Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1592

ตอนที่ 1592

สิ่งต่างๆ ยังคงเดิมแต่ผู้คนเปลี่ยนไป

ไปแล้ว…ทั้งหมดจากไปแล้ว

ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็แก่ชราลงไปอย่างเห็นได้ชัด กลับไปยังขุนเขาที่เก้า ไปอยู่ที่ข้างเตียงสวี่ชิง ซึ่งดูแก่ชราลงไปเป็นอย่างมาก เฝ้ามองไปยังนางอย่างเงียบๆ

“ปล่อยข้า…ไปเถอะ…” สวี่ชิงกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาแหบแห้ง

เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่กล่าวตอบ ป้อนโลหิตให้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยให้นางมีชีวิตต่อไปได้

สวี่ชิงหลับไปอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวยืนมองด้วยดวงตาแดงก่ำ หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก ก็หันหลังและเดินออกไปจากห้อง จ้องมองขึ้นไปในท้องฟ้า ดวงตาแวบขึ้นด้วยแสงแห่งการพยากรณ์ ขณะที่พยายามครุ่นคิดหาวิธีการรักษาผู้ที่ตนเองรักให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานมากขึ้น เป็นบางสิ่งที่ไม่ใช่เมล็ดวิญญาณ…

เมื่อผ่านไปอีกสามร้อยปี ตานกุ่ยก็ตายไป…

ในตอนนั้นท่านได้กลายเป็นเม็ดยาที่เน่าเปื่อยไปแล้ว ซึ่งเป็นเมล็ดวิญญาณของท่าน ภาพที่เห็นนี้ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องร้องไห้ออกมา ขณะที่คิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อในอดีต

เมิ่งฮ่าวนำเม็ดยาไปวางอยู่ในภูเขาน้ำแข็งด้วยความระมัดระวัง ไปตรวจดูสวี่ชิง และทำการคิดคำนวณพยากรณ์อย่างต่อเนื่อง พยายามให้ได้ผลลัพธ์ออกมา

จากนั้นอีกสองร้อยปี ก็ถึงเวลาของต๋งหู่…

ก่อนที่มันจะตายไป ได้มอบไข่มุกให้กับเมิ่งฮ่าว และอธิบายว่ามันต้องดูแลไข่มุกนี้มาชั่วชีวิต เพื่อจัด

เตรียมไว้ให้กับใครบางคน และคนผู้นั้นก็คือเมิ่งฮ่าว

ขณะที่ไข่มุกลอยอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว นกแก้วก็บินออกมา ทั้งนกแก้วและผีโต้งไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาเลย ตลอดช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา

เมื่อพวกมันมองไปยังเมิ่งฮ่าวที่อยู่ในช่วงโศกเศร้าเสียใจ ความรู้สึกเสียใจเช่นเดียวกันนี้ก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ แต่น่าเสียดายที่พวกมันไม่อาจจะช่วยอะไรได้

นกแก้วนำไข่มุกไปวางอยู่บนกระจกทองแดง และทั้งสองก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน แสงระยิบระยับเปล่งประกายเจิดจ้า แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย พึมพำว่า

“ไปแล้ว…ทั้งหมดจากไปแล้ว…” จากนั้นก็ทำการพยากรณ์ต่อไป

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งพันปี ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้กลายเป็นราชันแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวมาเจ็ดพันปีแล้ว ตลอดช่วงเวลาเจ็ดพันปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่เคยไปปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าฝูงชนแม้แต่น้อย ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ลืมเขาไปแล้ว คนที่ยังคงจำได้ก็เริ่มคาดเดาว่าเมิ่งฮ่าว…ได้จากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งนี้ไปแล้ว

ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักว่าแต่ละคนกำลังตายไปอย่างผิดปกติ แต่ก็มีเพียงบางคน เช่นจินหยุนซาน และคนอื่นๆ ที่อยู่บนดาวชางหมางพอจะสังเกตเห็นได้

แต่พวกมันก็ไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าใดนัก และไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่ตนเองคาดเดานี้ออกมาเป็นเสียงดัง จิตใจพวกมันเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน แต่ก็สะกดข่มไว้และเฝ้ารอคอยต่อไป

