ตอนที่ 635
มีโชคชะตาร่วมกันพันหลี่ก็ยังได้พบเจอ
“อวี่เอ๋อร์, เจ้าคิดว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น?” ชายชราพึมพำมองไปยังหญิงสาว ขณะที่นางพัดไปที่ธูปดอกนั้นอย่างเนือยๆ “ทำไมเหลาจู่ (ปรมาจารย์) ถึงได้รู้สึกว่า กำลังจะมีเรื่องราวใหญ่โตบางอย่างเกิดขึ้น?” เห็นได้ชัดว่าชายชรารู้สึกไม่สบายใจ และไม่มีอารมณ์จะเข้าฌาณอีกต่อไป
“บางทีท่านอาจจะทำแต่เรื่องเลวร้ายมามากมายเกินไป?” หญิงสาวกล่าว จ้องมองไปที่มัน
“ไม่, ไม่ใช่ข้า! หลายปีมานี้เหลาจู่ได้ฝึกฝนชีวิตและจิตวิญญาณมาโดยตลอด เป็นเวลานานมากแล้วที่ข้าไม่เคยเหยียบย่างไปยังด้านนอกมาเลย” ชายชราพบว่าหนังตาของมันกำลังกระตุกเร็วขึ้นกว่าเดิม และด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจของมันรุนแรงมากยิ่งขึ้น มันก้าวเท้าลงมาจากบัลลังก์ และเริ่มเดินไปมาอยู่ภายในราชวัง
ความรู้สึกไม่สบายใจนี้ เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้มันเชื่อว่ามีบางสิ่งที่คล้ายกับเป็นมหันตภัยกำลังใกล้จะมาเยือนแล้ว
ถ้ามีสมาชิกคนอื่นๆ ของสำนักเซียวเหยามาเห็นท่าทางในตอนนี้ของมัน พวกมันก็คงจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน ราวกับว่าสวรรค์กำลังล่มสลาย พวกมันทั้งหมดคงต้องคุกเข่าลงโขกศีรษะในทันที นั่นเป็นเพราะว่าชายชราผู้นี้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นปรมาจารย์แห่งสำนักเซียวเหยา
ในสำนักเซียวเหยาทั้งหมด มันมีตำแหน่งสูงสุด และไม่มีใครจะเทียบเปรียบได้อย่างแน่นอน จริงๆ แล้ว มันเป็นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักนี้
สำนักเซียวเหยาให้ความสำคัญต่อระดับอาวุโสเป็นพิเศษ อันที่จริงก็คือกฎของสำนักที่มันได้จัดตั้งขึ้น ผู้คนที่มีระดับของอาวุโสที่แตกต่างกัน ก็ต้องแสดงความเคารพต่อคนที่มีความเป็นอาวุโสมากกว่า ซึ่งทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
สำหรับมัน มันเป็นปรมาจารย์เซียวเหยา เป็นตำแหน่งที่ไม่ต้องมีการเปรียบเทียบ ในเกาะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนี้ มันอยู่เหนือคนอื่นๆ ทั้งหมด เพียงคำพูดของมันแค่คำเดียว ก็สามารถตัดสินความเป็นตายของคนทั่วทั้งเกาะแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย
“มีบางสิ่งแปลกๆ กำลังจะเกิดขึ้น! มีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”
“ข้ารู้สึกกระวนกระวายใจ และอกสั่นขวัญหายมากขึ้นเรื่อยๆ!” สีหน้าชายชราเปลี่ยนไป และหญิงสาวนางนั้นก็ดูสงสัยขึ้นมาในทันที
“มีเรื่องใหญ่บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” มันกล่าว “ลางสังหรณ์ของเหล่าจู่ ต้องไม่ผิดพลาด!” ด้วยเช่นนั้นมันก็หยุดชะงักนิ่งในทันทีและมองขึ้นไป แสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นในดวงตา ซึ่งดูเหมือนจะสามารถแยกสวรรค์หั่นปฐพีได้อย่างง่ายดาย
ในเวลาเดียวกันนั้น สัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่อย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ทันใดนั้นก็กระจายออกมาจากร่างมัน กวาดออกไปทั่วทุกทิศทาง เริ่มต้นจากราชวังที่อยู่ด้านบนสุดของภูเขา
เพียงชั่วพริบตา สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะ ฝุ่นละอองทุกอณู, ก้อนศิลาทุกก้อน, ทุกอาณาเขต, ทุกคน, ทุกชีวิต
แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่กำลังโบยบินอยู่ในท้องฟ้า หรือต้นไม้ใบหญ้า หรือฝูงสัตว์ทั้งหมดที่อยู่บนพื้นดิน ทุกสิ่งทุกอย่างบนเกาะนั้น ถูกกวาดผ่านไปและตรวจสอบอย่างละเอียดโดยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์
“ไม่มีอะไรผิดปกติ?” ชายชรากล่าว ตอนนี้มันมีท่าทางงุนงงมากยิ่งขึ้น มันกวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปมาอีกหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจจะตรวจจับสิ่งใดๆ ที่ทำให้มันต้องกระวนกระวายใจได้ จากนั้นโดยไม่แม้แต่จะครุ่นคิด มันก็ทำให้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ขยายออกไปไกลมากขึ้นกว่าเดิม ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องทะเลที่อยู่รอบๆ เกาะแห่งนี้
ในตอนนี้เองที่แรงสั่นสะเทือน ทันใดนั้นก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างของชายชรา ดวงตามันเบิกกว้าง และมองออกไปยังที่ห่างไกล ท่าทางไม่อยากจะเชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้ามัน
ในทิศทางทางนั้น มันมองเห็นเรือด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรือที่ตอนนี้กำลังแล่นตรงมายังเกาะแห่งนี้
ตรงหัวเรือเป็นบุรุษที่มีผมสีเทา ใบหน้าซีดขาว และสวมใส่ชุดยาวสีขาว ทันทีที่ชายชรามองเห็นบุรุษผู้นั้น จิตใจมันก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย
เหงื่อเย็นๆ เม็ดใหญ่ๆ เริ่มไหลลงมาจากหน้าผาก และมันเริ่มหอบหายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนว่ามันแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังมองเห็น มันยกมือขึ้นขยี้ตาไปมาอย่างรุนแรงสองสามครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้เข้าใจผิด จากนั้นก็ส่งเสียงครวญครางอย่างเศร้าโศกเสียใจออกมา
“บัดซบ, บัดซบ, บัดซบ…”
ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อและงุนงง มันจ้องมองไปยังบุรุษชุดขาว ถึงแม้จะดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้มากนัก แต่ชายชราก็จดจำคนผู้นั้นได้ในทันที
“เมิ่งฮ่าว!!!” ชายชรากัดฟันแน่น และสีหน้าอันดุร้ายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ทั่วร่างมันเริ่มสั่นสะท้าน ราวกับว่ากำลังมีโทสะอย่างมากมาย
“ข้าหลบซ่อนเจ้าตัวอยู่ที่นี่ แต่เจ้า, เจ้า, เจ้า…เจ้าก็ตามรอยข้ามา ท่านย่ามันเถอะ!?!?”
“เจ้าจากดินแดนด้านใต้มาเพื่อค้นหาข้า?”
“เจ้า, เจ้า, เจ้า…”
“เจ้ายังไม่ยอมแพ้?! พันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูร ก็คือเจ้าพวกสารเลว! ใช่แล้ว สารเลวทั้งหมด! สารเลวที่เหม็นคละคุ้ง!!”
ชายชราผู้นี้…ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็น ปรมาจารย์เอกะเทวะ!
ที่ถูกเรียกว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงก็คืออดีตของแคว้นจ้าว แต่ก็ถูกเปลี่ยนเป็นบางสิ่งที่ใหม่ไปโดยสิ้นเชิงโดยปรมจารย์เอกะเทวะ จนถึงจุดที่แม้แต่กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในแคว้นจ้าว ก็ไม่อาจจะรับรู้ได้
สำหรับแคว้นเซียว ก็คือนามใหม่ของแคว้นจ้าวเดิม…
สำหรับสำนักเซียวเหยา…ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นสำนักเอกะเทวะเดิม ผู้ฝึกตนที่สร้างสำนักนี้ขึ้นมา ต่างก็เป็นสมาชิกจากสำนักเก่าก่อนหน้านี้ทั้งหมด ซึ่งยังคงอยู่ในแคว้นจ้าว หลังจากที่หลบหนีไปจากดินแดนด้านใต้ เต่าชราปรมาจารย์เอกะเทวะ ก็บังคับให้พวกมันเข้าสู่มุมอับ และพวกมันก็ต้องเข้าร่วมกับสำนักเซียวเหยาใหม่นี้เท่านั้น
