Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1453

ตอนที่ 1453

กงจื่อสนุกได้ตามสบาย

น้อยคนนักที่จะรู้ว่าร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวเปิดชีพจรเซียนได้กี่จุด หลังจากผ่านทัณฑ์เซียนมาได้แล้ว เขาไม่ได้ประโคมข่าวแต่อย่างใด แต่กลับไปนั่งเข้าฌานตามลำพังเพื่อฝึกฝนตนเองต่อไป

แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง อันเนื่องมาจากเรื่องราวของฉู่อวี้เยียน

“หานเป้ยวางแผนมาล่วงหน้าแล้วหลายปี นางหลอมรวมวิญญาณตัวเองเข้ากับวิญญาณของฉู่อวี้เยียน เพื่อให้มีชีวิตอยู่ร่วมกัน…ช่างมีผู้หนุนหลังที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” หลังจากที่เงียบไปสักพัก เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

ต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าที่ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวจะทำจิตใจให้เยือกเย็นลงได้ หลังจากนั้นก็หายตัวไปช่วงเวลาหนึ่ง และกลับมาพร้อมกับอ๋าวเฉี่ยน ต่อมาทั้งสองก็เข้าไปนั่งเข้าฌาณตามลำพังเพื่อฝึกฝนตนเองต่อไป

เวลาเลื่อนผ่านไป ชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกสิบปี ตลอดช่วงเวลานั้นร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวไม่ได้ออกจากตี้จิ่วจงอีกเลย ยังคงนั่งเข้าฌานอยู่ตลอดเวลา

เพราะว่าเขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในที่ชุมชน จึงไม่มีใครรับรู้ถึงระดับพื้นฐานฝึกตนหรือความก้าวหน้าของเขาได้ หลังจากผ่านไปสิบปี ไม่มีทัณฑ์สายฟ้าฟาดลงมา ดังนั้นผู้คนจึงไม่ได้วิตกว่าเขาจะเป็นผู้ถูกเลือกหรือไม่ และจริงๆ แล้วก็มีผู้คนมากมายที่ลืมฟางมู่ไปแล้ว ส่วนกลุ่มคนที่ยังคงจดจำได้ก็เนื่องมาจากว่าพวกมันเคยดูถูกเขาไว้เท่านั้น

เขาไม่มีสหายหรือเคยติดต่อกับผู้ใด ยังคงอยู่ภายในแผนกของตี้จิ่วจง มุ่งเน้นไปที่การนั่งเข้าฌานตามลำพังเท่านั้น การแยกตัวออกมาจากสำนักเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ปกติ มีแต่ผู้คนที่มีศักดิ์ฐานะพิเศษเท่านั้นถึงจะสามารถกระทำในเรื่องเช่นนี้ได้ นอกจากนั้นฟางมู่ก็เป็นแค่ศิษย์สายในทั่วไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม…ตี้จิ่วจงก็เป็นของเมิ่งฮ่าว เขาพูดออกไปเพียงแค่คำเดียว จักรพรรดิเต๋าผู้หนึ่งก็ประกาศว่าฟางมู่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และห้ามใครไปรบกวน ดังนั้นเรื่องราวจึงได้ดำเนินมาเช่นนี้

เนื่องจากเช่นนั้น จึงไม่มีใครไปรบกวนร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา ที่อยู่เป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คืออ๋าวเฉี่ยนเท่านั้น

อันที่จริงส่วนใหญ่แล้วเมิ่งฮ่าวก็ใช้เวลาสิบปีในรูปแบบนี้ด้วยเช่นกัน มุ่งเน้นไปที่การได้รับความรู้แจ้งจากเวทผนึกทั้งหมดของตนเอง ด้วยการเจาะลึกไปที่การฝึกตนเพียงอย่างเดียวทำให้ช่วงเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา มีความแข็งแกร่งมากกว่าตอนที่เข้าไปในเขตสุสานอย่างเห็นได้ชัด

การเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางเข้าไปในเขตสุสานเป็นครั้งที่สอง ยังคงถูกจัดเตรียมโดยเจ้าสำนัก เห็นได้ชัดว่ามันต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดเตรียมอย่างสมบูรณ์ ตั้งใจที่จะบรรลุถึงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สองในการเดินทางครั้งหน้านี้ให้จงได้

ตลอดช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา มีข่าวลือแพร่กระจายออกมาว่าหานเป้ยทะลวงผ่านอาณาจักรเซียนไปได้สำเร็จ

