ตอนที่ 1421
ยั่วยุ
เมื่อซ่างกวนหงและคนอื่นๆ รับรู้ในสิ่งที่เมิ่งฮ่าวกำลังทำอยู่ พวกมันก็ไม่ทำอะไรที่จะมาขัดขวาง เจ้าสำนักครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็เลือกที่จะไม่สนใจ
ตราบเท่าที่การกระทำของเมิ่งฮ่าวไม่มีผลกระทบต่อแผนการของพวกมัน เขาก็สามารถจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ตราบเท่าที่เขาไม่ทำอะไรที่อาจจะเป็นอันตรายต่อชางหมางพ่าย…พวกมันก็ไม่สนใจในสิ่งที่เขาทำ
นอกจากนั้นเมิ่งฮ่าวก็กระทำด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ใช้กองกำลังของตนเองเท่านั้น และขยายอาณาเขตออกไปยังบริเวณที่ชางหมางพ่ายยังไม่ได้ควบคุมดูแล
ขณะที่กองกำลังของเมิ่งฮ่าวเริ่มปฏิบัติการลงมือ เขาก็เข้าไปนั่งเข้าฌาณตามลำพังอยู่ในเมืองตี้จิ่วจื้อจุน และได้รับข้อมูลที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่ด้านนอกอย่างประปรายเท่านั้น
เวลาเลื่อนผ่านไป ในชั่วพริบตาก็ผ่านไปแล้วสิบปี
ตลอดช่วงเวลานั้นเมิ่งฮ่าวออกไปจากเมืองตี้จิ่วจื้อจุนเพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือเขายังคงนั่งเข้าฌานตามลำพัง ขณะที่กองกำลังของเขามุ่งเน้นไปที่การขยายตัวผ่านการทำสงครามและวิธีการอื่นๆ
ในไม่ช้าชื่อเสียงของตี้จิ่วจื้อจุนก็เริ่มเป็นที่รู้จักอยู่ในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตทั้งปวง ในที่สุดการเปิดรับสมาชิกก็เริ่มขึ้น ศิษย์ใหม่จำนวนมากขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ตลอดช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านไปนั้น ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเมิ่งฮ่าวคล้ายกับเป็นใบมีดอันคมกริบ ตัดเฉือนลงไปยังใครก็ตามที่มาขัดขวางเส้นทางของพวกมัน สำหรับผู้ฝึกตนหนึ่งแสนคนที่เป็นกองกำลังหลักของเขา เมื่อใดก็ตามที่พวกมันเข้าไปต่อสู้ ก็สามารถจะล้มล้างกองกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด
ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนทั้งหนึ่งแสนคนนี้ แต่พวกมันต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นกันทั้งหมด สามารถจะรวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อกลายเป็นค่ายกลเวทขนาดใหญ่
สำหรับราชันจักรพรรดินีทั้งสาม และเจ็ดจักรพรรดินีเต๋า สิบปีที่ผ่านไปสำหรับพวกนางค่อนข้างจะสบายใจอยู่ไม่น้อย เดิมทีพวกนางรู้สึกว่าการถูกเลือกให้มาเป็นผู้พิทักษ์ของตี้จิ่วจื้อจุนก็หมายความว่า ถูกลิขิตให้กลายเป็นเครื่องระบายสำหรับการฝึกฝนพื้นฐานฝึกตนของเขา แต่ความเป็นจริงก็คือว่า ตลอดทั้งสิบปีที่ผ่านมาจำนวนครั้งที่พวกนางจะได้เห็นเมิ่งฮ่าวอย่างแท้จริง สามารถจะนับได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น
ยังมีเหตุการณ์ที่สำคัญอื่นๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นอยู่เล็กน้อย
ในครั้งหนึ่งมีบางสิ่งที่คล้ายกับเป็นพายุทรายเกิดขึ้นมาอยู่รอบๆ สถานที่นั่งเข้าฌาณตามลำพังของเมิ่งฮ่าว เงาร่างๆ หนึ่งปรากฏขึ้นมาจากภายในพายุทราย พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เก่าแก่โบราณและแหบแห้งว่า
“เจ้าไม่ใช่ตี้จิ่วจื้อจุน”
