Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 573

ตอนที่ 573

นางมีนามว่าสวี่ชิง

ผู้ฝึกตนสามารถฝึกฝนสิ่งที่เรียกว่าเวทอสูรนี้ได้ อันที่จริงสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็สามารถ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ คนผู้นั้นจะกลายเป็นอสูรผู้ยิ่งใหญ่

เมิ่งฮ่าวรู้สึกสะท้านใจเป็นพิเศษหลังจากที่ได้เห็นเวทกลืนภูเขา ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องใช้จิตวิญญาณที่สามารถปราบภูเขาพิชิตแม่น้ำ มันไม่ได้เป็นเพียงการจัดแต่ง แต่เป็นวิชาที่สามารถกลืนกินภูเขาและแม่น้ำได้จริงๆ! ผู้ที่สำเร็จวิชานี้จะนำไปสู่เส้นทางการเป็นเซียนของตัวเอง และกลายเป็นเซียนมนุษย์!

มีวิชามากมายที่ต้องพึ่งพาปราณแห่งสวรรค์และปฐพี ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือปราณอสูรนั่นเอง มีอยู่หนึ่งวิชาที่ทำการกลั่นสกัดปราณอสูรให้เข้าไปในร่าง เพื่อทำให้ผู้ที่ใช้วิชานี้สามารถกลายร่างเป็นอสูรสวรรค์ด้วยตนเอง การกลายร่างนี้มีอยู่ทั้งหมดสิบเก้าระดับ แต่ละระดับขั้นก็จะกลายเป็นอสูรอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถทำให้สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน

เมิ่งฮ่าวทำการศึกษาข้อมูล และในที่สุดตลอดทั้งยามราตรีก็ผ่านไป รุ่งอรุณเข้ามาแทนที่ แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัวว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เวทแห่งเต๋าเหล่านี้ทำให้เขาสะท้านใจไปโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าภายในโลกของเขา, ชีวิตของเขา, ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา…จู่ๆ ประตูก็ได้เปิดออก หลังประตูนั้นก็คือ สวรรค์และปฐพีที่แท้จริง

ความโชคดีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ ในอีกหนึ่งหมื่นปีข้างหน้าที่อาณาจักรเซียนอสูรโบราณจะถูกเปิดออก ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่จะได้รับ มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น…และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าตัวตนที่พิเศษของเขา ในโลกแห่งนี้มีความเป็นไปได้ที่จะไร้ขีดจำกัด เขาเป็นคนแรกที่ใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้รับเวทแห่งเต๋าถึงสามร้อยวิชา

จากสมัยโบราณจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ จากตอนนี้จนถึงในอนาคตข้างหน้า เขาคือคนเดียวและคนสุดท้าย!

ถ้าคนอื่นๆ ที่มาพร้อมกับเขาในอาณาจักรเซียนอสูรโบราณนี้พบว่า เขาได้ครอบครองสามร้อยเวทแห่งเต๋า พวกมันคงต้องคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน และยิ่งเป็นความจริงสำหรับบุคคลที่เคยมาในสถานที่แห่งนี้เมื่อในอดีตที่ผ่านมา

แม้แต่วิชาเดียวของสามร้อยเวทแห่งเต๋านี้ ก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดจากดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งดาวหนานเทียนได้เพียงแต่เพ้อฝันเท่านั้น แม้จะมีความโชคดีอย่างน่าเหลือเชื่อมากที่สุด คนส่วนใหญ่ก็จะมีความยุ่งยากมากมายกว่าที่จะได้มาแค่หนึ่งวิชา แต่…เมิ่งฮ่าวมีถึงสามร้อย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรู้ว่าวิชาเหล่านี้ไม่ใช่วิชาธรรมดาทั่วไป…นี่เป็นวิชาที่ต้องมาจากหนึ่งพันวิชาแรกของทั้งหมดสามพันวิชาอย่างแน่นอน!

