ตอนที่ 640
ข้าจะไปหลังจากซื้อเสร็จแล้ว
เมิ่งฮ่าวมีอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง…
เป็นวันที่แสงแดดแผดจ้า อบอุ่นเป็นอย่างมาก และยานสนธยากำลังใกล้เข้ามา สีของท้องฟ้าและภาพรอบๆ ตัวเขาทั้งหมด ดูงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ ยิ่งมองไปยังมันมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น
ร่างเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น ขณะที่พุ่งฝ่าอากาศตรงไปยังเมือง แทบจะในช่วงวลาเดียวกับที่เขาใกล้จะไปถึง กระแสของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เจ็ดถึงแปดสาย ทันใดนั้นก็ใกล้่เข้ามา แทบจะในพริบตานั้นพวกมันก็กระจายกันออกไปด้วยความประหลาดใจ
เมิ่งฮ่าวเพียงแค่เปิดเผยให้เห็น พื้นฐานฝึกตนขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้งเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่ในเมือง ไม่มีใครกล้ามาขัดขวาง พวกมันปล่อยให้เขาเข้าไปในเมืองอย่างง่ายดาย
เมืองผู้ฝึกตนเต็มไปด้วยผู้คนและความเคลื่อนไหวที่คึกคักจอแจ มองเห็นร้านค้าอยู่ทุกประเภท และถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณ แต่ก็ยังมีขั้นพื้นฐานลมปราณอยู่บ้าง แม้แต่ขั้นสร้างแกนลมปราณก็มองเห็นได้เป็นระยะ
สำหรับผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้ง เมิ่งฮ่าวมองเห็นน้อยมาก เห็นได้ชัดว่า พวกมันไม่ใช่สมาชิกของสำนักเซียวเหยา แต่เป็นผู้ฝึกตนที่มาจากวงแหวนที่สี่เพื่อมาทำการค้าขาย
ทันทีที่เขาเข้าไปในเมือง และเริ่มเดินเตร่ไปมา ก็มองเห็นร้านค้าอยู่บนสองฝั่งของถนน เต็มไปด้วยสินค้าที่หรูหรา มีลูกค้าเดินเข้าออกไม่ขาดสาย สำหรับพื้นถนน ถูกปูด้วยหินปูนสีเขียว ทำให้ทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะสวยงามมากยิ่งขึ้น
ขณะที่เดินไป เมิ่งฮ่าวก็สังเกตเห็นผู้ฝึกตนขั้นกลางสร้างแกนลมปราณที่อยู่เบื้องหน้า มันสวมใส่ชุดยาวสีเขียวอ่อน ดูท่าทางยิ่งใหญ่น่ากลัว ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีโทสะขึ้นมาก็ตามที
มันกำลังเดินอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว และกำลังจะเข้าไปในร้านค้าที่อยู่ด้านข้าง แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแผดร้องดังออกมาจากที่ห่างไกล และลำแสงเจิดจ้าก็พุ่งตรงมายังมันอย่างรวดเร็ว
“โจวเจี้ยน เจ้าหัวขโมย! เจ้าแอบมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หลังจากที่ขโมยหินลมปราณของข้าไป!? วันนี้ข้า, ซุน ขอสาบานว่าจะต้องสังหารเจ้าให้จงได้!” มองเห็นผู้ฝึกตนวัยกลางคนเข้ามาใกล้ พื้นฐานฝึกตนของมันอยู่ที่ขั้นสร้างแกนลมปราณ และมีพลังที่ดูเหมือนจะไร้ขอบเขต มันขยับมือร่ายเวทด้วยมือขวา ทำให้กระบี่บินสองเล่มโผล่ออกมาพร้อมกับแสงอันคมกริบ พุ่งตรงไปยังผู้ฝึกตนที่สวมใส่ชุดยาวสีเขียวอ่อนในทันที
สีหน้าของบุรุษผู้นั้นสลดลง ไม่มีเวลาที่จะหลบหนี การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองก็เกิดขึ้นในทันที การโจมตีระเบิดออก ทำให้คนที่มุงดูอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น ต้องหลบออกไป
พวกมันต่อสู้กันอย่างเปิดเผย ปกคลุมด้วยแรงระเบิดที่พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า อาวุธเวทและความสามารถศักดิ์สิทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมา บุรุษทั้งสองกระอักโลหิตและล้มไปด้านหลัง แทบจะในทันทีที่พวกมันล้มลงไป ศิษย์สำนักเซียวเหยาก็พุ่งตรงมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เสียงแค่นอันเย็นชาเต็มไปทั่วบริเวณนั้น
“การต่อสู้ด้วยพลังเวทเป็นเรื่องต้องห้ามในเมืองเซิ่งเหยา! พวกเจ้าทั้งสองไสหัวไปในทันที!”