เมื่อคำพูดนั้นดังก้องออกมา พลังขั้นสูงสุดของเก้าแก่นแท้ที่ระเบิดออกมาก็ถูกตรวจจับได้ เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ขณะที่เผชิญหน้ากับพลังขั้นสูงสุดของระดับเก้าแก่นแท้ ในตอนนั้นดวงตาเต๋าบนหน้าผากของเขาก็เปิดออก และแก่นแท้พลังของเวทผนึกทั้งแปดก็พุ่งขึ้นมา เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังพายุทรายด้วยดวงตาทั้งสามดวง
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกไปทั่วทั้งดาวครึ่งดวง หลังจากนั้นเจ้าของเสียงที่แหบแห้งก็หัวเราะออกมา
“แต่ข้าก็ชอบบุคลิกและความเกลียดชัง รวมทั้งความแน่วแน่และมุ่งมั่นของเจ้า”
เมื่อคำพูดของมันดังก้องออกไป พายุทรายก็จางหายไป และเงาร่างนั้นก็เข้าไปที่ด้านในของดวงดาว เมื่อมันปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็กลับเข้าไปในทะเลทรายที่อยู่บนดาวชางหมาง ใบหน้ามันซีดขาวเล็กน้อย แต่ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า ชายชราพึมพำขึ้นว่า
“ขั้นกลางเก้าแก่นแท้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ข้าต้องสั่นสะท้านขึ้นมาได้…การควบคุมดวงตาเต๋าของมันอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบแล้ว!”
เสียงๆ หนึ่งจู่ๆ ก็พูดออกมาที่เบื้องหน้ามัน “ขอบคุณมาก”
ซึ่งเป็นเสียงของเจ้าสำนักชางหมางพ่ายนั่นเอง!
อีกหนึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในตอนที่เมิ่งฮ่าวออกมาจากดาวชางหมาง เขาไปยังสนามรบที่กองกำลังของตนเองกำลังต่อสู้อยู่กับกลุ่มที่ดุร้าย ซึ่งมีผู้แข็งแกร่งมากที่สุดเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแปดแก่นแท้, มังกรดำอันดุร้าย เนื่องจากมังกรตัวนี้ทำให้กองกำลังในส่วนของตี้จิ่วจื้อจุนต้องต่อสู้ด้วยความอับจนปัญญา
ในท่ามกลางผู้ใต้บังคับบัญชาของเมิ่งฮ่าวเป็นผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ผู้หนึ่ง ซึ่งได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ทำให้ต้องออกมาจากสนามรบอย่างไร้ทางเลือก เพื่อขอความช่วยเหลือกลับไปยังดาวชางหมาง
เมื่อเมิ่งฮ่าวปรากฎตัวขึ้น ก็ยกมือขวาขึ้นมาและชี้นิ้วออกไป ทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวถูกบดขยี้ไป และความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้อง สิ่งมีชีวิตทั้งปวงในบริเวณนั้นสั่นสะท้าน รวมทั้งผู้ฝึกตนของเขาเองและกลุ่มศัตรูด้วยเช่นกัน พวกมันคุกเข่าลงไปทีละคน ขณะที่แรงกดดันอันมหาศาลกดทับลงมาบนไหล่ของพวกมัน ใครก็ตามที่ไม่ยอมคุกเข่าก็จะถูกบดขยี้จนตายไปทั้งร่างกายและวิญญาณ
สำหรับมังกรดำ มันส่งเสียงแผดร้องที่ทรงพลังออกมา ขณะที่ร่างกายถูกถลกหนังจนโลหิตชุ่มโชกไปทั้งตัว ความหวาดกลัวปราฏขึ้นมาในดวงตา พร้อมกับหมอบตัวลงไปเพื่อยอมจำนน
เมิ่งฮ่าวหมุนตัวจากไป ผู้ฝึกตนที่อยู่ใต้บังคับบัญชามองดูเขาจากไป และดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้นด้วยความคลั่งไคล้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ ซึ่งส่งเสียงหอบหายใจออกมา มันเคยเห็นผู้แข็งแกร่งเก้าแก่นแท้ต่อสู้มาก่อน แต่การแสดงออกมาอย่างน่ากลัวของเมิ่งฮ่าว ก็ทำให้มันตระหนักว่าตี้จิ่วจื้อจุนไม่ใช่ผู้ฝึกตนเก้าแก่นแท้ธรรมดาทั่วไป!