มีบางวิชาที่มั่นใจได้ว่าต้องอยู่ในห้าร้อยวิชาแรก ขณะที่เวทกลืนภูเขา และกลายร่างอสูรสวรรค์ ทั้งสองวิชานี้ต้องอยู่ในสองร้อยวิชาแรกอย่างแน่นอน

ด้วยความสามารถศักดิ์สิทธิ์และเวทแห่งเต๋าเช่นนี้ ก็ทำให้ใครก็ตามต้องคลุ้มคลั่งเต็มไปด้วยความอิจฉา มรดกและความโชคดีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตลอดทั้งหลายหมื่นปีที่ผ่านมา

คนอื่นๆ อาจจะได้รับวิชาเวทด้วยความบังเอิญในสถานที่แห่งนี้ แต่ถึงแม้จะได้รับวิชาอันน่าเหลือเชื่อด้วยความบังเอิญนี้แล้ว พวกมันก็ยังคงไม่อาจจะได้รับความรู้แจ้ง ถ้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เมื่อตอนที่พวกมันจากไป ความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับวิชาเหล่านี้ก็จะถูกกวาดล้างออกไปจนหมดสิ้น ราวกับว่าพวกมันเพิ่งจะฝันไป หลังจากที่ตื่นขึ้นมาก็แค่จดจำได้ว่า มีวิชาเหล่านี้อยู่แต่ไม่รู้ถึงรายละเอียด

เช่นเดียวกับเวทแห่งเต๋า มีแต่ต้องได้รับความรู้แจ้งที่แท้จริงเท่านั้น ถึงจะได้ครอบครองและจดจำพวกมันได้หลังจากที่ออกไปแล้ว

ดังนั้นถ้ามีใครบางคนไม่อาจจะได้รับความรู้แจ้ง ความพยายามทั้งหมดที่ทำมาก็จะสูญเปล่า มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือ ต้องพยายามให้มากขึ้นเพื่อค้นหาเวทแห่งเต๋าอื่นๆ เพื่อศึกษาต่อไป

แน่นอนว่า นั่นต้องเป็นความยากลำบากอย่างน่าเหลือเชื่อ

แต่เมิ่งฮ่าว…ก็ไม่ได้กังวลกับปัญหาเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เขามีถึงสามร้อยวิชาเวท ถ้าเขาไม่อาจจะได้รับความรู้แจ้งในวิชาหนึ่ง เขาก็จะทำการศึกษาวิชาอื่นต่อไป ภายในสามร้อยวิชานี้ ต้องมีวิชาเวทที่เหมาะสมกับเขาอย่างแน่นอน ซึ่งเขาสามารถควบคุมใช้งานและได้รับความรู้แจ้งมันได้อย่างแท้จริงในที่สุดก็เป็นยามบ่ายก่อนที่เขาจะเงยหน้ามองขึ้นไป ยึดจับแผ่นหยกไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยแสงแปลกๆ เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และลุกขึ้นมายืน

“ข้าจะไปลองใช้เวทกลืนภูเขานี้ ก้าวแรกในวิชาเวทนี้ก็คือการสังเกตดูภูเขา!” ด้วยเช่นนั้น ร่างก็แวบขึ้น พุ่งผ่านถ้ำแห่งเซียนออกไป ในตอนนี้เขาไม่ได้สนใจที่จะค้นหาผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากดาวหนานเทียนอีกแล้ว ตอนนี้การสังหารพวกมันจะเป็นภารกิจสุดท้ายของเขา สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือการมุ่งเน้นไปที่ความโชคดีของเขาเอง

ถึงแม้ว่าถ้าเมิ่งฮ่าวสามารถค้นหาปรมาจารย์ฮูเหยียนได้ เขาก็จะไม่ฝ่าฝืนกฎของสำนัก แต่จะไปหาเคออวิ๋นไห่ เพื่อให้มันช่วยกำจัดปรมาจารย์ฮูเหยียนแทน

“ถึงตอนนี้ ก็น่าจะมีผู้คนอีกมากที่ตื่นขึ้นมา…” เมิ่งฮ่าวคิด ขณะที่เดินทางผ่านยอดเขาสี่ไป ศิษย์ทั้งหมดที่พบเห็นเขาก็จะยิ้มและพยักหน้าให้ เขายิ้มกลับไปขณะที่พุ่งตรงไปยังเป้าหมาย ไม่นานนักก่อนที่สุดท้ายเขาก็บินขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ และมองกลับไปยังยอดเขาลูกที่สี่

“สังเกตดูภูเขา…สังเกตดูรูปร่างของภูเขา รับรู้ถึงเจตจำนงของมัน ภูเขาคงอยู่ในสายตา แต่ก็ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจ ดังนั้น ร่างกายจึงสามารถกลายเป็นภูเขาได้”

“นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุถึงขั้นที่สอง เมื่อข้าเป็นภูเขา และภูเขาก็คือข้า!”

แสงแปลกๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาเมิ่งฮ่าว ขณะที่มองไปยังยอดเขาลูกที่สี่ เวทกลืนภูเขาลอยไปมาอยู่ในดวงตาแห่งจิตของเมิ่งฮ่าว

“หลังจากขั้นที่สอง ก็จะบรรลุถึงขั้นที่สาม และภูเขา…ก็จะถูกกลืนเข้าไป เจตจำนงแห่งภูเขาก็จะสามารถกำหนดรูปร่างจิต และภูเขาก็สามารถกลั่นสกัดร่างกายของข้าได้!”

“วิญญาณที่ปราบภูเขาพิชิตแม่น้ำ! เมื่อข้าหันหลังไป ภูเขาก็ไม่อยู่ในสายตาข้าอีกต่อไป แต่ไม่ว่ามันจะมีอยู่ในสายตาของคนอื่นๆ หรือไม่ ก็ไม่มีอะไรที่เกียวข้องกับข้าอีก!”

“นั่นก็เป็นเพียงแค่ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ!” เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ มองออกไปยังยอดเขาลูกที่สี่ สองสามชั่วยามผ่านไป เขามองไปยังภูเขา และศิษย์ในบริเวณนั้นก็มองไปที่แผ่นหลังของเขา

ศิษย์แห่งยอดเขาสี่สังเกตเห็นเมิ่งฮ่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ซึ่งเป็นท่านปรมาจารย์น้อยของยอดเขาพวกมันมีศิษย์หญิงสาวอยู่ไม่น้อย ที่มักจะมองไปที่เขาเป็นระยะ พร้อมโปรยยิ้มหว่านเสน่ห์ให้

“ท่านปรมาจารย์น้อย กำลังฝึกฝนการฝึกตนอยู่จริงๆ!”

“อา, เรื่องเช่นนี้แทบจะไม่เคยได้พบเห็นมานานแล้ว…”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า นิสัยของท่านปรมาจารย์น้อยได้เปลี่ยนไปแล้ว?”

ศิษย์ทั้งหมดพบว่าภาพที่เห็นนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด อันที่จริงก็มีอยู่หลายคนได้หยุดการฝึกฝนตนเอง เพื่อมองมาที่เขาซึ่งกำลังลอยตัวอยู่ที่นั่นในกลางอากาศ

ตอนนี้เป็นยามสนธยา ศิษย์สายนอกแห่งยอดเขาสี่สิบกว่าคน กำลังเดินขึ้นมาจากขั้นบันไดศิลา ซึ่งทอดยาวไปสู่ยอดเขาสี่ ซึ่งเป็นภารกิจที่ยากลำบากสำหรับพวกมัน และก็เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังจะมาเข้าร่วมการทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน

ในการทดสอบเก้าขั้นของพวกมัน นี่เป็นขั้นที่เรียกว่า ข้าจะปีนทะยานขึ้นไปในสวรรค์ ซึ่งเป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายสำหรับพวกมันทั้งหมด! การที่พวกมันจะถูกเลื่อนขั้นให้กลายเป็นศิษย์สายในแห่งยอดเขาสี่ ก็ขึ้นอยู่กับการที่พวกมันจะใช้เวลานานมากเท่าใดที่จะไปให้ถึงยอดเขา รวมทั้งผลงานจากขั้นก่อนหน้านี้

หนึ่งในผู้ที่มาเข้าร่วมการทดสอบนี้ เป็นหญิงสาวที่สวมใส่ชุดยาวของศิษย์สายนอก ใบหน้านางซีดขาว แต่ก็กัดฟันแน่น ถึงแม้นางจะเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงผลักดันตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ สายตานางพร่าเลือน และร่างกายก็สั่นสะท้าน แต่ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ทีละก้าว ทีละก้าว

การทดสอบนี้ดูเหมือนจะง่ายดาย แต่ใครก็ตามที่เข้าร่วม ก็จะเข้าใจถึงแรงกดดันและความยากลำบากอย่างน่าเหลือเชื่อนี้

มีศิษย์สายในกำลังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ เพื่อรักษาความปลอดภัย ถ้ามีใครยอมแพ้ พวกมันก็จะพาตัวจากไปอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวเยาว์วัยนางนั้นก้าวขึ้นไปบนบันไดศิลาด้วยสีหน้าซีดขาว และจากนั้นก็มองขึ้นไปในอากาศตรงไปยังเมิ่งฮ่าว ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ที่นั่น

