ตอนที่ 1513
เสาทั้งห้า
ถ้าไม่มีตะเกียงสัมฤทธิ์ เวทผนึกกรรมของเมิ่งฮ่าวก็ไม่อาจจะมีผลกระทบกับความทรงจำของเฉินฝาน ซึ่งถูกขยายออกไปด้วยเจตจำนงแห่งหลัวเทียน แต่ตอนนี้ตะเกียงสัมฤทธิ์ได้ตรึงเจตจำนงแห่งหลัวเทียนไว้ ทำให้เมิ่งฮ่าวที่ใกล้จะพังทลายลงไปสามารถลงมือ ด้วยพลังสุดท้ายในช่วงเวลาวิกฤตนี้ได้
ก่อนหน้านี้คนทั้งสองสามารถต่อสู้ได้อย่างเท่าเทียมกัน แต่ตอนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นขณะที่อาวุธสงครามทำลายเส้นใยกรรมของเฉินฝานไปโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ไม่มีกรรมเกิดขึ้นระหว่างเมิ่งฮ่าวและเฉินฝานอีกต่อไป ภาพทั้งหมดของเฉินฝานที่อยู่ในความทรงจำของเมิ่งฮ่าวถูกลบล้างออกไปโดยสิ้นเชิง
เมล็ดพันธุ์ที่ก่อตัวขึ้นโดยเจตจำนงแห่งหลัวเทียนส่งเสียงแผดร้องคำรามด้วยโทสะ ขณะที่แสงอันเจิดจ้าจากตะเกียงสัมฤทธิ์ม้วนกวาดขับไล่พวกมันออกไป
โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว และทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าจะแก่ชราลงไปมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อครู่นี้ถ้าเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ต้องถูกกำจัดออกไป
เมิ่งฮ่าวคิดย้อนกลับไปยังหลัวเทียนสือเจ่อ (ทูตแห่งหลัวเทียน) ซงเต้าจื่อซึ่งก้าวออกไปในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตด้วยพื้นฐานฝึกตนที่อยู่ห่างจากเหนือสูงสุดแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น และได้กลับมาในฐานะที่เป็นหลัวเทียนสือเจ่อ
เขาตระหนักดีว่าซงเต้าจื่อเคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นเดียวกับตัวเองในตอนนี้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างจากเหนือสูงสุดแค่ครึ่งก้าว แต่มันก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่รอคอยตนเองอยู่ เมิ่งฮ่าวรู้ดีว่าถ้าปราศจากตะเกียงสัมฤทธิ์ ตนเองก็คงจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกันกับซงเต้าจื่อ
ขณะที่เจตจำนงแห่งหลัวเทียนถูกตัดออกไปจากร่างเมิ่งฮ่าว แผ่นฟ้าและผืนดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยฉีกขาดเริ่มเปิดออกไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
ในท่ามกลางเสียงกระหึ่มกึกก้อง รอยแตกเปิดออกยาวมากขึ้นและกว้างมากขึ้นกว่าเดิม กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง เฉินฝานยืนอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ร่างกายแห้งเหี่ยวลงไป มองมายังเมิ่งฮ่าวและยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มแห่งความโศกเศร้าเสียใจ ความเจ็บปวด และการปลดปล่อย
“เมิ่งฮ่าว ศิษย์พี่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังแล้ว!” เฉินฝานแผดร้องคำราม จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือลงไปบนหน้าผากตัวเองอย่างรุนแรง
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสลดลง และขยับร่างตรงไปข้างหน้าเพื่อขัดขวาง แต่เฉินฝานก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เสียงระเบิดดังก้องออกไป และเฉินฝานก็ระเบิดออก ถูกสังหารไปทั้งร่างกายและวิญญาณ
เพื่อซานหลิง มันต้องยอมทำลายอาณาจักรขุนเขาทะเล
เลือกที่จะไม่สนใจความห่วงใยของศิษย์น้อง ร่วมมือกับเจตจำนงแห่งหลัวเทียนเพื่อพยายามจะกำจัดจิตวิญญาณของเขาไป ในที่สุดมันก็ไปไกลเกินกว่าที่จะปล่อยให้ความทรงจำในจิตใจเมิ่งฮ่าวได้รับผลกระทบโดยเมล็ดพันธุ์เจตจำนงแห่งหลัวเทียน
ถึงแม้ว่ามันจะกระทำเรื่องเหล่านั้นทั้งหมด แต่เฉินฝานก็ไม่เคยจะโหดร้ายหรือไร้ความเมตตาใดๆ จิตใจมันมักจะรู้สึกลังเลสำนึกผิดอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุดเมื่อเห็นได้ชัดว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร มันก็ไม่กล้าที่จะไปมองหน้าเมิ่งฮ่าวได้อีก จึงเลือกที่จะจบชีวิตตนเองด้วยความขมขื่น บางทีความตายของมันอาจจะสามารถชดเชยบางอย่างก็เป็นได้
