ตอนที่ 560
สำนักเซียนอสูรโบราณ
เมิ่งฮ่าวรู้สึกอึดอัดใจขึ้นเล็กน้อย
แต่เรื่องนี้ก็นอกเหนือจากการควบคุมของเขา หญิงสาวได้ลอยมาและชนเข้ากับเขา ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถทำได้ แต่ที่เลวร้ายมากที่สุดก็คือ นางกำลังปิดบังการมองเห็นของเขา
ตอนนี้ เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะมองเห็นโลกที่ด้านนอกได้แม้แต่น้อย
กลิ่นหอมของนางช่างน่ามหัศจรรย์ใจยิ่งนัก และร่างกายนางก็อ่อนนุ่ม ใบหน้าเมิ่งฮ่าวค่อยๆ จมลงไปในความอ่อนนุ่มนั้นอย่างช้าๆ ซึ่งแทบจะฝังเข้าไปโดยสิ้นเชิง
ดวงตาเขาเบิกกว้างขณะที่ตระหนักว่า เพียงแค่มองลงไป ก็จะเป็นภาพที่ประณีตงดงาม ซึ่งเขาแทบจะไม่มีโอกาสได้มองเห็น แต่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าวตอนนี้ก็คือโทสะ
สิ่งที่เขาต้องการจะมองดู ไม่ใช่หญิงสาวนางนี้ แต่เป็นโลกที่อยู่ด้านหลังนาง การที่สามารถได้สังเกตดูโลกล่วงหน้าได้ ก็จะทำให้เขามีเปรียบมากกว่าใคร แต่ขณะที่ในตอนนี้ ความได้เปรียบของเขา…กำลังพังทลายไป
“แย่ยิ่งนัก!” เมิ่งฮ่าวบ่นกับตัวเอง จากนั้นก็สูดกลิ่นหอมอันน่ามหัศจรรย์ที่อยู่รอบๆ ใบหน้าเข้าไปลึกๆ
“มากเกินไปแล้ว!” เขาต้องการจะยกศีรษะขึ้น แต่ก็ไม่อาจจะขยับตัวเคลื่อนไหวได้ สิ่งทั้งหมดที่สามารถทำได้ก็คือ สูดกลิ่นหอมนั้นเข้าไป ตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังอยู่ในโลกที่ไม่ใช่เป็นท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว แต่เป็นโลกของกลิ่นหอมอันละเอียดอ่อน ไม่ว่าเขาจะต้องการมันหรือไม่ แต่กลิ่นหอมนั้นก็ยังคงซึมซับแผ่ซ่านจนลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ
เมิ่งฮ่าวไม่มีทางเลือกนอกจากทำอย่างดีที่สุด เพื่อนึกทบทวนความทรงจำที่เกี่ยวกับภาพของโลกด้านนอก ซึ่งเขาได้เห็นมาในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ อย่างช้าๆ ภาพเหล่านั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นในจิตใจ
ภาพทั้งหมดนี้เกิดขึ้นมาจากความทรงจำ แสดงให้เห็นเทือกเขาที่ทอดยาวออกไปไกลสุดสายตา ประกอบด้วยภูเขาที่สูงๆ ต่ำๆ มากมายนับไม่ถ้วน จนดูเหมือนเพียงพอที่จะทำให้สวรรค์และปฐพีเชื่อมต่อกัน
ภูเขาที่สูงมากที่สุดเท่าที่เมิ่งฮ่าวเคยเห็นมาในดินแดนแห่งดาวหนานเทียน มีความสูงหนึ่งหมื่นจ้าง อย่างไรก็ตาม แม้แต่ภูเขาที่เตี้ยที่สุดของเจ็ดยอดเขาเหล่านี้ ก็ยังสูงใหญ่กว่ามากนัก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่อาจจะนำมาเปรียบเทียบกันได้
ถ้ามีผู้ฝึกตนให้มองเห็นอยู่บนยอดเขาเหล่านี้ ก็จะดูเล็กมากจนคล้ายกับเป็นมดแมลง
ระหว่างยอดเขาทั้งเจ็ด มีขั้นบันไดทอดยาวเชื่อมต่อกัน กับสิ่งปลูกสร้างที่ตกแต่งอย่างสวยงามหรูหรามากมายนับไม่ถ้วน มองเห็นวิหารและเจดีย์อยู่มากมาย ทั้งหมดนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เก่าแก่โบราณอย่างลึกล้ำ มีแต่ความเงียบไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าเป็นหลุมฝังศพไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ
นี่เป็นภาพที่ลอยขึ้นมาในจิตใจเมิ่งฮ่าว จากการที่เขามองไปเพียงแค่แวบเดียว นี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของเขา
ขณะที่เขากำลังพร่ำบ่น แม่น้ำแห่งดวงดาวก็สั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง แรงสั่นสะเทือนนั้นจู่ๆ ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวฟื้นการควบคุมร่างกายตัวเองขึ้นมาได้บ้าง จิตใจเต็มไปด้วยความยินดี เขาใช้ศีรษะดันไปที่ความอ่อนนุ่มตรงหน้า
สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ใบหน้ากลับจมลงไปในความอ่อนนุ่มนั้นมากขึ้นกว่าเดิม แต่ความอ่อนนุ่มนั้นดูเหมือนจะมีความยืดหยุ่นอย่างน่าตกใจ ทำให้ในที่สุดหญิงสาวนางนั้นก็เคลื่อนที่ออกไป ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเพราะแรงผลักของเมิ่งฮ่าว หรือว่าเป็นเพราะความยืดหยุ่นนั้น แต่…หญิงสาวนางนั้นดูเหมือนจะขมวดคิ้วราวกับว่ามีความเจ็บปวดอยู่
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมาเบาๆ จากนั้นก็รีบมองออกไปยังโลกที่ด้านนอก ภูเขาโบราณสูงๆ ต่ำๆ ยอดเขาพุ่งสูงขึ้นไปอย่างทรนง ภาพของเจ็ดภูเขานี้ไม่ได้แตกต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นในความทรงจำของเขามากนัก เมิ่งฮ่าวมองออกไปอีกครั้ง และครั้งนี้ก็สังเกตเห็นว่าไม่มีต้นไม้ใบหญ้าอยู่ในเทือกเขานี้ทั้งหมด พวกมันโล่งเตียนว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง และกระจายกลิ่นอายแห่งความตายอันเข้มข้นออกมา กระจายไปทั่วทั้งเทือกเขาทั้งหมด…
ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นซากปรักหักพัง สิ่งปลูกสร้างพังทลายลง เค้าโครงที่หรูหราสง่างามชำรุดทรุดโทรม แต่ก็ไม่มีวัชพืชใดๆ ขึ้นมาให้เห็น เห็นได้ชัดว่าด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป ทำให้พวกมันกลายเป็นฝุ่นธุลี ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ
สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดกลายเป็นซากปรักหักพังไปโดยสิ้นเชิง เป็นซากปรักหักพังของสำนัก!
ภาพที่เห็นนี้ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากแต่เขาก็เงยหน้าขึ้นมาได้ ขณะที่มองสังเกตอยู่นั้น ก็เห็นบนภูเขาลูกแรกมีตัวอักษรแกะสลักอยู่สามตัว!ตัวอักษรทั้งสามนั้นเป็นสีแดง ราวกับว่าพวกมันถูกทาด้วยโลหิตอย่างแท้จริง
เยาเซียนจง! (สำนักเซียนอสูร)
เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็นตัวอักษรเหล่านั้น จิตใจก็สั่นสะท้าน ถึงแม้เขาจะคาดเดาถึงจุดหมายปลายทางไว้นานแล้ว แต่ตอนนี้ก็แน่ใจว่า…สถานที่แห่งนี้ก็คือสำนักเซียนอสูร หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ…สำนักเซียนอสูรโบราณ
และสถานที่แห่งนี้ก็ย่อมเป็นอาณาจักรเซียนอสูรโบราณ!