ที่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักจากนาง เป็นศิษย์สายในที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับศิษย์สายนอก เมื่อสังเกตเห็นว่านางกำลังมองไปที่ใคร มันก็กล่าวเสียงราบเรียบว่า “นั่นก็คือท่านปรมาจารย์น้อยแห่งยอดเขาสี่ของพวกเรา”

“ท่านปรมาจารย์น้อย…” หญิงสาวกล่าว จ้องมองไป นางเพิ่งจะเข้าสังกัดสำนักได้ไม่นานนัก แต่นางจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของปรมาจารย์น้อยได้อย่างไรกัน? ศักดิ์ฐานะของนางและเขาช่างแตกต่างกันอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับเป็นสวรรค์และปฐพี นางชำเลืองมองไปยังเขาชั่วขณะ ก่อนที่จะก้มหน้าลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย เดินตรงไปบนเส้นทางเพื่อการเลื่อนขั้นต่อไป

นี่เป็นเส้นทางเดียวที่นางสามารถเดินไปได้ เพื่อที่จะได้รับโอกาสสำหรับการเลื่อนขั้น นางได้นำมรดกอันมีค่าของครอบครัวไปจำนำ ซึ่งก็คืออาวุธเวท นางยังได้หยิบยืมศิลาอสูรมากมายเพื่อการฝึกฝนพลังฝึกตน ถ้านางล้มเหลวในตอนนี้ ก็คงต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อที่จะจ่ายทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนไป

อันที่จริง ถ้านางล้มเหลว ศิษย์สายนอกที่ชั่วช้าและโลภมากเหล่านั้น ก็จะมารังควานนางจนทำให้มีชีวิตราวกับตกอยู่ในขุมนรก มีเพียงทางเลือกเดียวก็คือ นางต้องผ่านการทดสอบนี้และกลายเป็นศิษย์สายในเท่านั้น

นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และกำลังจะปีนขึ้นไปต่อ แต่ทันใดนั้น สายตาเมิ่งฮ่าว…ก็ตกกระทบไปบนร่างนาง

หญิงสาวเยาว์วัยไม่ได้สังเกตเห็น และนางก็ไม่ได้มองขึ้นไปในท้องฟ้าอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม สายตาเมิ่งฮ่าวก็จ้องนิ่งไปที่นางอย่างเต็มที่ ทันทีที่เขาสังเกตเห็นนาง จิตใจก็สั่นสะท้านเขาไม่ได้สังเกตดูภูเขาอีกต่อไป ความสนใจทั้งหมดของเขามุ่งเน้นไปที่นาง

นางสวมใส่ชุดของศิษย์สายนอก และดวงตาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ถึงแม้นางจะมีหน้าตาน่ารัก ไม่ได้งดงามเท่าใดนัก แต่ก็มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนาง จนทำให้เมิ่งฮ่าวต้องจ้องมองไปที่นางอย่างลึกซึ้งราวกับว่าหญิงสาวเยาว์วัยนางนี้มีวิญญาณสิงอยู่ในร่างนาง เป็นวิญญาณจากชีวิตก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้ตื่นขึ้นมา

ในชีวิตก่อนหน้านี้นั้น มีกรรมที่ผูกพันกันอย่างแน่นหนา ซึ่งมีผลกระทบต่อโลกทั้งหมด

เมิ่งฮ่าวไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ก็รู้ว่าเขากำลังมองไปยัง…สวี่ชิง

ภายในดวงใจของเมิ่งฮ่าวมีหยดน้ำตาอยู่ เมื่อเขากำลังกลายเป็นทะเลม่วง หยดน้ำตานั้นได้ตกลงไปในท้องทะเล และเข้าไปในปากเขา จากนั้นหยดน้ำตาของสวี่ชิงก็หลอมรวมเข้ากับดวงใจของเขา

สวี่ชิงเป็นหญิงสาวเยาว์วัยที่ธรรมดา มีความรักที่เรียบง่าย ไม่มีอะไรในความรักเช่นนั้น ที่จะสามารถทำให้สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน ไม่มีเปลวไฟอันร้อนแรง แต่ก็คล้ายกับเป็นสายน้ำที่สงบนิ่งและเยือกเย็น ขณะที่ผ่านมาแล้วนานหลายปี