ตอนนี้หนึ่งร้อยปีได้ผ่านไป พวกมันทั้งหมดได้เข้าสังกัดสำนักเซียวเหยาโดยสมบูรณ์ และปฏิบัติตามคำสั่งของปรมาจารย์เอกะเทวะ โดยไม่มีคำถามใดๆ สำหรับปรมาจารย์เอกะเทวะ เพื่อที่จะหลบซ่อนตัวเองจากเมิ่งฮ่าว มันจึงได้เปลี่ยนนามตนเองเป็นปรมาจารย์เซียวเหยา
ในจิตใจของมัน รู้สึกว่าได้ถูกบังคับจากเมื่อหลายปีก่อนที่ผ่านมา ทำให้ไม่มีทางเลือกจนต้องกลายเป็นผู้พิทักษ์เต๋าของผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า ด้วยการมีผนึกอสูรในที่แห่งนั้น ทำให้มันไม่อาจจะต่อสู้กลับไปได้ ไม่อาจจะทำอันตรายเมิ่งฮ่าวได้แม้แต่น้อย
แต่ถึงแม้ว่ามันไม่อาจจะต่อสู้กลับไปได้ สิ่งที่มันสามารถทำได้ก็คือหลบซ่อนตัว ในจิตใจมัน การหลบซ่อนอยู่ในทะเลเทียนเหออันกว้างใหญ่ ก็หมายความว่าแทบจะไม่มีทางได้พบกับเมิ่งฮ่าวอีกในชีวิตนี้ ด้วยวิธีนี้ ทำให้มันสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข เป็นชีวิตที่อิสระ ซึ่งนั่นก็คือการที่มันได้ใช้นามใหม่ว่า ปรมาจารย์เซียวเหยา (อิสรภาพ)
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มองเห็นเมิ่งฮ่าว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
“อ๊ากกกกกก!” ปรมาจารย์เอกะเทวะแผดร้องออกมา “ชีวิตของเหลาจู่เต็มไปด้วยความปวดร้าว! ข้าอุตส่าห์มาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่…ท่านย่ามันเถอะ, เจ้าสารเลวนั่นก็ยังหาข้าพบ!?” พื้นดินทั้งหมดสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย และน้ำทะเลที่อยู่รอบๆ เกาะก็เริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วน แทบจะดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำกำลังตีน้ำไปมา
“ข้าต้องจบลงโดยการวิ่งหนีเจ้าสารเลวน้อยนั่นอีกครั้ง?! ปีนั้นในถ้ำแห่งเซียนของข้า มันเอาของวิเศษทั้งหมดของข้าไป, ทั้งหมดที่ข้าเก็บรวบรวมไว้! มันเอาเครื่องรางนำโชค, ใบไม้สายฟ้า, ต้นเทียนฟาง, หญ้าวิญญาณเทพ, หินลมปราณกองเท่าภูเขาของข้าไป!!” เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์เอกะเทวะตระหนี่อย่างถึงที่สุด มันยังคงจดจำได้อย่างชัดเจน ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เมิ่งฮ่าวได้นำไปจากมันเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน
เพื่อเป็นการตอบรับต่อเสียงพร่ำบ่นอย่างมีโทสะของปรมาจารย์เอกะเทวะ หญิงสาวที่งดงามซึ่งอยู่ข้างธูปที่กำลังเผาไหม้อยู่ ทันใดนั้นก็มองขึ้นไป ท่าทางกำลังหวนรำลึกถึงความทรงจำ ปรากฏขึ้นในดวงตาที่น่ารักของนาง
นางคิดย้อนกลับไปยังหลายปีที่ผ่านมา คิดไปถึงคำสาบานที่พูดออกมาจากปากของบุรุษหนุ่มที่อยู่ริมฝั่งทะเลสาบ ซึ่งต้องการจะช่วยให้ทะเลเหนือกลายเป็นทะเลที่แท้จริง
“เมิ่งฮ่าว…” หญิงสาวกล่าว ยกมือปกปิดรอยยิ้มของนางไว้ นางเริ่มหัวเราะ และจากนั้น โดยไม่แม้แต่จะมองไปยังปรมาจารย์เอกะเทวะ บินขึ้นไปในอากาศ ทันทีที่นางโผล่ออกมาจากราชวัง นางก็มองเห็นชาวเรือชรา กำลังเอนหลังอยู่ที่ผนังกำแพง มองมายังนางด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความรู้สึกออกมา
“ฉวนหลิง (วิญญาณเรือ)! เมิ่งฮ่าวกลับมาแล้ว!” หญิงสาวนางนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นกู๋อี่ติงซานอวี่!