ตอนนี้นางอยู่ในอาณาจักรโบราณ ไม่ได้เป็นว่าที่เซิ่งหนี่ว์ (สตรีศักดิ์สิทธิ์) อีกต่อไป แต่กลายเป็นหนึ่งในเก้าเซิ่งหนี่ว์แห่งชางหมางพ่ายไปอย่างแท้จริง

ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักจะเตรียมการสำหรับการเข้าไปในเขตสุสานอย่างเป็นความลับ แต่บางครั้งก็ต้องมีผู้ช่วยเหลือ และยังได้ให้คำแนะนำต่อหานเป้ยซึ่งถือว่ามีความสำคัญกับมันเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย

สำหรับเรื่องราวที่ดำเนินไปเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย

ผ่านไปอีกหนึ่งปี ในขณะที่ร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวโผล่ออกมาจากการนั่งเข้าฌาณตามลำพังและออกไปจากตี้จิ่วจง ไม่มีใครไปขัดขวางเขา คนส่วนใหญ่มีความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขาอย่างเลือนลางเท่านั้น

ทั้งร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวและอ๋าวเฉี่ยนกลายเป็นลำแสงพุ่งห่างออกไปไกล ไม่กี่วันต่อมาทั้งคู่ก็ไปปรากฏกายขึ้นยังเมืองเล็กๆ ในโลกมนุษย์เมืองหนึ่ง

เมืองนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมากนัก แต่ก็เป็นสถานที่อันอึกทึกวุ่นวาย บนท้องถนนเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่เร่งรีบในการกระทำภารกิจต่างๆ เมิ่งฮ่าวก้าวเดินเนิบนาบผ่านเข้าไปในตัวเมือง สวมใส่ชุดยาวสีเขียว และดูคล้ายกับนักศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของครอบครัวชนชั้นกลางแห่งหนึ่ง

แววตาปรากฏความอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมา ขณะที่มองไปยังกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่กำลังเล่นด้วยกันอยู่ตรงด้านนอกประตูรั้ว หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นเป็นเด็กหญิงอายุประมาณสิบเอ็ดปีผู้หนึ่ง มีรอยยิ้มที่เอียงอายขณะที่เล่นกับเหล่าสหายของนาง

สายตาของเมิ่งฮ่าวดูเหมือนว่าจะย้อนกลับไปยังในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน หวนรำลึกถึงเหตุการณ์มากมายที่เคยเกิดขึ้นในตอนนั้น ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง และสายลมอันแห้งแล้งก็พัดพาให้ใบไม้ล่วงหล่นลงมาบนพื้นถนน ดวงตะวันใกล้ลาลับขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้ม ทำให้โลกแห่งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น และสาดส่องเงาร่างของเมิ่งฮ่าวให้ทอดยาวไปบนพื้น…

ทันใดนั้นเด็กหญิงก็รู้สึกว่ากำลังถูกจับตามองดูอยู่ และมองขึ้นมายังเมิ่งฮ่าว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย รีบหลบตาไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปชั่วขณะ และเขาก็ยังคงเฝ้ามองไปเช่นเดิม ทำให้นางรู้สึกตกใจกลัวมากยิ่งขึ้น กระซิบบางอย่างกับสหาย จากนั้นก็วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน

เมิ่งฮ่าวหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความหวนรำลึก

“ในชาติก่อนของเจ้า ข้าเป็นหนี้เจ้า…ในชาตินี้ ข้าจะชดใช้คืนให้” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงแผ่วเบา จัดเตรียมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เดินตรงไปยังบ้านหลังนั้นและยกมือเคาะประตู หลังจากที่ผ่านไปสักพัก ประตูก็เปิดออก และเขาก็เดินเข้าไป

ไม่จำเป็นต้องมีพิธีการอันซับซ้อน บนดาวชางหมาง มนุษย์ทั่วไปตระหนักดีถึงการคงอยู่ของเซียน และปฏิบัติต่อเซียนเหล่านั้นด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างสูงสุด

เมิ่งฮ่าวบอกว่าต้องการจะนำเด็กหญิงผู้นี้ ซึ่งมีนามว่าเยียนเอ๋อร์ไปด้วยในฐานะที่เป็นศิษย์ เขาแสดงวิชาเวทบางอย่างให้บิดามารดาของเด็กหญิงดู ทำให้คนทั้งสองยินยอมแทบจะในทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย มีท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

สองสามวันหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวก็จากมา พร้อมกับเด็กหญิงที่มีท่าทางโศกเศร้าและอ๋าวเฉี่ยน

ผ่านไปนานชั่วขณะ นางก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “ซือจุน (อาจารย์)…ท่าน…ท่านไม่ได้หลอกลวงจริงๆ?”