ในวันสุดท้ายของช่วงเวลาสิบปี เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องเข้าฌาณตามลำพังในเมืองตี้จิ่วจื้อจุน ทันใดนั้นดวงตาก็ลืมขึ้นมาในทันที มองเห็นแสงที่คล้ายแสงดาวส่องประกายออกมา ใครก็ตามที่สามารถจะมองเข้าไปในดวงตาของเขาในตอนนี้ก็จะรู้สึกสั่นสะท้าน ราวกับว่าพวกมันกำลังจมลงไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอันไร้ขอบเขตตราบชั่วนิรันดร์
ที่กำลังลอยอยู่ตรงด้านนอกประตูห้องเข้าฌานตามลำพังก็คือ แผ่นหยกขาวที่กระจายเป็นแสงอันอ่อนโยนออกมา มันคือแผ่นหยกที่ปลุกเมิ่งฮ่าวให้ตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาน
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ยื่นมือขวาทำท่าคว้าจับออกไป แผ่นหยกขาวที่อยู่ตรงด้านนอกก็หายไป
ในตอนนี้เองที่มันปรากฏขึ้นอีกครั้งอยู่ในฝ่ามือของเมิ่งฮ่าว จิตใจเต็มไปด้วยเสียงเก่าแก่โบราณของเจ้าสำนักที่อยู่ในขั้นสูงสุดของเก้าแก่นแท้
“เหลาจิ่ว (อันดับเก้า)…ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องมุ่งหน้าไปยังเขตสุสาน!”
นิ้วของเมิ่งฮ่าวจับไปรอบๆ แผ่นหยก ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย แต่ประกายแสงแวบขึ้นมาในดวงตา ตั้งแต่ตอนที่พายุทรายพุ่งขึ้นมาอยู่รอบๆ สถานที่เข้าฌานตามลำพัง และมีเงาร่างปรากฏขึ้นพร้อมกับสุ้มเสียงที่แหบพร่า เมิ่งฮ่าวก็รู้ว่าแผนการที่ชางหมางพ่ายกำลังดำเนินมานานหลายปี ในที่สุดก็บรรลุถึงจุดสำคัญแล้ว
สำหรับเขตสุสานของปรมาจารย์ชางหมาง เมิ่งฮ่าวมุ่งหวังว่าจะได้สำรวจดูเป็นอย่างยิ่ง อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับวิธีการที่เหลือทิ้งไว้โดยท่านปรมาจารย์…เพื่อให้เข้าไปสู่จุดสูงสุดจากระดับเก้าแก่นแท้
ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้กลายเป็นตี้จิ่วจื้อจุนมาสิบปีแล้ว บางทีเจ้าสำนักอาจจะจงใจเฝ้ารอเป็นเวลาสิบปีเพื่อสังเกตดูตนเอง ถึงแม้เขาจะไม่แน่ใจว่าเจ้าสำนักมีข้อสรุปอย่างไร หลังจากที่เฝ้าจับตาดูเช่นนั้น แต่ก็เหมือนกับว่าเมิ่งฮ่าวได้รับการยอมรับแล้ว
“ลองไปดูว่าสุสานของปรมาจารย์ชางหมางนี้จะเป็นอย่างไร มันเป็นผู้ก่อตั้งชางหมางพ่าย และเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นสูงสุดด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนภายในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนี้เท่านั้น”
“จากบันทึกโบราณของชางหมางพ่าย ก็ดูเหมือนว่า…ปรมาจารย์ชางหมางก็คือ…บุคคลแรกที่เคยอยู่ในจุดสูงสุด ก่อนที่อาณาจักรเทพและอาณาจักรมารจะเกิดขึ้น!” ประกายแสงอันลึกล้ำปรากฏขึ้นในดวงตาเมิ่งฮ่าว ขณะที่คิดย้อนกลับไปยังหลายปีก่อนหน้านี้ เมื่อผีเสื้อขุนเขาทะเลกำลังพุ่งผ่านความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต และไปเผชิญหน้ากับชายชราที่กำลังตกปลาอยู่ผู้หนึ่ง
“มันคือจุดเริ่มต้น และข้าคือจุดสิ้นสุด จุดเริ่มต้นที่มันเอ่ยถึงก็คือ…ปรมาจารย์ชางหมาง?”
