Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1538

ตอนที่ 1538

จักรวาลแห่งหนึ่ง

ดินแดนกว้างใหญ่แห่งแรกจนถึงแห่งที่แปด ซึ่งได้แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นละอองไป ในตอนนี้ได้ก่อตัวกลับเข้ามาใหม่จนเหมือนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างในเขตสุสานกลับมาเป็นเช่นก่อนหน้านี้

เมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลงต่ำอีกครั้ง ในตอนนี้เขายกเลิกความคิดที่จะนำเหล่าภูตผีออกไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจจะทำเรื่องนี้ได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องถ้าจะทำเช่นนั้น

นี่คือบ้านของพวกมัน พวกมันถือกำเนิดขึ้นในที่แห่งนี้ และพวกมันก็ตายไปในที่แห่งนี้ มันคือสถานที่ที่ไม่ควรจะแยกออกไปจากพวกมัน

เมิ่งฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หมุนตัวโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ม้วนกวาดเอาเจ้าสำนักและคนอื่นๆ ไปด้วย เดินตรงไปข้างหน้าหนึ่งก้าว โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกล ก็ออกไปอยู่ตรงด้านนอกเขตสุสานอย่างฉับพลัน

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวปรากฎกายขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ก็รู้สึกได้ถึงพลังขับไล่อันน่ากลัวที่กำลังกดทับลงมาบนร่าง และสามารถจะได้ยินเสียงที่คล้ายกับเสียงของเจตจำนงแห่งหลัวเทียนว่า

“ไป ไป ไป…ไสหัวออกไปจากที่แห่งนี้!”

เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว รับรู้ได้ถึงพลังการขับไล่อันรุนแรงนี้ กฎธรรมชาติภายในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต รวมทั้งแก่นแท้ทั้งปวงกำลังขับไล่ตนเองอยู่ในตอนนี้

เมิ่งฮ่าวซึ่งเป็นผู้อยู่เหนือสูงสุด เป็นสิ่งที่ท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขตไม่อาจจะยอมรับได้ ไม่ว่าเขาจะยืนอยู่ในที่แห่งใด ก็จะไปแทนที่แก่นแท้ทั้งปวง รวมทั้งกฎธรรมชาติทั้งหมด

ดังนั้นจึงต้องเกิดเป็นความขัดแย้งขึ้นมาอย่างแน่นอน

สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเป็นปกติ ขณะที่ละสายตากลับมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตรงไปยังเจ้าสำนักและคนอื่นๆ พวกมันกำลังหอบหายใจออกมา และในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองไป พวกมันก็รีบโค้งตัวลงอย่างรวดเร็ว

“ยินดีด้วยเชาทัวต้าเหริน (ผู้ยิ่งใหญ่เหนือสูงสุด) …”

ขณะที่ลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ทั้งปวง แม้แต่ท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวก็ยังประกอบไปด้วยความคิดของเขา

ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าความว่างเปล่าไร้ขอบเขตจะไร้จุดสิ้นสุดกว้างใหญ่เหลือคณา แต่ตอนนี้เมิ่งฮ่าวสามารถจะส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปจนถึงเขตชายขอบของมันได้แล้ว

แน่นอนว่าเขตชายขอบนั้นห่างไกลเป็นอย่างมาก จนแม้แต่คนที่อยู่ในขั้นสูงสุดเก้าแก่นแท้ก็ยังไม่อาจจะบรรลุถึงได้ภายในชั่วชีวิตของมัน ด้วยเช่นนั้นจึงไม่ถูกต้องนักที่จะกล่าวว่า ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต จะไม่มีจุดสิ้นสุดใดๆ

ก่อนหน้านี้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความว่างเปล่าไร้ขอบเขตเป็นสิ่งที่เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะสังเกตเห็นได้ แต่ตอนนี้ก็สามารถจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว…ประกอบด้วยรอยแตกนับไม่ถ้วน

บ้างก็มีขนาดใหญ่ บ้างก็มีขนาดเล็ก แต่ก็ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และยังได้กระจายเป็นกลิ่นอายที่เน่าเปื่อยออกมาอีกด้วย ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของกลุ่มหมอกที่ปกคลุมไปทั่วทั้งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต

กลิ่นอายเน่าเปื่อยเหล่านั้นคือสัญญาณแห่งความตาย, อายุขัย, ความอ่อนแอที่ใกล้เข้ามา ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนี้กำลังจะตายไปแล้ว

คล้ายกับเป็นชายชราผู้หนึ่งที่กำลังนอนรอความตายอยู่บนเตียง แต่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็ไม่ต้องการจะตายจากไป จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมถึงเกิดเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดขึ้น ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