ท่าทางจดจ่อปรากฏขึ้นในดวงตาของชาวเรือชรา และจากนั้นมันก็หัวเราะออกมา หญิงสาวตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มพุ่งจนหายลับตาไป
ทันใดนั้นปรมาจารย์เอกะเทวะก็มองขึ้นไปและแผดร้องออกมา “ห้ามพวกเจ้าทั้งสองไปที่ไหนทั้งนั้น!”
ทันใดนั้น ทั่วทั้งภูเขาที่มีราชวังตั้งอยู่ก็หายไปโดยสิ้นเชิง
อย่างน้อยที่สุด ถ้ามีใครบางคนมองมาจากด้านนอกก็จะเห็นว่า จากมุมมองของภูเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ด้านนอกได้หายไปโดยสิ้นเชิง
“เหลวไหล! ข้าต้องหลบหนีอีกครั้งจริงๆ?!”
“บัดซบ! ข้าอยู่ที่นี่อย่างมีอิสระ ไร้กังวลมานับร้อยปี ร้อยปีเลยนะ!”
“ไม่, ข้าจำเป็นต้องจากไปก่อนที่มันจะหาข้าพบ ข้าไม่อาจจะให้มันรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” ปรมาจารย์เอกะเทวะกัดฟันแน่น โบกสะบัดชายแขนเสื้อ มันกำลังจะส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับเข้าไปในร่างจริง และจากนั้นก็หลบหนีไปก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะย่างเท้าขึ้นมาบนเกาะ แต่ทันใดนั้น ดวงตามันก็เปลี่ยนเป็นมีท่าทางครุ่นคิดขึ้น
“เดี๋ยวนะ เท่าที่เห็น เจ้าสารเลวน้อยนั่นไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่!” ทันใดนั้นดวงตาปรมาจารย์เอกะเทวะก็เริ่มเจิดจ้าขึ้น สำหรับกู๋อี่ติงซานอวี่ นางมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ ขณะที่กลับเข้ามาในราชวังพร้อมกับฉวนหลิง
“ถ้ามันไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่า มันไม่ได้มายังที่แห่งนี้เพื่อค้นหาข้า, ใช่หรือไม่? มันแค่เดินทางผ่านมาเท่านั้น!!”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วข้าจะหลบหนีไปเพื่ออะไร? ข้าต้องไม่! ข้าไม่จำเป็นต้องหลบหนี! มันไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ดังนั้นสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำทั้งหมดก็คือ ทำให้มันจากไปโดยไร้ข้อสงสัยใดๆ ตราบเท่าที่มันตรวจจับข้าไม่ได้ มันก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะสงสัย!”
“ฮา ฮา ฮา! กลายเป็นว่าเหลาจู่เป็นผู้ที่ฉลาดมากที่สุดเหมือนเช่นเคย ด้วยวิธีนี้ ข้าก็สามารถอยู่ที่นี่ได้ต่อไปอย่างมีอิสระ โดยไม่มีสิ่งใดจะมารบกวนอีกต่อไป!” ยิ่งมันพูดออกมามากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ดวงตาปรมาจารย์เอกะเทวะสาดประกายมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่มันเดินไปมาอยู่ภายในราชวัง กู๋อี่ติงซานอวี่มองไป สีหน้านางเริ่มน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ
“มิใช่ว่าท่านได้ให้คำสัญญากับปรมาจารย์จากสำนักมันไว้?” นางถามอย่างไม่อาจจะระงับจิตใจไว้ได้ “ทำไมถึงไม่กลับออกไป? การเป็นผู้พิทักษ์เต๋าของมัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านจะพบเจอกับเรื่องไม่ดี ทำไมท่านถึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา?”
“เด็กโง่!” ปรมาจารย์เอกะเทวะกล่าว มองไปยังนาง “เจ้าไม่เข้าใจเรื่องอะไรเลย!”
“ฮึ่ม เจ้ารู้หรือไม่ ข้าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง ข้ารู้สึกว่าเมื่อนาน, นานมากมาแล้ว ข้าได้พบกับเจ้าสารเลวน้อยอีกคน ที่มีชื่อเดียวกันกับเจ้าสารเลวผู้นี้!”
“นั่นเป็นสารเลวอีกคนที่เลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง ย้อนกลับไปในตอนที่ข้าอายุยังน้อย มันเป็นคนที่น่ารังเกียจและทำให้ข้าน่าอับอายอย่างถึงที่สุด!!”