เมิ่งฮ่าวมองไปยังจุดที่เฉินฝานตายไปอย่างเงียบๆ จิตใจปวดร้าวด้วยความขมขื่น ถึงแม้เฉินฝานเลือกที่จะโจมตีมา แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่รู้สึกเกลียดชังมันแต่อย่างใด ตอนนี้เขามีสหายลดน้อยลงไปมากกว่าเดิม จึงรู้สึกหวงแหนความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นทั้งหมด
การตายไปของเฉินฝานทำให้โลกรอบๆ บริเวณนั้นถูกทำลายลงไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น ในที่สุดเสียงกึกก้องจนแสบแก้วหูก็ได้ยินมา ขณะที่ทุกสรรพสิ่งแตกกระจายกลายเป็นเสี่ยงๆ ไป
เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้นก็คล้ายกับเป็นผ้าม่านที่ถูกดึงขึ้นไป เผยให้เห็นถึง…สิ่งที่อยู่ตรงด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง
ทุกสิ่งทุกอย่างดูแห้งแล้ง ไร้กลุ่มหมอกเหมือนกับที่อยู่ในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งหมดตกอยู่ในเศษซากปรักหักพัง และเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
เศษซากปรักหักพังและซากศพกระจัดกระจายออกไปทั่ว ยังมีฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ตราบชั่วนิรันดร์ด้วยเช่นกัน
นานมาแล้วสถานที่แห่งนี้คือชางหมางต้าเจี้ย (จักรวาลไร้สิ้นสุด) พร้อมกับหนึ่งร้อยสำนักและผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนที่แท้จริง ทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริง…
แต่ตอนนี้ความเจริญรุ่งเรืองของพวกมันจางหายไปจนไม่เหลืออะไรอยู่อีกเลย
มันเป็นสถานที่อันกว้างใหญ่ แต่ก็ยังคงมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ห่างไกลออกไปมากๆ มีเสาอยู่ห้าต้นซึ่งดูเหมือนว่าจะสูงชะลูดขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นเสาทั้งห้าเหล่านี้ ย้อนกลับไปยังอุโมงค์ใต้ดินในเขตสุสาน เขาเคยเห็นพวกมันผ่านทางสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่ในครั้งนี้ก็สามารถจะมองเห็นได้ด้วยสองตาของตนเอง
แต่ก็มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปในครั้งนี้…ย้อนกลับไปในภาพวาดเหล่านั้น เสาทั้งห้าตั้งตระหง่านอย่างแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้สามในห้าถูกทำลายไปแล้ว!
เหลืออยู่เพียงแค่สองต้นเท่านั้น ที่ยังคงยืดยาวขึ้นไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
เมิ่งฮ่าวมองไปยังเสาทั้งสองอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ จากนั้นดวงตาก็สาดประกายขึ้น เนื่องจากสายโลหิตและปราณอสูรของตนเอง รวมทั้งทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรขุนเขาทะเล ทำให้สามารถจะคาดเดาความเป็นจริงได้อย่างมากมาย
“แผนการนี้ถูกบ่มเพาะขึ้นเมื่อนานมาแล้ว”
“เห็นได้ชัดว่าสายโลหิตทุกชั้นฟ้า ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของหลัวเทียนโดยเฉพาะ!”
“และอสูร…ก็มาจากเซียน ข้าไม่ใช่อสูรคนแรก ก่อนหน้านี้ยังมีอีกมากมาย ทั้งหมดนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในตอนที่กำลังจะกลายเป็นเซียน และอสูร…คือสิ่งที่หลัวเทียนต้องการให้ปรากฏขึ้น”
“บางทีข้าอาจจะคิดไปแค่ข้างเดียว บางทีตลอดหลายปีที่ท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวเกิดขึ้นมา อสูรที่แท้จริงไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน บางทีในช่วงวิกฤตนั้น หลัวเทียนได้ทำการขัดขวางพวกมันไว้ทั้งหมด” เมิ่งฮ่าวอดที่จะคิดไปถึงซงเต้าจื่อขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เขามองไปยังเสาขนาดใหญ่ด้วยความครุ่นคิด จากนั้นก็เริ่มบินตรงไปยังทิศทางนั้นด้วยความรวดเร็วสูงสุด
เวลาผ่านไปเมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าตนเองบินไปนานเท่าใดแล้ว แต่ก็เข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็บรรลุถึงตำแหน่งที่เสาต้นหนึ่งถูกทำลายไป เมื่อลอยตัวอยู่ที่นั่น ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่สามารถจะทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือนขึ้นมา ไม่ใช่กลิ่นอายของเซียนหรืออสูร แต่เป็นมาร!
ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายมาร ก็ทำให้คิดไปถึงอาณาจักรมารขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นมือตรงไปยังเสาขนาดใหญ่อย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้นั้น และกดลงไปบนพื้นผิวของมันอย่างแผ่วเบา
ในทันทีที่มือของเมิ่งฮ่าวแตะสัมผัสลงไป ก็มองเห็นภาพของคนผู้หนึ่งซึ่งกระจายเป็นกลิ่นอายอันแข็งแกร่งอย่างน่ากลัวออกมา กำลังแหงนหน้าขึ้นและกู่ร้องออกมา
คนผู้นั้นถือกำเนิดขึ้นในกระแสน้ำวนอันมืดมิด ร่างกายและวิญญาณของมันถูกแยกออกจากกัน และจากนั้นหลายปีนับไม่ถ้วนต่อมา มันก็โผล่ออกมาจากกระแสน้ำวน มีชื่อเสียงจนทำให้โลกแห่งนั้นสั่นสะเทือนไปทั่ว ในที่สุดมันก็ก้าวเข้าไปบนโลกของผีเสื้อทั้งเก้า ทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต้องสั่นสะท้าน กลิ่นอายที่แปลกประหลาดกระจายออกไปจากร่างจนปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวต้องหมุนคว้างไปมา
พลังนั้นเพียงพอที่จะทำให้สวรรค์ต้องมืดสลัวปฐพีต้องเลือนลางลงไป ดวงดาวทั้งหมดต้องตกลงมา และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็ต้องก้มศีรษะให้
เมิ่งฮ่าวมองไปขณะที่คนผู้นั้นกลายเป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ ยอมอุทิศตัวเองให้กับคนทั้งหมดที่มันรู้จัก
หลังจากที่ผ่านไปหลายปีจนนับไม่ถ้วน ในที่สุดบุรุษที่กลายเป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ก็โผล่ออกมาอีกครั้ง มันออกจากดินแดนอันกว้างใหญ่และเดินทางไปยังด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ เมื่อมองเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในที่แห่งนี้กลายเป็นหัตถ์ยักษ์ทำท่าคว้าจับตรงมายังตนเอง
ประกายสายฟ้าแวบขึ้นมา ขณะที่บุรุษหนุ่มผู้นั้นทำลายดรรชนีของหัตถ์ยักษ์นั้นไปหนึ่งข้าง จากนั้นมันก็ออกไปจากด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต หายลับตาไปยังที่ห่างไกล
สำหรับดรรชนีที่ถูกทำลายลงไปนั้น คือเสาที่หักพังซึ่งเมิ่งฮ่าวกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้
“ผู้ฝึกตนเหนือสูงสุด มันต้องเป็นผู้ฝึกตนเหนือสูงสุดอย่างแน่นอน…” เมิ่งฮ่าวดึงมือกลับมา และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ จากข้อสรุปของตนเอง ทำให้มั่นใจได้ว่าบุรุษหนุ่มที่ตัวเองมองเห็นอยู่ในเสาต้นนี้…คือผู้ฝึกตนเหนือสูงสุดจากอาณาจักรมาร
เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้มีนามว่าอะไร แต่จากกลิ่นอายที่สามารถจะรับรู้ได้ ทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับเหนือสูงสุดได้มากขึ้นกว่าเดิม
เมิ่งฮ่าวขยับร่างเคลื่อนไหว บินตรงไปยังเสาที่ถูกทำลายอีกต้น เวลาเลื่อนผ่านไป ในที่สุดก็บรรลุถึงเสาต้นที่สอง เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็ยื่นมือออกไปวางอยู่บนพื้นผิวของมัน
ในตอนที่มือเมิ่งฮ่าวสัมผัสโดนเสาต้นนั้น จิตใจก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้อง มองเห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในหมู่บ้านบนภูเขา ทำให้ดาวดวงนั้นตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายขนานใหญ่ มันเข่นฆ่าสังหารไปตลอดทางจนสร้างเป็นตำนานอันน่าตกใจ จนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรของมัน!