เมิ่งฮ่าวใช้ฝ่ามือตบไปบนศีรษะนางอย่างแผ่วเบาแทนการตอบคำถามนี้

นางรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยแต่ก่อนที่จะทันได้กล่าวอะไรออกมา จู่ๆ ร่างนางก็ลอยขึ้นไปในอากาศ สายลมพุ่งมาปะทะใบหน้า และเมื่อมองลงไป ก็เห็นพื้นดินกำลังยืดยาวออกไปในทั่วทุกทิศทาง ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ และดวงตานางก็เริ่มเบิกกว้างมากขึ้น

หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก นางก็มองเห็นเทือกเขายืดยาวออกไปอย่างไม่รู้จบ เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างนับไม่ถ้วน ซึ่งก็คือ…ตี้จิ่วจง (สำนักที่เก้า)

ทันใดนั้นเสียงที่แผ่วเบาของเมิ่งฮ่าวก็ได้ยินอยู่ในหูของนาง “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือศิษย์ของฟางมู่ และจะเป็นศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น”

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เด็กหญิงก็อาศัยอยู่ในเขตนั่งเข้าฌานตามลำพังของฟางมู่ ในแผนกของตี้จิ่วจง ด้วยการมีนางอยู่ด้วย เรื่องราวจึงไม่ได้เงียบสงบอีกต่อไป

นางมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติในการฝึกตน แต่ดูเหมือนว่าจะมุ่งเน้นไปที่การปรุงยามากที่สุด เมิ่งฮ่าวใช้เวลาสั่งสอนนางเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน รวมทั้งวิธีการปรุงยาบางอย่างของตนเอง

บุคลิกส่วนตัวของเด็กหญิงแตกต่างเป็นอย่างมากกับเมิ่งฮ่าว นางมีความสุขกับการสำรวจไปทั่วทั้งตี้จิ่วจง และชอบที่จะสร้างมิตรภาพ ในที่สุดผู้คนเกือบทั้งหมดในแผนกต่างก็รู้ว่าฟางมู่ ซึ่งมีการแสดงออกที่โดดเด่นเมื่อสิบปีก่อนได้รับศิษย์ไว้หนึ่งคน

เจ็ดปีผ่านไป ในตอนนี้ก็ผ่านไปสิบแปดปีแล้วตั้งแต่ทัณฑ์เซียนของฟางมู่ และเป็นปีที่เยียนเอ๋อร์ศิษย์ของตนเองมีอายุครบสิบแปดปีพอดี

นางกลายเป็นสาวสะพรั่งที่ดูอ้อนแอ้นสง่างาม ยิ่งเติบใหญ่ขึ้นนางก็ยิ่งมีความงดงามมากขึ้น และในที่สุดก็เริ่มมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในท่ามกลางเหล่าศิษย์หญิงสาวคนอื่นๆ ในสำนัก เนื่องจากนางมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติในการฝึกตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการปรุงยา ตอนนี้นางอยู่ในระดับสูงสุดขั้นพื้นฐานลมปราณ ห่างจากขั้นสร้างแกนลมปราณแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น

เต๋าแห่งการปรุงยาของนางลึกล้ำอย่างไร้ที่สิ้นสุด เพียงพอที่จะทำให้แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนของแผนกยังต้องสั่นสะท้าน

เนื่องจากเช่นนั้น ทำให้ศิษย์บุรุษบางคนได้เริ่มเฝ้าพัวพันเยียนเอ๋อร์ แต่นิสัยส่วนตัวของนางคล้ายกับเด็กหนุ่มอยู่บ้างเล็กน้อย จึงไม่ยอมที่จะแสดงท่าทีที่อ่อนช้อยนุ่มนวลหรือว่าอ่อนแอเปราะบางออกมา ช่วงเวลาที่นางทำหน้ามุ่ยและมีกิริยาเหมือนเด็กผู้หญิงก็มีแต่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเมิ่งฮ่าวเท่านั้น

“ซือจุน ข้าขอไปได้หรือไม่? ข้า…ข้าเฝ้ารอวันนี้มานานแล้ว!”

“ซือจุน ท่านวางใจได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซือซยง (ศิษย์พี่ผู้ชาย) ซือเจี่ย (ศิษย์พี่ผู้หญิง) ของสำนักจะไปที่นั่นด้วยกัน”

เยียนเอ๋อร์กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ เริ่มพูดจาขอร้องอ้อนวอน แต่ในที่สุดเมื่อเขานั่งเข้าฌาณอยู่ที่นั่นไม่สนใจตนเอง

นางก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา “เสียวเหล่าโถว (ตาเฒ่าน้อย) ท่านจะให้ข้าไปหรือไม่!?”