หนึ่งสำนัก หนึ่งอาณาจักร!
โชคร้ายที่ทั้งสำนักได้ถูกทำลายลงไปโดยสิ้นเชิง สำนักที่เคยรุ่งโรจน์ของจิ่วซานไห่ในครั้งหนึ่งแห่งนี้ ได้หายสาบสูญไปนานแล้วในแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์ สำนักที่ครั้งหนึ่งเคยมีศิษย์อยู่มากกว่าหนึ่งล้านคน!
เมิ่งฮ่าวเริ่มหอบหายใจ ขณะที่สังเกตเห็นด้านบนสุดของภูเขาลูกแรก เป็นซากศพของมังกรปีกวารี แต่มังกรตัวนี้มีขนาดใหญ่มากกว่าตัวที่เขาเคยเห็นในสำนักเอกะเทวะ มันมีความยาวเกือบหนึ่งหมื่นจ้าง และมีรูปร่างที่น่าตกใจจนไม่อาจจะนำไปเปรียบเทียบกันได้
เมิ่งฮ่าวมีความผูกพันธ์กับมังกรปีกวารีเป็นพิเศษ ขณะที่เขามองไป ก็รู้สึกค่อนข้างเสียใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่จะมีสติกลับคืนมา และมองออกไปยังยอดเขาลูกที่สอง
เมื่อเขามองไปยังยอดเขาลูกที่สอง จิตใจก็สั่นสะท้าน และอีกครั้งที่เขาเริ่มสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนหน้านี้เมื่อเขามองไปยังยอดเขา ก็ไม่ได้เพ่งมองดูโดยละเอียด แต่ตอนนี้ เขาได้สังเกตเห็นว่าได้มีซากศพขนาดใหญ่อยู่บนยอดเขาลูกนี้
ซากศพนี้มีรูปร่างเหมือนมุษย์ แต่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร และที่แผ่นหลังของมันเป็น…ปีกสองข้าง!
ยากที่จะมองเห็นว่าปีกนั้นมีสีอะไร เพราะซากศพนั้นหันหน้ามาหาเมิ่งฮ่าว มองเห็นหน้าตาของซากศพได้ไม่ชัดเจน แต่ทันใดนั้น ภาพของค้างคาวดำจู่ๆ ก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจเมิ่งฮ่าว!
บนยอดเขาลูกที่สามมีซากศพอยู่สามซาก ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเมิ่งฮ่าว ฉับพลันนั้นจิตใจเขาก็หมุนคว้างไปมา ซากศพเหล่านี้เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูร และดูคล้ายกับสิ่งมีชีวิตที่เขาเคยดึงกระบี่ไม้เล่มที่สามออกมา จากในดินแดนสักการะอีกาศักดิ์สิทธิ์!
บนยอดเขาลูกที่สี่เป็น…มังกรขนาดใหญ่โตมหึมา มีความยาวถึงหนึ่งหมื่นจ้าง!
มังกรนั้นไม่มีอะไรนอกจากเป็นซากศพ แต่ก็ยังคงน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนาน ถึงแม้จะอยู่ในโลกแห่งการฝึกตน เมิ่งฮ่าวก็เคยเห็นพวกมันในรูปแบบของวิชาเวท หรือความสามารถศักดิ์สิทธิ์ แต่สำหรับมังกรจริงๆ เขาไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองแม้แต่ตัวเดียว
ยอดเขาลูกที่ห้าค่อนข้างจะอยู่ไกลออกไปจากเมิ่งฮ่าว ดังนั้นเขาจึงมองเห็นได้ไม่ชัดนักถึงซากศพที่นอนตายอยู่ด้านบน แต่เขาก็ยังรู้สึกตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากเพียงแค่การมองไปยังยอดเขาลูกที่หนึ่งถึงสี่
ทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกว่า เขามีความเกี่ยวพันกับอาณาจักรเซียนอสูรโบราณนี้อย่างลึกซึ้ง!“กระบี่ไม้ทั้งสามเล่ม อย่าบอกข้านะว่า…พวกมันมาจากที่แห่งนี้?” เมื่อได้เห็นสำนักเซียนอสูรที่ใหญ่โตนี้ เมิ่งฮ่าวก็ได้แต่นึกจินตนาการไปถึงความเก่งกล้าสามารถของมันในครั้งสมัยโบราณ
แม้ในขณะที่จิตใจกำลังสั่นสะท้าน ม่านตาเขาทันใดนั้นก็หดเล็กลง นั่นเป็นเพราะว่า…เขาเพิ่งจะมองเห็นภาพของบุคคลบนยอดเขาลูกที่สี่!