ถ้าต้องการเมิ่งฮ่าวสามารถจะฉีกกระชากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และก้าวเดินออกไปตรงด้านนอกของความว่างเปล่าไร้ขอบเขต เขาสามารถผ่านเข้าไปในความว่างเปล่าที่ด้านนอก ซึ่งมีดรรชนีทั้งห้าคงอยู่

ถ้าเขาปรารถนา ก็สามารถจะฉีกกระชากความว่างเปล่าไร้ขอบเขต…เพื่อเข้าไปสู่จักรวาลที่แท้จริง

อันที่จริงเขาเคยไปอยู่ตรงด้านนอกนั้นแล้วในอดีตที่ผ่านมา ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปทั่วทุกทิศทาง สะกดข่มพลังการขับไล่ เฉดหัวมันออกไป จากนั้นก็ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปยังรอยแตกทั้งปวงที่ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว รอยแตกเหล่านั้นมีแต่ผู้ฝึกตนเหนือสูงสุดเท่านั้นถึงจะสามารถมองเห็นได้ ทำให้เมิ่งฮ่าวมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงด้านนอกท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต

เขามองเห็นความว่างเปล่าอันเงียบสงบ เต็มไปด้วยฝุ่นละอองและความอ้างว้างหดหู่

ย้อนกลับไปก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะอยู่เหนือสูงสุด สิ่งที่เห็นเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาต้องรู้สึกประทับใจมากนัก นอกจากรู้สึกว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองและงดงามมาก่อน

ตอนนี้ความรู้สึกนั้นรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม อันที่จริงเขายังสังเกตได้ถึงสัญญาณของสิ่งมีชีวิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยคงอยู่ในที่แห่งนั้น จากความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างที่ปกคลุมอยู่ตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ทำให้เมิ่งฮ่าวมั่นใจว่าหลายชั่วคนก่อนหน้านี้ ก่อนที่เจตจำนงแห่งหลัวเทียนจะเริ่มแก่ชราลงไป ต้องมีดวงดาวและโลกมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ตรงด้านนอกนั้น

มีรูปแบบของชีวิตมากมายที่เติบโตและเพิ่มจำนวนขึ้น แต่ขณะที่เจตจำนงแห่งหลัวเทียนแก่ชราลงไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็เริ่มแห้งเหี่ยวลง เริ่มต้นจากบริเวณที่อยู่ตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต

ดวงดาวในที่แห่งนั้นแตกหักและพังทลายลงไป ทุกสรรพสิ่งตกตายไป มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ในท่ามกลางเศษซากปรักหักพังเหล่านั้น…เสาทั้งห้าต้น

หลังจากที่ครุ่นคิดไปถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่กระจายไปทั่วอยู่ชั่วขณะ

เมิ่งฮ่าวก็ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปไกลมากขึ้น ในที่สุดก็กระจายเต็มไปทั่วบริเวณที่เป็นด้านนอกของความว่างเปล่าไร้ขอบเขตในทันที ในตอนนี้เองที่สังเกตเห็นเกราะป้องกัน ซึ่งเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ผู้ฝึกตนที่ไม่อยู่เหนือสูงสุด ไม่สามารถจะใช้เวลาชั่วชีวิตผ่านเข้าไปในเกราะป้องกันนั้นได้ แต่สำหรับผู้ฝึกตนเหนือสูงสุดแล้ว ก็สามารถจะทำได้อย่างง่ายดายราวกับการสูดลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

ชั่วขณะต่อมา สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าวก็มองเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งใหม่ ทันใดนั้นจิตใจก็เริ่มเต้นรัวขึ้นมา

สิ่งที่เขากำลังมองไปอยู่นั้น…คือสิ่งที่สามารถจะเรียกว่า…จักรวาลได้อย่างแท้จริง!

จากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าว ทำให้ไม่สามารถจะมองเห็นเขตชายขอบของมันได้แม้แต่น้อย มีแสงระยิบระยับ และทะเลแห่งดวงดาวที่ดูเหมือนว่าจะไร้จุดสิ้นสุด เต็มไปด้วยกระแสน้ำวนและดวงดาวต่างๆ นับไม่ถ้วน

บ้างก็มืดสลัวดูเลือนราง บ้างก็สดใสสว่างจ้า บ้างก็กำลังจะแตกดับไป บ้างก็ดูเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อเร็วๆ นี้

เมิ่งฮ่าวหันหน้ามองกลับมายังอาณาจักรไร้สิ้นสุด และดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความรู้แจ้ง