“ข้าแทบจะลืมมันไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้!” ดวงตาปรมาจารย์เอกะเทวะเบิกกว้าง เต็มไปด้วยความอับอายและอยากรู้อยากเห็น จริงๆ แล้วมันไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้นึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาได้
อันที่จริง ในความทรงจำที่แจ่มชัดของมัน ก็ยังมีความสับสนอยู่ด้วยเช่นกัน
“เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมเหลาจู่ถึงได้แบกแคว้นทั้งแคว้นอยู่บนหลัง? เจ้าคิดว่าข้าต้องการจะทำเช่นนั้น? มันช่างน่าละอายใจจริงๆ!!” ไม่ชัดเจนว่าปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่สีหน้ามันก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“มันแค่จะมายังที่แห่งนี้เพื่อจัดการเรื่องราวบางอย่าง หลังจากที่มันจัดการได้เรียบร้อยแล้ว มันก็จะต้องจากไป เมื่อไหร่ที่เจ้าสารเลวน้อยออกไปจากที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อย!” ปรมาจารย์เอกะเทวะสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ดวงตาแวบขึ้นราวกับเป็นสายฟ้า เมื่อตัดสินใจที่จะให้เมิ่งฮ่าวจากไปรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันจึงทุ่มสุดตัวที่จะทำให้เป้าหมายของมันสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ในเวลาเดียวกันนั้น ยามสนธยากำลังใกล้เข้ามา และท้องฟ้าก็เริ่มสลัวเลือนลาง เสียงน้ำทะเลกระแทกกับตัวเรือ ขณะที่เรือของตระกูลจาง เข้าไปใกล้เกาะศักดิ์สิทธิ์ เมิ่งฮ่าวยืนอยู่บนหัวเรือ มองไปยังหาดทรายที่อยู่เบื้องหน้า และท่าเทียบเรือที่แน่นขนัด ผู้ฝึกตนบินกระจัดกระจายอยู่เหนือเกาะ และมีผู้คนกำลังวุ่นวายอยู่บนชายหาดอย่างคึกคัก
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ในทะเลเทียนเหอ แต่ย้อนกลับไปในดินแดนด้านใต้
เวลาต่อมา เมิ่งฮ่าวก็สังเกตเห็นว่า ทั่วทั้งเกาะนั้น ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเขาหดเล็กลง ในเวลาเดียวกันนั้น น้ำที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็พลุ่งพล่านปั่นป่วนเต็มไปด้วยลูกคลื่น ทำให้เรือลอยขึ้นลงอย่างรุนแรง ทุกคนที่อยู่บนเรือร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
เมิ่งฮ่าวรู้สึกประหลาดใจต่อการปรากฏขึ้นในทันใดของคลื่นนี้ แต่ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ คลื่นเหล่านั้นก็สงบลง คิ้วเมิ่งฮ่าวขมวดมุ่น ยืนอยู่ที่นั่นอย่างครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนที่จะส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป ถึงแม้จะตรวจจับสิ่งผิดปกติใดๆ ไม่ได้ แต่เขาก็ยังคงแอบระมัดระวังตัวอยู่ภายในใจ
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก่อนที่พวกเขาจะผ่านเข้าไปยังท่าเทียบเรือ หลังจากที่เรือจอดสนิท พวกเขาก็เดินลงไป ในที่สุดก็สามารถก้าวเท้าเหยียบย่างลงไปบนเกาะศักดิ์สิทธิ์นี้ได้
เมิ่งฮ่าวไม่รู้เรื่อง แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงไปบนเกาะ จิตใจปรมาจารย์เอกะเทวะก็เต้นรัว
———-
หมายเหตุ
- 1. เมิ่งฮ่าวเอาสมบัติและของวิเศษของปรมาจารย์เอกะเทวะไป ตอนที่ 85
- 2. เรื่องราวของกู๋อี่ติงซานอวี่ (ฝนเดือนสามที่ตกลงมาในปีอี่ติงสมัยโบราณ) และฉวนหลิง (วิญญาณเรือ) เมิ่งฮ่าวได้พบกับคนทั้งสองครั้งแรก ตอนที่ 44เมื่อเขาสาบานว่าจะเปลี่ยนทะเลเหนือให้กลายเป็นทะเลที่แท้จริง เมิ่งฮ่าวเกือบตาย จมลงไปที่ก้นทะเลเหนือ และถูกช่วยให้มีชีวิตรอด ในตอนที่ 66เขารู้จักชื่อนาง ตอนที่ 89 และเรื่องราวของทั้งสอง ตอนที่ 90
เมิ่งฮ่าวรู้ความหมายของชื่อนาง ตอนที่ 9