ในอาณาจักรขุนเขาทะเล บนขุนเขาที่เก้า สวี่ชิงแทบจะตายไปได้ทุกเมื่อ แม้แต่โลหิตของเมิ่งฮ่าว ก็ไม่อาจจะช่วยยื้อนางได้นานอีกต่อไป อันที่จริงนางน่าจะตายไปเมื่อนานมาแล้ว

ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวคิดไปถึงปรมาจารย์เอกะเทวะที่ตั้งใจเข้าไปอยู่ในช่วงการหลับใหล และทันใดนั้นก็ได้ความคิดใหม่ขึ้นมา

เขาเดินทางออกไปตรงด้านนอกท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเล และเมื่อกลับมา ก็ไปยืนอยู่ที่ข้างเตียงสวี่ชิงเป็นเวลานาน หลับตาลง เมื่อผ่านไปนานสักพักก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ชิงเอ๋อร์ จงหลับตาและหลับไป…ข้าจะปลุกเจ้าในไม่ช้า” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมา กดลงไปบนหน้าผากนาง

สวี่ชิงยิ้มและหลับตาลง นางไม่ได้ตายไป ยังคงหายใจอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่เมิ่งฮ่าวปล่อยให้พลังแก่นแท้ของตนเองไหลเข้าไปในร่างนาง รูปร่างหน้าตานางค่อยๆ เปลี่ยนจากหญิงชราย้อนกลับไปในตอนที่ยังเยาว์วัยอย่างช้าๆ เพียงชั่วขณะก็เปล่งประกายงดงามขึ้นมาอีกครั้ง

เวลาเดียวกันนั้น ความหนาวเย็นราวน้ำแข็งก็ไหลผ่านมือเมิ่งฮ่าวเข้าไปในร่างนาง เสียงแตกร้าวได้ยินมา ขณะที่ชั้นน้ำแข็งก่อตัวขึ้นมา น้ำแข็งเริ่มปกคลุมไปทั่วร่างนางอย่างช้าๆ กลายเป็นโลงศพโลงหนึ่ง

สวี่ชิงนอนอยู่ภายในโลงศพ หลับใหลไป ถูกผนึกด้วยน้ำแข็ง

นี่คือวิธีการสุดท้ายที่เมิ่งฮ่าวคิดขึ้นมาได้ เป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากเมล็ดวิญญาณที่ต้องส่งกลับเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ หลังจากที่คิดคำนวณพยากรณ์มาหลายพันปี นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่เมิ่งฮ่าวคิดขึ้นมาได้ เป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเอง เป็นสิ่งที่ต้องใช้กฎธรรมชาติจำนวนมากหลอมรวมเข้ากับเวทผนึกสวรรค์

เขาได้…แยกนางออกไปจากคำสาปแช่งนี้!

เขาใช้น้ำแข็งสร้างเป็นโลกขนาดเล็กซึ่งมีรูปร่างเป็นโลงศพ ใครก็ตามที่หลับใหลอยู่ภายในนั้นก็จะเป็นอิสระจากผลกระทบของคำสาปแช่ง

วิธีนี้เป็นสิ่งที่เฝ้าสังเกตจากแก่นแท้เต๋าของเมิ่งฮ่าว และโลกที่เกิดขึ้นอยู่ภายในตนเองด้วยเช่นกัน เขาคิดที่จะนำผู้คนเข้าไปในโลกของตนเอง เพื่อแยกออกจากคำสาปแช่ง แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ เขาอยู่ในอาณาจักรบรรพจารย์ แต่โลกภายในตัวเองยังไม่สมบูรณ์พอ

เขาจ้องมองไปยังสวี่ชิงที่อยู่ภายในโลงศพน้ำแข็ง จากนั้นก็ไปยังอีกสถานที่แห่งหนึ่งบนขุนเขาที่เก้า ซึ่งบิดามารดาอาศัยอยู่

บิดามารดาคือผู้ที่เมิ่งฮ่าวรักเคารพ ที่ยังคงเหลืออยู่ในโลกแห่งนี้เท่านั้น

หลังจากที่อธิบายแผนการซึ่งเกี่ยวข้องกับผนึกน้ำแข็ง บิดามารดาก็นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ผ่านไปนานสักพักก่อนที่คนทั้งสองจะสบตากันไปมา จากนั้นก็มองกลับไปยังเมิ่งฮ่าว และส่ายหน้าพร้อมกัน

