Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 572

ตอนที่ 572

มรดกแห่งราชันหลี่

เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าตัวตนนี้ ช่วยให้เขาได้เปรียบเป็นอย่างมาก แต่ก็มีแรงกดดันมากด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็นคนถูกตามใจ เขาสามารถกระทำสิ่งใดๆ โดยไม่ต้องสนใจถึงความถูกต้องชั่วดีแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามนี่เป็นสำนักใหญ่ และกฎของสำนักก็ไม่อาจจะละเลยเพิกเฉยได้

“น่าเสียดายนัก ที่ข้าไม่อาจจะค้นหาปรมาจารย์ฮูเหยียนได้…ข้าไม่อาจจะค้นหาคนอื่นๆ ที่เหลือได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องพยายามค้นหาพวกมันแล้ว คงต้องเน้นไปที่การได้ครอบครองมรดกวิชาเวทดีกว่าในตอนนี้”

เมื่อเข้าไปในถ้ำแห่งเซียน เคออวิ๋นไห่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงศิลา มองมายังเมิ่งฮ่าวและส่งเสียงแค่นอย่างเย็นชาออกมา

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าครั้งนี้ได้ทำความผิดอะไรไป?” เคออวิ๋นไห่ถามด้วยเสียงเย็นชา

เมิ่งฮ่าวมองกลับไป แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

“ความผิดของเจ้าก็คือ ไม่ควรจะสังหารสหายร่วมสำนักอย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น!” เคออวิ๋นไห่กล่าวต่ออย่างช้าๆ

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น

“ความผิดของเจ้าก็คือ ควรจะหาช่วงเวลาอื่นไปลงมือ!” เคออวิ๋นไห่โบกมือไล่ เห็นได้ชัดว่าผิดหวังที่เมิ่งฮ่าวเหมือนกับเป็นเหล็กขึ้นสนิม ยากที่จะเปลี่ยนเป็นเหล็กกล้าได้ และอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์คาดหวังของมันมากนัก

“การสังหารใคร ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด” มันกล่าวต่อ “ชีวิตข้าเคยสังหารผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน เมื่อพวกเราฝึกฝนการฝึกตน ก็ต้องมีจิตใจที่แจ่มชัด แน่นอนว่าเจ้าคงจะมีเหตุผลที่ดีในการสังหารมัน ซึ่งข้าก็รู้ ปกติแล้วเจ้ามักจะทำด้วยความฉลาด แต่ในครั้งนี้ช่างใจร้อนผลีผลาม เจ้าต้องรีบกำจัดมัน เพราะกลัวว่ามันจะไปแอบหลบซ่อนตัว?”

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นศัตรูกับใคร ก็ให้คิดถึงศักดิ์ฐานะบ้าง เจ้าไม่อาจจะไปสังหารใครในตอนกลางวันแสกๆ ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น!”

ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังเคออวิ๋นไห่ จิตใจเขาก็สั่นสะท้าน เป็นการสั่นที่กลั่นออกมาจากส่วนลึกสุดของจิตวิญญาณ และมาจากภาพอันคลุมเครือของบิดาตนเอง ซึ่งยังคงอยู่ในความทรงจำ ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมา

บางทีเขาอาจจะลืมไปชั่วขณะว่า เขาไม่ใช่เคอจิ่วซือที่แท้จริง บางทีเคอจิ่วซืออาจจะต้องการเตือนว่าเขาไม่ใช่คนในสำนักเซียนอสูรที่แท้จริง

แต่เขาก็เป็นทั้ง…เมิ่งฮ่าว และก็เป็นเคอจิ่วซือด้วยเช่นกัน

ทันใดนั้นเขาก็กล่าวขึ้น “ข้าคิดว่าความผิดที่แท้จริงของข้าก็คือ…ลงมือด้วยตัวเอง”

เคออวิ๋นไห่มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว

“ข้าไม่ควรจะสังหารมันด้วยตัวเอง” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าควรจะมาพูดคุยกับท่านในเรื่องนี้ แค่ท่านพูดออกมาเพียงคำเดียว มันก็คงต้องตายไป เรื่องก็จะไม่มีปัญหามากมายเช่นนี้”

