออกมา ผู้ฝึกตนทั้งหมดแห่งขุนเขาทะเลที่เก้าต่างก็พลุ่งพล่านขึ้นด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าพวกมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากความตาย ราวกับว่าพวกมันมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

จิ่วเฟิงคือตำนานในอาณาจักรขุนเขาทะเล เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมาทั้งหมด อันที่จริงสามารถจะกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดปรมาจารย์ของผู้ฝึกตนทั้งปวงแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล!

ถึงแม้ว่าคนทั้งหมดจะตื่นเต้น แต่ก็มีบางคนที่มีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป รวมทั้งเมิ่งฮ่าว, ตี้จ้าง, ไห่เมิ่ง, ราชันขุนเขาทะเล และผู้ถูกเลือกอื่นๆ ที่ชาญฉลาดและมีความคิดเห็นที่กว้างไกล

“ท่านไม่ใช่จิ่วเฟิงที่แท้จริง” เมิ่งฮ่าวคิด แอบถอนหายใจ ไม่พูดเป็นเสียงดังขึ้นมา แต่เนื่องจากโลหิตผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ภายในร่าง

ทำให้รู้ว่าสุ่ยตงหลิว…ต้องไม่ใช่จิ่วเฟิงจื้อจุนอย่างแน่นอน

แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกๆ เกี่ยวกับคำพูดของไห่เมิ่ง ราวกับว่าจุดประสงค์ในคำถามนั้นก็เพื่อต้องการให้ท่านเห็นด้วยกับนาง และปลุกเร้าความฮึกเหิมของผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลขึ้นมา

ถ้าท่านคล้อยตามคำพูดของไห่เมิ่ง ก็เป็นการพิสูจน์ว่าท่านไม่ใช่จิ่วเฟิงจริงๆ ถ้าท่านปฏิเสธคำพูดของนาง…ก็เป็นไปได้ว่าท่านอาจจะเป็นจิ่วเฟิงที่แท้จริง

เมิ่งฮ่าวเข้าใจดีถึงเรื่องนี้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ บางคน แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมา

กลุ่มผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ในทะเลจำนวนมาก ลอยขึ้นมาบนพื้นผิวของทะเลที่เก้า ตอนแรกก็มองออกไปนอกอาณาจักรขุนเขาทะเล จากนั้นก็หันหน้ามองตรงไปยังขุนเขาที่เก้าอย่างเงียบๆ ทะเลที่เก้าทั้งหมดในตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยเจตจำนงของพวกมัน

แม้ในขณะที่คำพูดของสุ่ยตงหลิว ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเลต้องพลุ่งพล่านขึ้นมา เสียงของผู้ยิ่งใหญ่บุรุษแปดแก่นแท้ก็ดังก้องออกมาจากภายในกองกำลังของกลุ่มคนนอกคอก

“เซียนแห่งขุนเขาทะเล พวกเจ้า…พ่ายแพ้ในสงครามนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้ต่อไปอีก ข้าสามารถเป็นตัวแทนของสามสิบสามสวรรค์ เสนอโอกาสรอดชีวิตให้พวกเจ้าได้”

“จงยอมจำนน อย่าได้ต่อต้าน ปล่อยให้พวกข้าผนึกพื้นฐานฝึกตนของพวกเจ้า และกลายมาเป็นทาสของพวกข้า สงครามครั้งนี้…จบลงแล้ว”

“ถ้าพวกเจ้ายอมจำนน บางคนอาจจะถูกสังหารไป แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะรอดชีวิต บางสำนักและบางตระกูลอาจจะยอมให้คงอยู่ต่อไปได้ พวกเจ้าอาจจะไร้อิสรภาพ แต่บางที…ก็อาจจะเป็นโชคด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”

“จะต่อสู้หรือยอมจำนน? ข้าจะให้พวกเจ้าขบคิดเป็นเวลาชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอก สำหรับคนที่ต้องการจะยอมจำนน ก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา การกระทำเช่นนั้นอาจจะถูกสังหารไปก็เป็นได้…หลังจากธูปไหม้หมดหนึ่งดอกแล้ว สามสิบสามสวรรค์จะเริ่มโจมตีไปเป็นครั้งสุดท้าย สหายเต๋าเสวียนยิน, สหายเต๋าเต้าฟาง และตัวข้า จะร่วมมือกันโจมตีไปยังอาณาจักรขุนเขาทะเลอย่างเต็มกำลัง!”