พวกท่านไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนั้น พวกท่านต้องการจะอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตด้วยกัน หลังจากที่เวลาทั้งหมดเลื่อนผ่านไป และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกท่านเคยพานพบมา ความพึงพอใจในสิ่งต่างๆ ก็สิ้นสุดลง

แค่ได้เห็นเมิ่งฮ่าวพุ่งทะยานขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด พวกท่านก็ไร้ซึ่งความเสียใจใดๆ แล้ว

เมิ่งฮ่าวพยายามเกลี้ยกล่อมพวกท่านอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งบิดาเริ่มมีโทสะขึ้นมา เมิ่งฮ่าวจึงต้องนิ่งเงียบ รับรู้ว่าบิดามารดาได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว อีกหลายปีต่อมา เมิ่งฮ่าวก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เท่าที่สามารถจะทำได้กับพวกท่านในอาณาจักรขุนเขาทะเล เวลาอีกหนึ่งพันปีก็เลื่อนผ่านไป

ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็มองผ่านคราบน้ำตา ขณะที่บิดามารดากลายเป็นผีเสื้อขุนเขาทะเล และจากนั้นก็เริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ แต่ในช่วงก่อนที่พวกท่านจะหายลับไป ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็แวบขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ขยับมือขวาร่ายเวทอย่างรวดเร็ว และพลังแก่นแท้เต๋าก็ปะทุออกไป ความหนาวเย็นปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น เสียงแตกร้าวได้ยินมา ในชั่วพริบตาเขตพื้นที่แห่งนั้นก็ถูกผนึกด้วยน้ำแข็งโดยสิ้นเชิง

ผีเสื้อขุนเขาทะเลที่ถูกแช่แข็งเริ่มหดเล็กลงไปจนกระทั่งกลายเป็นโลงศพ และเมิ่งฮ่าวก็เก็บไว้ด้วยความระมัดระวัง

เขารู้ว่าเหตุผลแท้จริงที่บิดามารดาปฏิเสธก็คือว่า พวกท่านไม่ต้องการให้ตนเองสูญเสียพลังแก่นแท้ไปมากกว่านี้ วิตกว่าจะเป็นการทำร้ายตนเองเพื่อที่จะช่วยพวกท่าน

พวกท่านยินดีที่จะเสียสละสิ่งใดๆ ได้ทั้งหมดเพื่อบุตรชาย นั่นคือเหตุผลสำหรับการตัดสินใจของพวกท่าน

แต่เมิ่งฮ่าวก็ยินดีที่จะทำสิ่งเดียวกันนี้สำหรับบิดามารดา พวกท่านคือบุคคลที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตของตนเอง ด้วยเช่นนั้นเขาจึงต้องทำตามใจตนเอง

เขาวางโลงศพน้ำแข็งของผีเสื้อขุนเขาทะเลอยู่ข้างโลงศพของสวี่ชิง โลงศพเหล่านี้ประกอบด้วยบุคคลที่เขาไม่ต้องการแยกจากกันในชีวิตนี้

ความเสียใจ ความเจ็บปวด และความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายพุ่งขึ้นมาราวกับเป็นสายน้ำ ท่วมท้นอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง เขานั่งลงไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เวลาเลื่อนผ่านไป เหมือนที่มันเป็นมาอยู่ตลอดเวลา

เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งพันปี ตอนนี้เขากลายเป็นราชันแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปีแล้ว ในที่สุดก็จัดตั้งเวทป้องกันอยู่บนเมล็ดวิญญาณและโลงศพ จากนั้นก็เดินออกไป มองไปยังอาณาจักรขุนเขาทะเล ซึ่งตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างดูไม่คุ้นเคยกับตนเองแม้แต่น้อย พึมพำขึ้นมาว่า

“ข้ามองดูทะเลสีครามกลายเป็นทุ่งต้นหม่อน สิ่งต่างๆ ยังคงเดิมแต่ผู้คนเปลี่ยนไป…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version