เคออวิ๋นไห่จ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง หลังจากนั้นก็เริ่มหัวเราะหึๆ ออกมา เสียงหัวเราะนั้นเริ่มดังมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่แน่ใจว่ามันกำลังมีโทสะ หรือว่าจริงๆ แล้วกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ทันใดนั้นมันก็โบกสะบัดมือ ทำให้สายลมอันอ่อนโยนกระจายออกมา ไปทำการรักษาบาดแผลทั้งหมดของเมิ่งฮ่าว

หลังจากนั้น เคออวิ๋นไห่ก็ถอนหายใจยาว และทำท่าคว้าจับไปยังตะเกียงน้ำมัน ซึ่งมีร่างเป็นมังกรและไส้ตะเกียงเป็นหงส์ ทันใดนั้น ลำแสงเจิดจ้าสองลำก็พุ่งออกไป ในเวลาเดียวกันนั้น พลังแห่งสวรรค์และปฐพีในบริเวณนั้นก็เริ่มมีความเข้มข้นอย่างถึงที่สุด เริ่มรวมเข้าด้วยกันเพื่อก่อตัวอยู่ที่เบื้องหน้าเคออวิ๋นไห่ ราวกับว่าอาวุธกำลังถูกสร้างขึ้นมา ในที่สุด ก็มองเห็นเป็นรูปปั้นศิลาขนาดใหญ่สองรูป

รูปปั้นศิลาทั้งสองต่างก็มีความสูงเท่ากับผู้คน มีสีดำสนิท พวกมันถือกระบี่เล่มใหญ่อยู่ในมือ ดูคล้ายกับเป็นทหารที่ถูกฝังไปพร้อมกับเจ้านายในหลุมฝังศพ เสียงตึงได้ยินมา ขณะที่พวกมันตกลงไปกระแทกลงบนพื้น

พลังลมปราณของพวกมัน เพียงพอที่จะทำให้เมิ่งฮ่าวเริ่มหอบหายใจออกมา รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างน่าเหลือเชื่อ กำลังกดทับลงมาบนร่าง ซึ่งเกินกว่าพลังจากผู้แข็งแกร่งใดๆ ที่เขาเคยรู้สึกมา

ในเวลาเดียวกันนั้น เคออวิ๋นไห่ก็ชี้ไปยังเมิ่งฮ่าว หน้าผากเขามีบาดแผลขึ้นมาในทันที โลหิตสองหยดลอยออกไป พุ่งฝ่าอากาศตรงไปยังรูปปั้นทั้งสอง จากนั้นก็หลอมรวมเข้าไปในรูปปั้น

ทันทีที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ดวงตาของทหารศิลาก็แวบขึ้น ราวกับว่าตอนนี้พวกมันมีสติกลับคืนมา ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังพวกมัน ก็รู้สึกว่าเพียงแค่คิด ก็สามารถควบคุมทหารที่น่ากลัวทั้งสองนี้ได้

“ทหารศิลาทั้งสองนี้ มีโลหิตจากจิตวิญญาณของเจ้าอยู่ในตัวพวกมัน” เคออวิ๋นไห่กล่าว มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง “ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานนับหมื่นปี ไม่ว่าพวกมันจะเจอสถานการณ์ที่ยุ่งยากสักเพียงใด ไม่ว่าพวกมันจะมีเจ้านายมากมายเท่าไหร่ เมื่อเจ้าไปยืนอยู่เบื้องหน้า พวกมันก็จะจดจำเจ้าในฐานะที่เป็นเจ้านายที่สำคัญมากที่สุด!” ใบหน้าเคออวิ๋นไห่เป็นสีแดงขึ้นเล็กน้อย และเส้นผมก็ดูเหมือนจะเป็นสีเทามากขึ้น จนเกือบจะเป็นสีขาว

“เมื่อตระกูลเคอสังหารผู้คน พวกเราจะไม่ขอความช่วยเหลือจากคนภายนอก ตอนนี้ ออกไปได้แล้ว ไปแสวงหาความรู้แจ้งที่เกี่ยวข้องกับเวทแยกวิญญาณให้ดีที่สุด และ…อย่าได้สร้างปัญหาให้กับฟู่ (พ่อ) อีก เข้าใจหรือไม่? เจ้าไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่บ้าง…” เคออวิ๋นไห่เน้นย้ำเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา

เมิ่งฮ่าวไอแห้งๆ ออกมา และพยักหน้า ดวงตาสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ ขณะที่จู่ๆ ก็มองขึ้นไปยังเคออวิ๋นไห่ ความเขินอายปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“เตีย (พ่อ), ท่านมีคัมภีร์ซานไห่จิงอยู่หรือไม่?”