เสียงดังก้องนี้ทำให้สีหน้าของผู้ฝึกตนแซ่ซุนเปลี่ยนไป ขณะที่มันมองขึ้นไป ผู้ฝึกตนแซ่โจวก็ฉวยโอกาสที่มันหยุดชะงักนิ่ง ล่าถอยออกไปไกลมากขึ้นกว่าเดิม ยากที่จะบอกได้ว่ามันเจตนาหรือไม่ แต่การเคลื่อนที่ของมัน ก็ทำให้เข้าไปอยู่ที่ด้านขวามือของเมิ่งฮ่าว ก่อนที่พวกมุงดูจะทันได้เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น บุรุษผู้นั้นก็รีบยื่นถุงสมบัติไปที่เมิ่งฮ่าว
“โปรดดูแลของสิ่งนี้ให้ข้าด้วย, สหายเต๋า” มันกล่าว “ข้าจะกลับมาภายในสามวันเป็นอย่างช้า ถ้าข้าไม่มาภายในสามวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านในก็จะเป็นของท่าน” ด้วยเช่นนั้น มันก็บินขึ้นไปในอากาศ ผู้ฝึกตนแซ่ซุนส่งเสียงแผดร้องออกมา จากนั้นก็เริ่มไล่ตามมันไป คนทั้งสองหายไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งฮ่าวยืนทำตาปริบๆ อยู่ที่นั่น การต่อสู้นี้เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็จบลงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า เมิ่งฮ่าวมองลงไปยังถุงสมบัติ กวาดตราประทับออกไปโดยไม่ลังเล จากนั้นก็ตรวจสอบด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้น สีหน้าแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ไม่มีอะไรอยู่ภายในนอกไปจาก หินลมปราณ…
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีมากกว่าสามหมื่นก้อน
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมา จากนั้นก็เก็บถุงสมบัตินั้นไว้อย่างเงียบๆ สีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย จริงๆ แล้วไม่มีใครที่เขารู้จักจะกลับกลอกจนสามารถทำบางสิ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยความผิดพลาดอย่างเลินเล่อเช่นนี้ได้
ตั้งแต่ตอนที่ก้าวเท้าลงไปบนเกาะศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นครั้งแรก เมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้คิดมากนัก เกี่ยวกับว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงได้ดูเหมือนจะคุ้นเคยนัก แต่จากนั้นเขาก็ตระหนักว่า มันดูแตกต่างเป็นอย่างมากจากสถานที่อันคุ้นเคยในความทรงจำของเขา ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนมาเปลี่ยนแปลงมัน ทั้งยังได้เคลื่อนภูเขาย้ายแม่น้ำ เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับมัน
และจากนั้น…ทุกสิ่งทุกอย่างก็ราบรื่นมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสำนักเซียวเหยา ทำให้เมิ่งฮ่าวเริ่มพบเห็นข้อพิรุธขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อพิจารณาจากทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะตระหนักว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น
“เป็นเรื่องดีที่ข้าเข้าไปยังสะพานเซียนเดินหนเมื่อปีนั้น ทำให้ได้เห็นทะเลเทียนเหอจากมุมมองด้านบน และรู้ว่าเจ้าบัดซบเฒ่ากำลังหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น ข้าก็อาจจะสงสัย แต่ก็ขาดความมั่นใจ”
“เจ้าบัดซบเฒ่าเก่งในเรื่องหลบซ่อนตัวจริงๆ แม้แต่สัมผัสผนึกอสูรของข้า ก็ยังไม่อาจจะรับรู้ถึงกลิ่นอายของมันได้” เมิ่งฮ่าวไอออกมาเบาๆ จากนั้นโดยไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย ก็เดินต่อไป
เวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปในราชวัง ปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความกังวล มันเห็นเขาเก็บถุงสมบัติไว้ จึงถอนหายใจออกมา และจากนั้นมันก็เริ่มบ่นด้วยความเสียใจ
“อา, หินลมปราณของข้า หินลมปราณทั้งสามหมื่นก้อนของเหลาจู่…หายไปแล้ว, ก็แค่นั้น สิ่งของทั้งหมดบนเกาะศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นของข้า หายไปเพียงเล็กน้อย, ก็แค่นั้น…”
“ท่านย่ามันเถอะ, เจ้าสารเลวน้อย! ตั้งแต่ที่ข้าได้พบกับเจ้า ก็ไม่มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมาเลย!”