เมิ่งฮ่าวมองไปยังหญิงสาวเยาว์วัยที่อยู่บนภูเขา รู้สึกราวกับว่ากำลังมีกระแสน้ำพุ่งขึ้นมาในจิตใจ ราวกับว่าการปรากฏขึ้นของหญิงสาวนางนี้ คล้ายกับเป็นก้อนศิลาขนาดใหญ่ที่ถูกทุ่มลงไปในผิวน้ำที่สงบนิ่งของทะเลสาบ เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไป ทำให้ความสงบนิ่งนั้นถูกทำลายไป ในเวลานั้นไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ นอกจากรู้สึกตกตะลึงอย่างน่าเหลือเชื่อ

ศิลาใหญ่ก้อนนั้นคล้ายกับเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ที่ทำให้ความคิดและจิตใจของเมิ่งฮ่าวหมุนเคว้งคว้าง ภายในความทรงจำของเขา มีภาพปรากฏขึ้น เขามองเห็นหญิงสาวกำลังยืนอยู่บนเกาะเหนือทะเลม่วง ขณะที่นางมองออกไปยังที่ห่างไกล หยดน้ำตาก็เต็มปริ่มอยู่ที่หางตาของนาง และจากนั้นก็หยดลงมาหยดน้ำตาเพียงหยดเดียวนั้น ทำให้ทั่วทั้งทะเลม่วงเดือดพล่านขึ้น

หยดน้ำตาที่ประกอบไปด้วยความเจ็บปวด, สับสน, ความคิดถึง, ความหวนรำลึก, สิ่งที่คาดไม่ถึง, ไม่อาจจะพูดออกมาได้, ความรู้สึกอันลึกซึ้งแห่งความผูกพัน

สายตาที่ไม่อาจจะลืมเลือนไปได้ในตอนที่นางมองมาบนยอดเขาต้าชิง ตอนที่ฉับพลันนั้นนางก็มองเห็นเขาจากภายในฝูงชนของศิษย์แห่งสำนักชิงหลัว ความรู้สึกเจ็บปวดของนางตอนที่อยู่ด้านนอกถ้ำกำเนิดใหม่ เมื่อคนทั้งสองสบสายตาซึ่งกันและกัน และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มาพบกันอีกครั้ง

ในที่สุด ทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นหยดน้ำตา ซึ่งจากนั้นก็ทำให้เกิดเป็นคลื่นยักษ์

ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างคนทั้งสองเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ในความธรรมดานั้นก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั้งสอง ราวกับว่าโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ คนทั้งสองก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจซึ่งกันและกันอย่างถาวรตลอดไป

“นั่นก็คือสวี่ชิง” เมิ่งฮ่าวพึมพำ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากการได้มาพบกันอีก หลังจากที่ต้องแยกจากกันมานานกว่าหนึ่งร้อยปี ทันใดนั้นร่างเขาก็แวบขึ้น หายตัวไปจากสายตาของศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนั้น เมื่อไปปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไปยืนอยู่บนขั้นบันไดศิลา อยู่ตรงหน้าของศิษย์สายนอกหญิงสาวนางนั้น

นางแทบจะชนไปที่เขา การปรากฏขึ้นในทันใดของเขา ทำให้นางต้องถอยไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัวสองสามก้าว

ดวงตาศิษย์สายในที่อยู่ใกล้ๆ เบิกกว้าง มันกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ท่านปรมาจารย์น้อย…ท่าน…”

เขาอยู่ใกล้กับนางมากจนทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวต้องเต้นรัว มองไปยังสวี่ชิงที่ยังคงหลับอยู่ และกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “นับจากนี้ไป นางก็คือศิษย์หลักแห่งยอดเขาสี่!”

หญิงสาวนางนั้นจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง, สับสน และหวาดกลัว นางกระวนกระวายใจ, ไม่อยากจะเชื่อ และตกใจ มองไปยังศิษย์สายในราวกับว่าจะร้องขอความช่วยเหลือ

ศิษย์สายในสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ก้มศีรษะลงเพื่อรับคำสั่ง หยิบแผ่นหยกขึ้นมาในทันทีและถามว่า

“เจ้ามีนามว่าอะไร?”

ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้กล่าวตอบ เสียงเมิ่งฮ่าวก็ได้ยินมา

“นางมีนามว่าสวี่ชิง นางจะไปฝึกตนอยู่ในถ้ำแห่งเซียนของข้านับจากนี้ไป”

“หือ? ข้า…ข้าไม่ได้เรียกว่า…” หญิงสาวพูดพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง กำลังจะกล่าวคำอธิบาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version