เป็นบุรุษวัยกลางคนที่ยืนหันหลังให้กับเมิ่งฮ่าว ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเก่าแก่โบราณอย่างไม่รู้จบ รวมถึงความโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างลึกล้ำ เมิ่งฮ่าวแน่ใจว่าบุรุษผู้นั้นกำลังยืนอยู่ที่นั่น บนยอดเขาลูกที่สี่ แต่เมื่อเขากระพริบตา บุรุษผู้นั้นก็หายไป ทำให้ดวงตาเมิ่งฮ่าวต้องส่องแสงเจิดจ้า
ทันใดนั้น สำนักเซียนอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์เกรียงไกร ในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกลายเป็นซากปรักหักพัง ก็เริ่มสลัวเลือนลางลง ราวกับว่ามีกลุ่มหมอกขนาดใหญ่ได้เริ่มปกคลุมออกไปทั่วทั้งโลกแห่งนี้
แม้แต่เมิ่งฮ่าวและแม่น้ำแห่งดวงดาวก็เริ่มสลัวเลือนลางไปด้วยเช่นเดียวกัน จิตใจเมิ่งฮ่าวเริ่มหนักอึ้งขึ้น
ตอนนี้เขากำลังมีความรู้สึกว่า จุดวิกฤตอันตรายมากที่สุด ในการเดินทางมายังอาณาจักรเซียนอสูรโบราณนี้ได้มาถึงแล้ว
ดวงตาเขาจ้องนิ่งไปยังโลกที่เบื้องบนด้านหน้า ขณะที่โคจรหมุนเวียนพลังลมปราณ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงเลือนลางเหมือนก่อนหน้านี้ เมิ่งฮ่าวกัดฟันแน่น ขณะที่เขาใช้วิชาม่านตาเซียน ซึ่งนกแก้วได้สอนไว้
ฉับพลันนั้น เขาก็สามารถมองเห็น!
สิ่งที่เห็นทำให้จิตใจเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากความเลือนลางนั้น ยังคงเป็นสำนักเซียนอสูร แต่…มันไม่ได้เป็นซากปรักหักพังอีกต่อไป แต่เป็น…คึกคักมีชีวิตชีวา!