“ช่างป่าเถื่อนนัก!” เมิ่งฮ่าวกล่าว ลืมตาขึ้นมาจ้องมองไปยังนาง

ไม่กี่ปีมานี้เยียนเอ๋อร์ทำให้เขาต้องรู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง ในตอนแรกนางปฏิบัติต่อเขาด้วยความเกรงกลัวและเคารพ แต่ทัศนคติเช่นนั้นค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งหมดสิ้นไปแล้วในตอนนี้

เห็นได้ชัดว่าเยียนเอ๋อร์ไม่ได้หวาดกลัวต่อสายตาที่จ้องมองมาของอาจารย์นาง ยิ้มกว้างออกมา และไปนวดไหล่ให้ เริ่มขอร้องอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ประจบประแจงและอ่อนหวานเป็นอย่างยิ่ง

“ซือจุน ทุกคนบอกว่าไม่เพียงแต่กลุ่มคนจากแผนกพวกเราเท่านั้นที่จะไปยังตลาดนั้น สำนักทั้งหมดต่างก็จะไปยังที่นั่น อันที่จริงกลุ่มคนจากทวีปอื่นๆ ก็จะไปด้วยเช่นกัน ผู้คนจากตี้อีจง (สำนักแรก) ตี้เอ้อร์จง (สำนักที่สอง) กล่าวได้ว่าทั้งเก้าสำนักแห่งชางหมางพ่าย ต่างก็จะไปยังที่แห่งนั้น”

“มันจะต้องน่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง! ศิษย์พี่ปี้อวิ๋นก็จะไปด้วยเช่นกัน…ข้าได้ยินมาว่ามันมีนามอยู่ในหนึ่งร้อยคนแรกของชางหมางไถ (แท่นไร้สิ้นสุด)…” เมื่อเยียนเอ๋อร์พูดถึงศิษย์พี่ปี้อวิ๋น ดวงตาก็เริ่มเจิดจ้าขึ้นมาในทันที

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วจากนั้นก็ถอนหายใจ ตระหนักว่าเหตุผลที่ศิษย์ของตนเองต้องการจะไปตลาด ไม่ใช่เพียงแค่ไปซื้อต้นสมุนไพรเท่านั้น แต่ก็เป็นเช่นเดียวกับศิษย์หญิงสาวส่วนใหญ่ ที่ต้องการไปดูผู้ถูกเลือกของสำนัก ปี้อวิ๋นซึ่งเป็นหนึ่งในดวงตะวันอันเจิดจ้าของตี้จิ่วจง

เมื่อไม่อาจจะจัดการกับคำเกลี้ยกล่อมและคำกระตุ้นของนางได้ ในที่สุดเขาก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ก็ได้ ไปเถอะ”

เยียนเอ๋อร์รู้สึกดีใจขึ้นมาในทันที ยังได้ก้มตัวลงมาและกอดเขาไว้อีกด้วย เมื่อได้เห็นท่าทางดีใจของนางเช่นนี้ แววตาเมิ่งฮ่าวก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย และคิดย้อนไปถึงฉู่อวี้เยียน

เมื่อปีนั้นเขาเป็นหนี้ความรู้สึกของฉู่อวี้เยียน น่าเสียดายที่ในตอนนี้จิตใจของตนเองได้ตายไปแล้ว และสิ่งทั้งหมดที่เขาจะมอบให้กับนางได้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์เท่านั้น

เยียนเอ๋อร์จากไป รุ่งอรุณของเช้าวันต่อมา นางไปพบกับศิษย์คนอื่นๆ ในแผนกด้วยจิตใจที่เบิกบาน หลังจากนั้นคนทั้งหมดก็ไปที่ตลาดด้วยกัน ซึ่งเพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมาบนทวีปที่เก้าเมื่อไม่กี่ปีมานี้

เมิ่งฮ่าวอยู่ในเขตเข้าฌานเพียงลำพัง พื้นฐานฝึกตนอยู่ในช่วงวิกฤต สามารถทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรโบราณได้แทบจะตลอดเวลา แต่ก็ยังคงอยู่ในอาณาจักรเซียนต่อไป ทำให้ผู้คนมากมายลืมเขาไปแล้ว ไม่มีใครรู้ถึงเหตุผลนี้นอกจากตนเองเท่านั้น เมื่อเขาเปิดชีพจรเซียน ก็มีจำนวนที่มากกว่าร่างจริงของตนเองก่อนหน้านี้ ทำให้อยู่ในระดับที่น่ากลัวซึ่งไม่มีใครเคยบรรลุถึงมาก่อน แม้แต่ในสมัยโบราณก็ตามที