เคออวิ๋นไห่จ้องมาด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็ตบฝ่ามือลงไปบนเตียงศิลา

“เจ้าบัดซบน้อย! ซานไห่จิง? เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนก่อตั้งสำนักเซียนอสูรหรืออย่างไร?”

“ก็แค่ถามดูเท่านั้นเอง” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว

“แม้แต่สามภูเขาอสูรอันยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ชั้นสอง หรือแม้แต่สองดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ชั้นสาม เจ้าก็ไม่อาจจะได้ซานไห่จิงมาจากที่นั่น!” เคออวิ๋นไห่กล่าวด้วยโทสะ “เจ้าคิดว่าข้าที่เป็นเพียงแค่ประมุขของยอดเขาสี่แห่งสวรรค์ชั้นแรก จะร้องขอซานไห่จิงมาจากราชันหลี่ที่กำลังจำศีลอยู่ในสวรรค์ชั้นสี่มาได้จริงๆ?”

“ถ้าเจ้าอยากได้ซานไห่จิง ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ก็คือต้องครอบครองมรดกแห่งราชันหลี่ ที่ท่านทิ้งไว้ก่อนที่จะเข้าไปจำศีล ใครก็ตามที่สามารถเข้าไปในสวรรค์ชั้นสี่ และยืนอยู่เบื้องหน้าราชันหลี่ได้ ก็จะได้รับมรดกนั้น!” ด้วยเช่นนั้นมันก็โบกมือขับไล่

“ถ้าไม่มีซานไห่จิงก็ไม่เป็นไร” เมิ่งฮ่าวรีบกล่าวขึ้น ถามคำถามต่อไปในทันที “เตีย, ท่านก็รู้ว่าเวทแห่งเต๋าทั้งสามพันวิชานั้น จะได้มาก็ต่อเมื่อต้องทำความดีให้กับสำนัก ท่านพอจะใช้อิทธิพล…นำมาให้ข้าได้หรือไม่?”

ดวงตาเคออวิ๋นไห่เบิกกว้าง จ้องไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความตกตะลึง

“เวทแห่งเต๋าทั้งสามพัน?” เคออวิ๋นไห่รีบพูดอย่างมีโทสะ “เจ้าคิดว่าสำนักเซียนอสูรถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยเตียของเจ้าจริงๆ?”

“สองพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าก็ได้ แต่อย่าได้น้อยกว่านั้น” เมิ่งฮ่าวกัดฟันกล่าวตอบ

“ไสหัวไป! ไม่มี!” เคออวิ๋นไห่ร้องคำรามออกมา โบกสะบัดมือขวา

“ถ้าท่านให้วิชาเวทข้าเพียงพอ ข้าก็จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกตนอยู่บนยอดเขาสี่อย่างสงบเรียบร้อย…” เมิ่งฮ่าวกล่าว ใช้ไพ่ไม้ตายออกมา เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ มือของเคออวิ๋นไห่ก็หยุดขยับในทันที ลังเลอยู่ชั่วครู่ ขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา

“ด้วยศักดิ์ฐานะของข้า ข้าจะมอบให้เจ้าได้มากที่สุดก็คือสามร้อยเวทแห่งเต๋า ถ้าเจ้ารู้แจ้งได้ทั้งหมด ข้าก็จะลองดูว่าจะทำอะไรได้อีกบ้าง” เคออวิ๋นไห่ส่ายหน้า ทำท่าคว้าจับอีกครั้ง ดูเหมือนมือของมันได้หายเข้าไปในอากาศ และมันก็หลับตาลงชั่วครู่ เมื่อดึงมือกลับออกมา ก็ถือแผ่นหยกอยู่ในมือ มันโยนตรงไปที่เมิ่งฮ่าว และจากนั้นก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ ทำให้สายลมอันรุนแรงยกเมิ่งฮ่าวขึ้น พร้อมกับรูปปั้นทหารทั้งสอง ส่งพวกเขาออกไปจากถ้ำแห่งเซียน

ในท่ามกลางยอดเขาลูกที่สี่ มีสถานที่อันโอ่อ่าซึ่งเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับและต้นไม้พันธุ์แปลกๆ ประตูถ้ำแห่งเซียนขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราเป็นอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นถ้ำแห่งเซียนของเคอจิ่วซือ