“ในช่วงของการต่อสู้ ใครก็ตามที่ต้องการจะยอมจำนน ก็สามารถจะเปลี่ยนข้าง และโจมตีไปยังอาณาจักรขุนเขาทะเลได้ พวกข้าจะยอมรับว่าเป็นรูปแบบของการยอมจำนน!” ดวงตาของผู้ยิ่งใหญ่บุรุษแปดแก่นแท้สาดประกายขึ้น โบกสะบัดมือออกไป ทำให้ธูปที่กำลังลุกไหม้ปรากฏขึ้นมา

ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ชั่วร้ายโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง!

ด้วยการเสนอความหวังเช่นนั้นให้กับผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเล และสร้างเป็นความแตกแยกในท่ามกลางพวกมันด้วยเช่นกัน เมื่อถึงเวลาที่ต้องต่อสู้ ผู้ฝึกตนก็จะต้องมีความวิตกกังวล ไม่เพียงแต่เฉพาะกลุ่มคนนอกคอกที่โจมตีมาอย่างเปิดเผยเท่านั้น แต่ก็ต้องระแวงสหายร่วมรบอีกด้วย ไม่มีใครสามารถจะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า…ในช่วงเวลาแห่งความเป็นตายนี้ผู้คนจะเลือกสิ่งใด

ม่านตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลงเมื่อตระหนักว่า แม้แต่ในท่ามกลางตระกูลฟาง ก็ยังมีใครบางคนกำลังใคร่ครวญด้วยความลังเล ถึงแม้ว่าสีหน้าเช่นนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่าความคิดเช่นนั้นของพวกมันจะหายไปด้วย หรือเพียงแค่ถูกปกปิดไว้

อาณาจักรขุนเขาทะเลเงียบกริบลงอย่างน่ากลัว ผู้ฝึกตนเริ่มไตร่ตรองถึงคำพูดของผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เป็นช่วงเวลาแห่งความวิกฤตอย่างแท้จริง และด้วยเงาแห่งความตายที่ปกคลุมลงมาอย่างเลือนราง ความคิดที่จะกลายเป็นทาส ถึงแม้ว่าจะน่ารังเกียจ แต่ก็เป็นหนทางเดียวเพื่อรอดชีวิต

ไห่เมิ่งไม่กล่าวอะไรออกมา สุ่ยตงหลิวก็ไม่พูดเช่นกัน ทะเลที่เก้าเงียบกริบไปโดยสิ้นเชิง

ธูปเผาไหม้และเวลาก็เลื่อนผ่านไป ความเงียบกลายเป็นแรงกดดันที่กดทับลงมายังคนทั้งหมด ถ้าสุ่ยตงหลิวไม่บอกว่าท่านคือจิ่วเฟิง อาณาจักรขุนเขาทะเลก็คงจะแตกสลายตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับความเป็นตาย การตัดสินใจของผู้คนก็จะไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป…

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสุ่ยตงหลิวจะกล่าวอ้างตัวตนของจิ่วเฟิงออกมา ก็ไม่มีผลกระทบมากนัก นอกจากนี้สถานการณ์โดยรวมทั้งหมด…ก็ดูเหมือนว่าจะไร้ความหวังไปโดยสิ้นเชิง

ในตอนนี้เองที่สุ่ยตงหลิวกล่าวขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเก่าแก่โบราณและเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง

“ความเป็นตายคือสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน การส่งต่อจารีตประเพณีและสิ่งที่มีค่าต่างๆให้กับกลุ่มคนรุ่นหลังคือสิ่งสำคัญสำหรับสำนักและตระกูลทั้งหมด สำหรับเหล่าฟูแล้ว การที่สามารถจะส่งต่อพลังแห่งเปลวธูปและสายโลหิตแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล…คือสิ่งสำคัญมากที่สุดด้วยเช่นกัน”

“ดังนั้นเมื่อคิดว่าพวกเราได้ร่วมต่อสู้ในสงครามจนมาถึงจุดนี้ สำนักหรือตระกูลใดๆ ก็ตามที่ต้องการจะยอมจำนนต่อสามสิบสามสวรรค์ ก็สามารถจะทำได้โดยไม่ต้องหวั่นเกรงใดๆ เหล่าฟูจะไม่สังหารพวกเจ้า มันคือทางเลือกของพวกเจ้าเอง”

“ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ เหล่าฟูจะไม่ตรวจสอบใดๆ ทุกคนต่างก็มีโชคชะตาของตนเอง ซึ่งไม่อาจจะขัดขวางได้ อย่างไรก็ตาม…เมื่อไหร่ที่ช่วงเวลานี้ผ่านไป และการต่อสู้เริ่มขึ้น ใครก็ตามที่กลายเป็นผู้ทรยศในสนามรบ ก็ให้มั่นใจได้ว่าถ้าเหล่าฟูยังไม่ตายไป ก็จะทำให้ผู้ทรยศเหล่านั้นตกตายไปพร้อมกับอาณาจักรขุนเขาทะเล! ดังนั้นผู้ที่ต้องการจะยอมจำนน ให้ออกไปจากอาณาจักรขุนเขาทะเลโดยด่วน!” เสียงของสุ่ยตงหลิวไม่ได้ดุร้ายน่ากลัว แต่ก็แน่วแน่เด็ดเดี่ยวจนคนทั้งหมดสามารถจะรับรู้ได้

ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาจักรขุนเขาทะเล กองกำลังกลุ่มคนนอกคอกมองไปยังผู้ฝึกตนด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ราวกับว่าเหตุการณ์ในตอนนี้คือความบันเทิงที่ยอดเยี่ยมสำหรับพวกมัน

จากนั้นเมื่อธูปกำลังจะเผาไหม้เสร็จสิ้น เสียงถอนหายใจก็ดังก้องออกมาจากขุนเขาที่เก้า ดังออกมาจากภายใน…หนึ่งในตระกูลใหญ่…ตระกูลหวัง!

“เหล่าฟูเป็นตัวแทนตระกูลหวัง…ขอยอมจำนน!”

“บรรพบุรุษรุ่นแรกของตระกูลหวังไม่ได้มาจากอาณาจักรขุนเขาทะเล และมาอยู่ที่นี่ด้วยความบังเอิญเท่านั้น…ดังนั้นพวกเราจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับสงครามขุนเขาทะเลนี้” คำพูดที่กล่าวขึ้นมาโดยปรมาจารย์ตระกูลหวัง ทำให้ผู้ฝึกตนตระกูลหวังส่วนใหญ่ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา

แต่ก็มีบางคนที่เห็นได้ชัดว่ามีโทสะเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือหวังมู่ ที่พยายามจะพุ่งออกมาจากกองกำลังของตระกูลหวัง แต่ก่อนที่มันจะสามารถทำได้ มือที่ดูเก่าแก่โบราณข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาคว้าจับมันไว้

“ไม่!!” ดวงตาหวังมู่กลายเป็นสีแดงก่ำไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่แผดร้องออกมาด้วยความไม่ยินยอม แต่ชายชราที่อยู่ด้านหลังมันก็ถอนหายใจ จากนั้นก็ฟาดมันด้วยฝ่ามือจนสลบไป

เวลาเดียวกันนั้น ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากภายในตระกูลหวัง ขณะที่บุรุษหนุ่มร่างสูงสง่างามปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือหวังเถิงเฟย ถึงแม้ว่ามันจะไม่พอใจเมิ่งฮ่าว แต่ในตอนนี้เมื่อความอยู่รอดของอาณาจักรถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย มันก็เลือกที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกับขุนเขาทะเล

อย่างไรก็ตามตระกูลหวังก็ไม่ยอมให้มันทำเช่นนั้นได้ และถูกขัดขวางไม่ให้จากไป

เวลาเดียวกับที่ตระกูลหวังเลือกที่จะยอมจำนน ชายชราร่างผอมแห้งที่อยู่ในป่าไผ่ของตระกูลหวังก็ถอนหายใจออกมา

“ช่างน่าละอายใจนัก…” มันพึมพำส่ายหน้าไปมา พร้อมกับหลับตาลง มันจะไม่ต่อสู้ในสงครามนี้ แต่ก็ต้องการจะเห็นว่าอาณาจักรขุนเขาทะเล…จะสามารถฟื้นฟูกลับคืนมาได้หรือไม่

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เสียงอันขมขื่นก็ดังก้องออกมาจากกองกำลังของตระกูลใหญ่อีกแห่ง ซึ่งก็คือตระกูลหลี่ “เหล่าฟูเป็นตัวแทนของตระกูลหลี่…ขอยอมจำนน…”

เมื่อเสียงนั้นดังก้องออกมา หลี่หลิงเอ๋อร์ซึ่งในตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างกายไห่เมิ่งจื้อจุนก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา

หยดน้ำตาไหลลงมาขณะที่ร้องตะโกนออกไป “ท่านปรมาจารย์ พวกท่าน…กำลังทำอะไรอยู่?! พวกเราคือผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเล! พวกท่าน…พวกท่าน…ข้ารู้สึกละอายใจที่เป็นส่วนหนึ่งของพวกท่านจริงๆ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version