นั่นคือเหตุผลที่ทำไมความก้าวหน้าในอาณาจักรเซียนของเขาถึงได้เชื่องช้าเช่นนี้

“เนื่องจากการทะลวงผ่านอย่างต่อเนื่องของข้า ทำให้เวทรุ่นเก้าเริ่มเข้าใกล้ความสมบูรณ์มากขึ้น แต่ทำไมสิ่งที่ข้าเคยเชื่อว่ามีความสมบูรณ์แบบเมื่อในอดีต ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสมบูรณ์แล้ว…?” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ทำการฝึกฝนตนเองต่อไป

ในขณะที่เขากำลังมุ่งเน้นไปที่การฝึกตน เยียนเอ๋อร์และศิษย์พี่หญิงชาย ได้ออกจากตี้จิ่วจง (สำนักที่เก้า) และไปเข้าร่วมกับกลุ่มศิษย์จากตี้ปาจง (สำนักที่แปด)

กลุ่มคนเหล่านั้นมีอยู่นับสิบคน ต่างก็อยู่ในอาณาจักรเซียน หนึ่งในนั้นเป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูหรูหราเป็นอย่างยิ่ง มีเหล่าสหายมาห้อมล้อมอยู่รอบๆ ตัว แววตาเปล่งประกายด้วยแสงแห่งความมักมากในกามออกมา ดูเหมือนกับบุรุษหนุ่มที่ไร้ความวิตกกังวลใดๆ แต่ความจริงแล้วมันมีตำแหน่งที่โดดเด่นอยู่ในตี้ปาจง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่ามันมีผู้ฝึกตนวัยกลางคนเป็นเหมือนกับเงาร่าง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้พิทักษ์เต๋าของมัน ดูเหมือนว่าพื้นฐานฝึกตนของบุรุษผู้นั้นจะอยู่ในอาณาจักรเซียน แต่จริงๆ แล้วก็เป็นผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าที่ทรงพลัง

แทบจะในทันทีที่กลุ่มคนทั้งสองมาพบหน้ากัน บุรุษหนุ่มก็ให้ความสนใจต่อเยียนเอ๋อร์เป็นพิเศษ ดวงตามันสาดประกายขึ้นทั้งความตื่นเต้นและความต่ำช้าชั่วร้าย

“ช่างเป็นกระถางที่ดีจริงๆ…” มันกล่าวขึ้นพร้อมกับฉีกยิ้มออกมาจนกว้าง ผู้พิทักษ์เต๋าของมันก็ยิ้มด้วยเช่นกัน ตระหนักดีถึงนิสัยกงจื่อ (คุณชาย) ของตระกูล นอกจากนั้นบุรุษหนุ่มก็มีความสำคัญอยู่ภายในตี้ปาจงเป็นอย่างยิ่ง และแม้แต่ภายในชางหมางพ่ายทั้งหมดด้วยเช่นกัน น้อยคนนักที่จะสามารถเทียบได้ อย่างไรก็ตามผู้พิทักษ์เต๋าก็ยังคงระมัดระวังตัว เมื่อไหร่ที่กงจื่อชอบหญิงสาว มันก็มักจะตรวจสอบดูเบื้องหลังของนาง ถ้าพบว่าหญิงสาวนางใดมีเครือญาติอยู่ในสำนัก มันก็จะแนะนำให้บุรุษหนุ่มอย่าได้ไปไล่ตามพัวพัน แต่ถ้าเป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไป ก็มีอยู่หลายวิธีที่จะทำให้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง

ผู้พิทักษ์เต๋าดึงเอาแผ่นหยกออกมา ตรวจสอบดูชั่วขณะ จากนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“รู้เบื้องหลังของนางแล้ว นางไม่มีเครือญาติใดๆ เพิ่งจะเข้าสังกัดสำนักเมื่อไม่กี่ปีก่อนในฐานะที่เป็นศิษย์ของใครบางคนซึ่งมีนามว่าฟางมู่ ฟางมู่เริ่มต้นจากมนุษย์ธรรมดากลายมาเป็นเซียนภายในช่วงเวลาแค่สิบปีเท่านั้น และทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนขึ้นมาในช่วงนั้น แต่มันก็ไม่มีเครือญาติด้วยเช่นกัน เป็นแค่ศิษย์สายในจากแผนกของตี้จิ่วจงเท่านั้น”

“กงจื่อสนุกได้ตามสบาย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version