จิตใจเมิ่งฮ่าวกำลังเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เขานำแผ่นหยกพร้อมกับทหารศิลาทั้งสอง ที่ตอนนี้ถูกย่อขนาดเล็กลงจนพอดีกับฝ่ามือ ตรงเข้าไปในถ้ำแห่งเซียน มีข้ารับใช้ประมาณสิบกว่าคนกำลังรอเขาอยู่ด้านใน เมื่อพวกมันมองเห็นเขา คนทั้งหมดก็ยิ้มออกมาและประสานมือกล่าวคำทักทาย

เมิ่งฮ่าวค้นพบได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเขาต้องการจะทำอะไรในถ้ำแห่งเซียนนี้ ก็มักจะมีใครบางคนมาช่วยเขาอยู่เสมอ

จนทำให้เมิ่งฮ่าวต้องถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่เคยมีประสบการณ์ที่หรูหราฟุ่มเฟือยเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าตอนที่เขาเป็นเทพกระถางม่วงในสำนักจื่อยิ่นก็ตามที เป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับมันเท่าใดนัก หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็ให้ข้ารับใช้เหล่านั้นออกไป

ในที่สุดเขาก็อยู่ตามลำพังเพียงคนเดียวในถ้ำแห่งเซียนอันกว้างใหญ่ นั่งลงขัดสมาธิเพื่อตรวจสอบทหารศิลาและแผ่นหยก

หลังจากที่พยายามอยู่นาน เขาก็ไม่อาจจะเก็บพวกมันไว้ในถุงสมบัติได้ แต่สามารถนำพวกมันออกมาได้

ตอนแรกเขาไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับถุงสมบัตินี้ แต่หลังจากที่ครุ่นคิด เขาก็ตระหนักว่ามีบางสิ่งที่แปลกๆ เกี่ยวกับจี้หมิงเฟิง สิ่งที่แปลกก็คือมันไม่มีถุงสมบัติ อันที่จริง จี้หมิงเฟิงไม่มีอะไรนอกจากจิตวิญญาณ

วิญญาณของมันได้หลอมรวมเข้ากับร่างอาศัย แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เป็นแค่การหลอมรวมของวิญญาณ

เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง คิดไปถึงสิ่งที่เคออวิ๋นไห่ได้บอกมาเกี่ยวกับราชันหลี่, สามภูเขาอสูรอันยิ่งใหญ่ และสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์…ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ที่อยู่ในความทรงจำของเคอจิ่วซือค่อนข้างจะคลุมเครือไม่ชัดเจน

“ข้าจำได้ว่าจื่อเซียงก็เคยบอกบางสิ่งบางอย่างไว้…” ดวงตาสาดประกาย เมิ่งฮ่าวจดจำข้อมูลใหม่ๆ ไว้ในความทรงจำ เพื่อคิดไปเกี่ยวกับช่วงเวลาอื่น สำหรับจื่อเซียง เขามั่นใจว่าในที่สุดนางต้องมาหา นอกจากนี้ จื่อเซียง…ยังเป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักเซียนอสูร!

“เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็จะได้รับคำตอบทั้งหมด!” เขาไม่ขบคิดเรื่องต่างๆ อีกต่อไป ตอนนี้ค่อนข้างจะมีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นอยู่เล็กน้อยบนร่างเขา พื้นฐานฝึกตนของเขาอยู่เพียงแค่ขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่วิญญาณแรกก่อตั้งเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วก็ค่อนข้างจะอ่อนแอในสำนักเซียนอสูร แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งเคออวิ๋นไห่และคนอื่นๆ ต่างก็ไม่ได้สังเกตเห็น เมื่อพวกมันมองมาที่เขา พวกมันไม่เห็นสิ่งใดๆ ที่แปลกแตกต่างกันออกไป

ยังมีอีกสิ่งที่แปลกไป ซึ่งเมิ่งฮ่าวเชื่อว่านี่ก็คืออาณาจักรที่สองของโลกแห่งภาพลวงตาโบราณ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝันของสำนักเซียนอสูร

ถึงแม้ว่าความฝันนี้จะดูสมจริงอย่างน่าเหลือเชื่อ และเต็มไปด้วยความเป็นไปได้อย่างไร้ขอบเขต แต่ความฝัน…ก็ยังคงเป็นความฝันเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง

ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจเมิ่งฮ่าว “ถ้ามันเป็นความจริง…?”