หลังจากนั้นมันก็เดินไปบนวิถีทางที่แตกต่างไปจากเดิม เพื่อที่จะฟื้นคืนชีพภรรยาของตนเอง มันยอมละทิ้งการเข่นฆ่าสังหารในขณะที่อยู่ในจุดสูงสุด ทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต้องสั่นสะท้านไปทั่วเมื่ออยู่ในจุดเหนือสูงสุด
แทบจะในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้น ก็สั่นสะท้านขึ้นมา อดที่จะคิดไปถึงมือสังหารนั้นอย่างช่วยไม่ได้ รวมทั้งวิชาเดินข้ามกาลเวลาที่มือสังหารเคยสอนให้
บุรุษหนุ่มที่อยู่ในเสาต้นนี้และมือสังหารผู้นั้น ต่างก็มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับรูปปั้นซึ่งอยู่ในอาณาจักรเทพ…
มันมีสีหน้าเย็นชาขณะที่มองขึ้นไปยังท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว โบกสะบัดมือออกไป ทำให้ดวงดาวเคลื่อนย้ายเลื่อนตำแหน่ง และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็ฉีกขาดออก มันก้าวออกไปยังด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต และทำลายหนึ่งในดรรชนีเหล่านั้นด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะหายลับตาไปยังที่ห่างไกล
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเร่งร้อน ขณะที่ดึงมือกลับมา มองไปยังเสาที่ถูกทำลายไปด้วยสีหน้าอันซับซ้อน หลังจากที่ผ่านไปนานชั่วขณะ ก็หันหลังและมุ่งหน้าตรงไปยังเสาต้นต่อไป
เสาต้นนี้ยังไม่ถูกทำลายไป เป็นหนึ่งในสองต้นที่พุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว!
เมื่อเมิ่งฮ่าวยื่นมือออกไปแตะสัมผัสมัน ก็มองไม่เห็นสิ่งใดๆ ยกเว้นความว่างเปล่า ไม่มีผู้ฝึกตนเหนือสูงสุด แต่ก็มีปราณเซียนอันน่าตกใจ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังถูกบ่มเพาะอยู่ภายในเสาต้นนี้ ที่มองเห็นได้อยู่ภายในปราณเซียนเป็นภาพนับไม่ถ้วน ดูเหมือนว่าภาพทั้งหมดนั้นจะเป็นผู้คนต่างๆ
“ผู้คนเหล่านั้นคือผู้ที่ฝึกฝนเวทแห่งเซียนทั้งปวง และเดินไปบนวิถีทางที่จะกลายเป็นเซียน!”
“ไม่เคยมีเซียนเหนือสูงสุดมาก่อน…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ หลังจากที่ตรวจสอบดูอีกเล็กน้อย ก็ตระหนักว่าเสาต้นนี้อ่อนแอเป็นอย่างมาก จนแทบจะพังทลายลงไปแล้ว ถ้าเซียนที่แท้จริงปรากฏขึ้น เสาต้นนี้ก็คงจะพังทลายลงไปในทันที
เมิ่งฮ่าวดึงมือกลับมา หลังจากที่ครุ่นคิดอีกเล็กน้อย ก็เริ่มบินตรงไปยังเสาต้นที่สี่ ซึ่งเป็นเสาต้นสุดท้ายที่ถูกทำลายไป
เวลาเลื่อนผ่านไป หลังจากที่พุ่งผ่านฝุ่นละอองและเศษซากปรักหักพังทั้งหมด ก็มาถึงเสาต้นที่สี่ เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยื่นมือออกไปแตะเสาต้นนั้น เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในจิตใจ และมองเห็นภาพของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง
สวมใส่ชุดยาวที่ปักลวดลายบุปผา และดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปจากบุรุษหนุ่มอีกสองคนที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะเห็นมา มองเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้ามัน และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความเฉลียวฉลาด รูปร่างหน้าตาดูบอบบางและยังได้น่ารักอีกด้วย แทบจะคล้ายกับว่ามันกำลังฟื้นคืนมาจากอาการเจ็บป่วย
เมิ่งฮ่าวมองไปยังบุรุษหนุ่มอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แต่ขณะที่มองไป บุรุษหนุ่มก็หยิบเอากระจกทองแดงขึ้นมา และถือตะเกียงสัมฤทธิ์อยู่ในมือด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นชุดยาวที่มันสวมใส่อยู่นี้ ก็เป็นชุดเดียวกันกับที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งเผชิญหน้ากับทัณฑ์เซียน และถูกดรรชนีที่ตกลงมาจากท้องฟ้าสังหารไป ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้คือใคร
ชางหมางเหลาจู่! (ปรมาจารย์ไร้สิ้นสุด)
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็มองเห็นชางหมางเหลาจู่ออกไปยังด้านนอกของความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตด้วยเช่นกัน ทำลายดรรชนีไปหนึ่งข้าง และจากนั้นก็หายเข้าไปในความว่างเปล่า
จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ดึงมือกลับมา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก็มุ่งหน้าตรงไปยังเสาต้นสุดท้าย หนึ่งในสองที่ยังคงสูงตระหง่านขึ้นไปในท้องฟ้า
ขณะที่เมิ่งฮ่าวบินเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ปราณอสูรภายในร่างก็เริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วนขึ้นมา เพื่อตอบรับปราณอสูรที่กระจายออกมาจากเสาต้นนั้น