“และสิ่งที่อยู่ภายในกระแสน้ำวนโลงศพสีเขียว ก็มีความเชื่อมโยงกับปรมาจารย์ชางหมางด้วยเช่นกัน?”
“ตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา ข้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ภายในชางหมางพ่าย และเห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์ชางหมางเกิดขึ้นมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน ดูเหมือนว่า…มันน่าจะมาจากยุคสมัยเดียวกับชายชราที่ตกปลาผู้นั้น”
“ถ้าไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ก็ยังมีความลับเกี่ยวกับต้นกำเนิดของตะเกียงสัมฤทธิ์นี้ ถ้าไม่ใช่จนกระทั่งข้าเข้ามาในชางหมางพ่ายมันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้รู้ว่าต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างพวกมัน”
“ปรมาจารย์ชางหมาง…” หลังจากที่ครุ่นคิดอีกเล็กน้อย เมิ่งฮ่าวก็ก้าวเดินตรงไปโดยไม่ลังเล และจากนั้นก็หายตัวไปในทันที เมื่อปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็ไปอยู่ในกลางอากาศเหนือเมืองตี้จิ่วจื้อจุน
นี่คือครั้งที่สองที่เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมา และขณะที่เริ่มมุ่งหน้าตรงไปยังตำแหน่งของวิหารหลัก ก็มองลงไปยังเมืองที่ด้านล่างและกล่าวว่า “เรียกซูอี้และซินเยี่ยจากเมืองตี้จิ่วจื้อจุนมาเดี๋ยวนี้”
เมื่อเสียงของเมิ่งฮ่าวดังก้องออกไป กลุ่มคนที่ด้านล่างก็สั่นสะท้านและคุกเข่าลงด้วยความเคารพ สามราชันจักรพรรดินีรีบมาคารวะน้อมพบในทันที
สตรีทั้งสามเหล่านี้ต่างก็มีบุคลิกส่วนตัวที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่าช่วงเวลาสิบปีจะผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย สตรีที่เย็นชาก็ยังคงชาเย็น สตรีที่รังเกียจก็ยังคงไม่อาจจะปิดบังแววตาที่ดูถูกของนางได้ และสตรีที่อบอุ่นก็ยังคงอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย แต่ก็ยังคงพยายามที่จะไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย
สำหรับซูอี้และซินเยี่ย พวกนางคือสองผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเมิ่งฮ่าว เป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมากที่สุดในท่ามกลางกองกำลังของตนเอง และเขาก็คิดว่าจะนำพวกนางไปด้วยกันยังเขตสุสาน
โดยไม่สนใจสามราชันจักรพรรดินี เมิ่งฮ่าวมุ่งหน้าต่อไป และในที่สุดก็มาถึงตำแหน่งที่ตั้งของเก้าแท่นบูชา มีอยู่สี่คนที่มาถึงก่อนหน้าแล้ว
หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นก็คือซ่างกวนหงในชุดยาวสีม่วงทอง เมื่อมองเห็นเมิ่งฮ่าว มันก็ยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าให้ อีกสามคนลืมตาขึ้นมา และเมื่อมองเห็นเมิ่งฮ่าว พวกมันก็ยิ้มออกมา จากสีหน้าของคนทั้งหมดก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีอะไรที่ผิดปกติไปแม้แต่น้อย
ตรงด้านล่างของแท่นบูชาทั้งสี่มองเห็นผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของแต่ละคน กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น เมื่อพวกมันมองเห็นเมิ่งฮ่าว ก็ลุกขึ้นมายืนและโค้งตัวคารวะในทันที