มองเห็นเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วน กำลังบินไปมาภายในภูเขา มีผู้ฝึกตนมากมายกำลังฝึกฝนตนเองอยู่บนยอดเขา และแสงของวิชาเวทก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ในท้องฟ้าสีครามมองเห็นสัตว์อสูรเซียนอันสง่างามกำลังบินไปมา
มังกรปีกวารีที่อยู่บนยอดเขาลูกแรกเงยหน้าขึ้น ส่งเสียงแผดร้องคำราม ทันใดนั้นมันก็ขยับตัวเคลื่อนไหว ทำให้เกิดเป็นกระแสลมอันรุนแรงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมา แต่ที่มังกรปีกวารีตัวนี้ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเพียงแค่ยืดคอออกไป
เมื่อเขามองเห็นยอดเขาลูกที่สอง เมิ่งฮ่าวก็คิดไปถึงค้างคาวดำ แน่นอนว่ามีค้างคาวสีดำขนาดใหญ่อยู่ที่นั่นในตอนนี้ ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง กระจายพลังลมปราณอันเข้มข้นออกมา ทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นมัน ก็ทำให้เขาต้องสั่นสะท้านจนไปถึงแก่นกาย
ทั่วทั้งอาณาจักร ทั้งสำนักในตอนนี้ ไม่ได้ประกอบไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายแม้แต่น้อยนิด ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังคึกคักเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ที่ห่างไกลออกไปบนยอดเขาลูกที่ห้า ได้ยินเสียงสวดมนต์แว่วมา ราวกับว่ากำลังมีการสวดคัมภีร์อะไรบางอย่าง
สะพานที่เรืองแสงเป็นประกาย คล้ายสายรุ้งทอดข้ามท้องฟ้า มีผู้คนนั่งขัดสมาธิอยู่ทุกที่ กำลังรับฟังเสียงสวดคัมภีร์ที่กำลังท่องออกมา หรือกำลังได้รับความรู้แจ้งแห่งเต๋าอยู่
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ทั้งหมดมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกัน บางคนก็เป็นมนุษย์ แต่บางคน…เป็นอสูร!ขณะที่จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้างด้วยความตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็มองไปยังยอดเขาลูกที่สี่ และอีกครั้งที่เขามองเห็นบุรุษคนเดียวกัน กำลังยืนหันหลังให้กับเขา กระจายกลิ่นอายอันเก่าแก่โบราณออกมา และทำให้เมิ่งฮ่าวต้องเริ่มสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง
แทบจะดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นสามารถรับรู้ได้ว่าเมิ่งฮ่าวกำลังมองดูมันอยู่ มันค่อยๆ หันหน้ามองมายังเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักว่าบุรุษผู้นั้นมีหน้าตาเช่นไร แต่กระนั้นจิตใจก็ยังเต็มไปด้วยเสียงกระหึ่ม ทันใดนั้นโลกที่เขากำลังมองดูอยู่ก็แตกกระจายไป ชั้นแล้วชั้นเล่า สูญหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นกลุ่มควันในอากาศ แทนที่ด้วยสำนักอันรุ่งโรจน์แห่งสมัยโบราณ ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้กลายเป็นความหายนะและซากปรักหักพัง
ในเวลาเดียวกันนั้น แม่น้ำแห่งดวงดาวก็ไหลตรงไปยังซากปรักหักพังแห่งสำนักเซียนอสูรโบราณ ขณะที่มันกวาดผ่านซากปรักหักพังเหล่านั้น เศษฝุ่นทั้งหมดก็กระจายออกไป จากนั้นก็เริ่มตกลงไปบนสำนักที่ใหญ่โตนั้น
เมิ่งฮ่าวอยู่ท่ามกลางจุดเรืองแสงที่กำลังตกลงมา เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนอีกสิบกว่าคนจากดินแดนอันยิ่งใหญ่แห่งดาวหนานเทียน คนทั้งหมดกระจัดกระจายออกไปในสถานที่ที่แตกต่างกัน
แน่นอนว่าเมิ่งฮ่าวเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ในท่ามกลางพวกมันที่ยังคงตื่นอยู่ จิตใจหมุนคว้างขณะที่ไม่อาจจะควบคุมร่างกายได้โดยสิ้นเชิง พุ่งตรงไปยังซากปรักหักพังด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เทือกเขาที่เบื้องหน้าเริ่มมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายแห่งความตายและความเน่าเปื่อยพุ่งมาปะทะใบหน้า จากนั้นเขาก็พุ่งตรงไปยังยอดเขาลูกที่สอง เสียงกระหึ่มกึกก้องได้ยินมา และทันใดนั้นจู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ พลังพื้นฐานฝึกตนระเบิดออก และเขาก็ยกมือขวาขึ้นมา
เขาตกลงไปบนพื้นดินด้วยเข่าหนึ่งข้าง ฝุ่นฟุ้งกระจายออกไปจากตัวทั่วทุกทิศทาง และเส้นผมก็พริ้วไสวไปมา เมื่อมองขึ้นไป ดวงตาก็ส่องแสงแพรวพราว