“ถ้าทั้งหมดนี้กลายเป็นเรื่องจริง…ถ้าสามารถเปลี่ยนการไหลของกาลเวลาในแม่น้ำแห่งดวงดาวนั่นได้จริงๆ?” จากนั้นเขาก็มองไปยังทหารศิลา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่อาจจะนำเข้าไปใส่ในถุงสมบัติได้ และเขาก็ถอนหายใจออกมา เขารู้ว่าผลลัพธ์เช่นนั้นไม่มีทางจะเป็นไปได้ นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ก็เป็นเพียงแค่ดินแดนแห่งความฝันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังรู้สึกเสียดายกับทหารศิลาทั้งสองตัวอยู่เล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าสามารถนำพวกมันออกไปจากอาณาจักรเซียนอสูรโบราณนี้ได้ เขาก็คงจะมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

“มรดกวิชาเวทเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ในอาณาจักรที่สองนี้!” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาสาดประกายด้วยความมุ่งมั่น โยนเรื่องที่ทำไม่ได้ทิ้งไป นำแผ่นหยกออกมา หลับตาลง และเริ่มพยายามจะได้รับความรู้แจ้งจากวิชาในแผ่นหยก

หลังจากนั้นไม่นาน เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้น ซึ่งเต็มไปด้วยความงุนงง

“เวทวิญญาณสายฟ้า…ขอยืมเจตจำนงแห่งสายฟ้าสวรรค์ หลอมรวมเข้าไปในร่างเพื่อสร้างเป็นจิต ใช้จิตแห่งสายฟ้ากลั่นสกัดเป็นวิญญาณแห่งสายฟ้า แปลงเป็นกายเนื้อเพื่อสร้างเป็นสายฟ้าแห่งสวรรค์และปฐพี ได้รับประโยชน์จากเทพทำลายล้างชั่วนิรันดร์…” เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง ศึกษาข้อมูลในแผ่นหยกต่อไป

สีหน้าเขาเริ่มมีความเคร่งเครียดจริงจังมากขึ้นไปเรื่อยๆ และกำลังสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง ลืมตาขึ้นมาเป็นระยะ รู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากวิชาเวทแห่งเต๋าต่างๆ เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวิชาเวทและความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่หลากหลายเช่นนั้นมาก่อนในโลกแห่งนี้ และวิชาเหล่านี้ก็ช่างแปลกประหลาดจนไม่อาจจะจินตนาการได้

มีบางวิชาที่สามารถทำให้สายรุ้งปรากฏขึ้นหลังสายฝน และกลายเป็นมัจฉาเจ็ดสี ด้วยมัจฉาเช่นนั้น ก็ทำให้ผู้คนสามารถพุ่งทะยานขึ้นไปในสวรรค์ และท่องเที่ยวไปทั่วทั้งภูเขาราวกับเป็นอสูรอันยิ่งใหญ่อีกวิชาได้เน้นไปที่การสังเกตดูกลุ่มเมฆและสายลม เพื่อทำการพยากรณ์โลกและอเวจี ด้วยการใช้เจตจำนงแห่งราชัน คนผู้นั้นก็จะสามารถเข้าใจในเจตจำนงแห่งสวรรค์ ด้วยการเข้าใจเจตจำนงแห่งสวรรค์ กฎธรรมชาติของสวรรค์และปฐพีก็จะถูกเปลี่ยนแปลง ดวงดาวก็จะถูกทำลายลงไปได้ และเพียงแค่ความนึกคิดก็จะสามารถสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ว แม้แต่สิ่งของที่เก่าแก่โบราณมากที่สุดเป็นวิชาเวทและความสามารถศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

หนึ่งในพวกมันถูกเรียกว่าเจตจำนงแห่งยวี๋เผิง ซึ่งมีพื้นฐานทั้งหมดขึ้นอยู่กับการใช้เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อการเปลี่ยนแปลงมากมายถูกฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุด ร่างของคนผู้นั้นก็จะกลายเป็นคุนเผิง!

วิชานี้ทำให้เมิ่งฮ่าวคิดไปถึงคุนเผิงแปลกๆ ที่อยู่ในถ้ำกำเนิดใหม่

ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มหัศจรรย์จนน่าเหลือเชื่อ เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ค่อยๆ เริ่มตระหนักว่า วิชาของสำนักเซียนอสูร มากกว่าครึ่งจริงๆ แล้วก็คือ…เวทอสูร!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version