เมิ่งฮ่าวยิ้มให้ ประสานมือและจากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิเฝ้ารออยู่บนแท่นบูชาที่เก้า
ไม่นานนักผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้คนอื่นๆ ก็มาถึง พร้อมกับผู้แข็งแกร่งทรงพลังที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกมัน หลังจากที่คารวะทักทายกันอย่างเป็นทางการแล้ว คนทั้งหมดก็นั่งลง จากนั้นเสียงกระหึ่มกึกก้องก็ได้ยินมา เมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังบางอย่างกระจายออกไป และรอยแตกก็เปิดออกอยู่เหนือแท่นบูชาแรก
ชายชราผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากภายในรอยแตกนั้น มีรูปร่างที่สูงใหญ่ และเส้นผมที่ขาวโพลนยาวสยายไปทั่วทั้งแผ่นหลัง การปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันของมันทำให้เกิดเป็นแรงกดดันอย่างน่าเหลือเชื่อกดทับลงมา
นี่ก็คือเจ้าสำนักแห่งชางหมางพ่าย ซึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดของเก้าแก่นแท้!
สิ่งที่เพิ่งจะเดินออกมานี้ ไม่ใช่ร่างจำแลงจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นร่างจริงของมันเอง
ซ่างกวนหงและคนอื่นๆ ทั้งหมด รวมทั้งเมิ่งฮ่าว รีบลุกขึ้นมายืนและประสานมือคารวะ “ขอน้อมพบท่านเจ้าสำนัก!”
ผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ต่างก็รีบทำการคารวะในทันที เจ้าสำนักพยักหน้าเล็กน้อย และประสานมือเพื่อทักทายกลับไป จากนั้นก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อและเริ่มกล่าวขึ้นมาอย่างช้าๆ “ถึงเวลาแล้ว ท่านทั้งหลาย…เหล่าฟูคงไม่จำเป็นต้องเน้นย้ำถึงความสำคัญของสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำนี้ พวกเราเคยตระเวนไปทั่วทั้งอาณาเขตสุสานของท่านปรมาจารย์มาหลายครั้งหลายครา และรู้ถึงเส้นทางที่จะนำไปสู่เขตด้านใน”
“เป้าหมายของพวกเราก็คือ บรรลุถึงจุดศูนย์กลางของสุสาน หวังว่าพวกเราจะสามารถทำได้สำเร็จ ถ้าทำไม่ได้ อย่างน้อยก็สามารถจะสำรวจอาณาเขตที่ด้านในให้มากขึ้นได้!”
ดวงตาของคนทั้งหมดในบริเวณนั้นเริ่มสาดประกายเจิดจ้าขึ้น
เจ้าสำนักสูดหายใจเข้าลึกๆ และจากนั้นก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไปด้วยท่าทางที่เคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นแท่นบูชาทั้งเก้าก็เริ่มสั่นสะเทือน เมื่อขั้นตอนการเคลื่อนย้ายทางไกลกำลังเริ่มต้นขึ้น
ในตอนนี้เองที่สองลำแสงพุ่งตรงมายังแท่นบูชา ซึ่งก็คือสองผู้ยิ่งใหญ่แปดแก่นแท้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเมิ่งฮ่าวนั่นเอง แต่ขั้นตอนการเคลื่อนย้ายทางไกลได้เริ่มขึ้นแล้ว ทำให้พวกมันยากที่จะเข้ามาใกล้ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าวที่อยู่บนแท่นบูชาที่เก้า
ก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะทันได้พูดอะไรออกมา ตี้ลิ่วจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับหก) ซึ่งเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีจมูกงองุ้ม อยู่บนแท่นบูชาที่หกก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “พวกเจ้าอยู่ใต้บังคับบัญชาของใคร? มาตอนนี้ก็สายแล้ว กลับไปเถอะ”