“นี่คือสิ่งที่ร่างจำแลงชางหมางเหลาจู่พูดถึง…จักรวาล อาณาจักรไร้สิ้นสุดเป็นแค่หนึ่งในกระแสน้ำวนแห่งดวงดาว ที่อยู่ภายในจักรวาลอันไร้ขอบเขตแห่งนี้”

เมิ่งฮ่าวส่ายหน้าไปมาเมื่อตระหนักว่าอาณาจักรไร้สิ้นสุดเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของจักรวาลเท่านั้น สามารถจะกล่าวได้ว่าคล้ายกับเป็นเมล็ด ภายในเมล็ดก็คือความว่างเปล่าไร้ขอบเขต และด้านนอกของเมล็ดนั้นก็คือ…จักรวาลทั้งปวง

ตรงด้านนอกของจักรวาลอันกว้างใหญ่ ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบ เมิ่งฮ่าวมองเห็นกระแสน้ำวนแห่งดวงดาวนับไม่ถ้วน และสามารถจะมองเห็นภาพที่เต็มไปด้วยโลกต่างๆ ของพวกมันอีกด้วย

“คนอื่นๆ ที่อยู่ในจุดเหนือสูงสุดก่อนหน้าข้า ต่างก็ออกไปยังจักรวาลตรงด้านนอก” เมิ่งฮ่าวพึมพำ กระแสน้ำวนแห่งดวงดาวเหล่านั้นคือโลกทั้งปวง และมีแต่ผู้ฝึกตนเหนือสูงสุดเท่านั้นที่จะสามารถออกไปยังโลกเหล่านั้นได้

ยากที่จะบอกได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตมากน้อยเท่าใดอยู่ภายในจักรวาล แต่ก็สามารถจะคาดคิดได้ว่าต้องมีสิ่งมีชีวิตเหนือสูงสุดอยู่ในที่แห่งนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่โผล่ออกมาจากท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าไร้ขอบเขต แต่เมื่อเทียบกับจักรวาลทั้งปวงแล้ว กลุ่มคนเช่นนั้น…ก็ยังคงเสาะหาได้ยากเย็นยิ่งอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับเป็นขนหงส์หรือเขากิเลน

ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังจักรวาล ก็รู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นที่ต้องการจะออกไปสำรวจมัน มั่นใจได้ว่าต้องเป็นเส้นทางที่ยาวนานสำหรับตนเองในการเดินออกไปยังที่แห่งนั้น

บางทีอีกหลายปีต่อมา เขาอาจจะไปพบเจอกับปีศาจ เทพ และมาร…

ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ดึงสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมา และระงับแรงกระตุ้นนั้นไว้ ภายในอาณาจักรไร้สิ้นสุดนี้ยังมีเรื่องที่ต้องสะสางอีกมากนัก

หลังจากที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับเข้ามาในร่าง ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายขึ้นด้วยแสงอันลึกล้ำ มีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายกับเป็นนักศึกษาหนุ่ม จากเมื่อหลายพันปีก่อนบนภูเขาต้าชิง

ตอนนี้เขาอยู่เหนือสูงสุดแล้ว จึงไร้ร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าแม้แต่น้อย แต่ภายในแววตากลับเต็มไปด้วยความเก่าแก่โบราณมากขึ้นกว่าเดิม

เขาได้ยินเจ้าสำนักและคนอื่นๆ กล่าวคำทักทายอย่างเป็นทางการ เห็นได้ชัดว่าสำหรับเมิ่งฮ่าวแล้วกาลเวลาได้เคลื่อนที่อย่างแตกต่างกันออกไป จากตอนที่ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปในจักรวาล จนกระทั่งตอนที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมา กาลเวลาก็ผ่านไปแค่คำพูดหนึ่งประโยคเท่านั้น

คำว่า “ยินดีด้วยเชาทัวต้าเหริน (ผู้ยิ่งใหญ่เหนือสูงสุด)” ยังคงดังก้องไปมา ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังทิศทางของผีเสื้อขุนเขาทะเล

“เรียกข้าว่าเยาจุน (จักรพรรดิอสูร)” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ

เจ้าสำนักและคนอื่นๆ สั่นสะท้าน ก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ขอน้อมพบจักรพรรดิอสูร!”

ขณะที่คนทั้งหมดกล่าวคำทักทาย จินหยุนซานก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ มันไม่อาจจะก้าวเข้าไปเหนือจุดสูงสุดได้ แต่เมิ่งฮ่าวทำได้สำเร็จ ด้วยเช่นนั้นมันจึงตระหนักขึ้นอย่างรวดเร็วว่า ความหวังที่ตนเองจะก้าวไปสู่เหนือสูงสุดขึ้นอยู่กับเมิ่งฮ่าวแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นมันยังรู้สึกได้ถึงความแตกต่างเป็นอย่างมากระหว่างตนเองและเมิ่งฮ่าวในแง่ของพลังอีกด้วย ราวกับว่าแค่เมิ่งฮ่าวพูดออกมาเพียงคำเดียว ก็สามารถจะเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติได้

ราวกับว่าแค่ความคิดเพียงแวบเดียวจากเมิ่งฮ่าวก็สามารถจะกลายเป็นแก่นแท้ ราวกับว่าแค่การกระทำเพียงอย่างเดียวของเขาก็สามารถจะทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต้องสั่นสะท้าน

ในมุมมองของมัน เมิ่งฮ่าวในตอนนี้เทียบเท่ากับชางหมางเหลาจู่ที่กลายเป็นตำนานไปแล้ว เนื่องจากความแตกต่างอันกว้างใหญ่ระหว่างคนทั้งสอง ทำให้มันรู้สึกว่าไม่อาจจะก้าวเข้าไปอยู่เหนือสูงสุดในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ได้ จึงกล่าวว่า

“เยาจุนต้าเหริน (ผู้ยิ่งใหญ่จักรพรรดิอสูร) จินโหม่วหวังว่าจะเป็นม้าลา เป็นทัพหน้าให้กับท่าน นำกองกำลังชางหมางพ่ายไปสังหารอาณาจักรเทพและอาณาจักรมาร!”

จิตใจเจ้าสำนักสั่นสะท้าน และทันใดนั้นก็กล่าวคำพูดเช่นเดียวกันนี้ออกมา คนอื่นๆ ต่างก็กระทำเช่นเดียวกันทั้งหมด

เซียนไป๋อู้เฉินสั่นสะท้าน ก้าวเดินออกมาและโค้งตัวลงต่ำ

“สู่เซี่ย (คำแทนตัวเองของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของจีนโบราณ) ยินดีกระทำทุกอย่างเพื่อต้าเหริน แค่เพียงหวังว่าสุดท้ายแล้ว…ต้าเหรินจะช่วยพาข้ากลับไปส่งบ้านตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต”

ขณะที่นางโค้งตัวลง ก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความมุ่งหวัง

 

เมิ่งฮ่าวมองกลับไปยังนางชั่วขณะ ก่อนที่จะกล่าวตอบว่า “เจ้าต้องการกลับไปยังด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขตจริงๆ?”

“ขอให้ต้าเหรินช่วยทำให้สำเร็จด้วย ข้าถือกำเนิดอยู่ตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ในชางหมางเต้า (เต๋าไร้สิ้นสุด) ครอบครัวข้า สหายข้า ต้นกำเนิดข้า…ต่างก็อยู่ตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขตทั้งสิ้น” จากสายตาที่นางมองมา ก็ดูเหมือนว่ากำลังขอร้องอ้อนวอนเมิ่งฮ่าวอยู่

 

เมิ่งฮ่าวถอนหายอย่างแผ่วเบา ในตอนนี้ก็ตระหนักว่าความทรงจำทั้งหลายของไป๋อู้เฉินต่างก็เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น ผู้คนทั้งหมดบนดาวชางหมางที่สันนิษฐานว่าตกลงมาจากเบื้องบน ได้ถูกเจตจำนงแห่งหลัวเทียนเปลี่ยนแปลงความทรงจำไป คนเหล่านั้นต่างก็ถูกนำไปวางตรงจุดนั้นโดยเจตจำนงของมัน

ซึ่งรวมถึงหานเป้ยด้วยเช่นกัน สำหรับเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็ไม่แน่ใจ แต่ก็มั่นใจได้ว่าต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดาวชางหมางอย่างแน่นอน

“เมื่อไหร่ที่ได้ข้อสรุปแล้ว ถ้าเจ้ายังคงต้องการออกไปยังด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ข้าก็จะช่วยเจ้า” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ ด้วยเช่นนั้นก็ทำท่าคว้าจับออกไป และเส้นใยวิญญาณก็ปรากฏขึ้นอยู่ในมือ

เป็นบุรุษวัยกลางคนซึ่งมีดวงตาที่สามอยู่บนหน้าผาก หลังจากที่ปรากฏขึ้นก็สั่นสะท้าน และคุกเข่าโขกศีรษะให้กับเมิ่งฮ่าวในทันที เห็นได้ชัดว่ามันไม่กล้าที่จะพูดออกมาแม้แต่คำเดียว

วิญญาณนั้นก็คือ…ตี้จิ่วจื้อจุน (ผู้ยิ่งใหญ่อันดับเก้า) ตัวจริงแห่งชางหมางพ่าย (สำนักไร้สิ้นสุด)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version