ปรมาจารย์เอกะเทวะกัดฟันแน่น แต่ก็ไม่มีอะไรที่มันสามารถทำได้ มันได้แต่เฝ้าอธิษฐานอย่างเงียบๆ ว่าเมิ่งฮ่าวจะจากไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สำหรับเมิ่งฮ่าว เขาตบเบาๆ ลงไปยังหินลมปราณที่ได้มาแบบเปล่าๆ จากนั้นก็จ้องมองไปรอบๆ ในที่สุดก็มองเห็นร้านค้าที่มีอาวุธเวทพิเศษเฉพาะ ดวงตาหดเล็กลงขณะที่ก้าวเนิบนาบเดินตรงไป
แม้แต่ตอนที่อยู่ด้านนอก ร้านค้านั้นก็ดูหรูหราเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเข้าไปด้านในแล้ว ก็เห็นว่ามันมีทั้งหมดสามชั้น และแสงของอาวุธเวทก็น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง สินค้าที่วางขาย เริ่มจากขั้นรวบรวมลมปราณ จนกระทั่งไปถึงขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง มีของอันน่าเหลือเชื่อและพิเศษเฉพาะวางขายสำหรับทุกขั้น
ตอนนี้ มีผู้ฝึกตนประมาณเจ็ดถึงแปดคนอยู่ในร้าน กำลังมองไปยังของวิเศษต่างๆ ติดตามด้วยผู้ขายพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใส ตรงจุดกึ่งกลางของร้านเป็นธูปที่กำลังเผาไหม้อยู่ จากกลุ่มควันที่ลอยออกมา ทำให้ทั่วทั้งชั้นแรก ปกคลุมเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่สูงส่งสง่า ทันทีที่มีใครเดินเข้ามา ก็จะทำให้จิตใจของคนผู้นั้นสงบเย็น และรู้สึกมีความสุขกับบรรยากาศที่สูงส่งของร้านนี้
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ชายชราที่สวมใส่เสื้อคลุมยาวก็เข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้ม มันประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับเมิ่งฮ่าว
“สหายเต๋า, ขอต้อนรับสู่หนึ่งในสิบร้านค้าชั้นยอดของเมืองเซิ่งเหยาแห่งนี้ พวกเรารับประกันคุณภาพ และซื่อสัตย์ต่อลูกค้าทุกท่าน ท่านสามารถสบายใจได้เมื่อมาทำการค้ากับที่นี่”
“ท่านกำลังมองหาอะไรอยู่?” คำพูดที่ยิ้มแย้มของชายชรา ดูเหมือนจะเป็นที่คุ้นเคยสำหรับเมิ่งฮ่าว หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตระหนักว่าพวกมันแทบจะเป็นคำพูดเดียวกัน กับที่เขาเคยใช้ในร้านของตนเอง ตอนที่อยู่ในสำนักเอกะเทวะ
ชายชราผู้นี้มีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ขั้นต้นพื้นฐานลมปราณ มันมีพรสวรรค์ที่ธรรมดา และไร้วี่แววที่จะสามารถทะลวงผ่านขั้นต่อไปได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงยังคงมีตำแหน่งอยู่ในร้านเช่นนี้ มันประเมินเมิ่งฮ่าวอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าไม่อาจจะมองเห็นพื้นฐานฝึกตนของเขาได้ชัดเจนนัก แต่จากกิริยาท่าทางของเขา ทำให้ชายชราคิดว่าเขาต้องมีเงินอยู่เต็มกระเป๋า
“ร้านนี้ดำเนินการโดยสำนักเซียวเหยา?” เมิ่งฮ่าวถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย
ชายชรามีท่าทางทั้งภาคภูมิใจและอึดอัดใจ ขณะที่มันหัวเราะและพยักหน้า
“สหายเต๋า จริงๆ แล้วนี่คือครั้งแรกที่ท่านมายังเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้? ที่นี่มีเมืองผู้ฝึกตนอยู่สามแห่ง และร้านค้ามากมายในเมืองทั้งสาม ต่างก็เป็นทรัพย์สินของสำนักเซียวเหยา”
“ลองดูนี่” ชายชราชี้ไปยังแผ่นไม้ที่อยู่ข้างประตู บนพื้นผิวของแผ่นไม้ เห็นได้ชัดว่ามีการแกะสลักเป็นรูปที่ดูเหมือนเต่า…
“เครื่องหมายนั่น” ชายชรากล่าวต่อ “บ่งชี้ให้เห็นว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสมบัติของสำนักเซียวเหยา”
ในขณะที่ชายชราทำการอธิบาย จิตใจปรมาจารย์เอกะเทวะก็เริ่มเต้นรัว มันเริ่มร้องไห้ด้วยความปวดใจออกมา
“ข้าจบสิ้นแล้ว, จบสิ้น! ทำไมเหลาจู่ผู้ชาญฉลาดเช่นข้าจะลืมเรื่องนั้นไปได้!? บัดซบ! เครื่องหมายนั่น…ได้โปรด อย่าได้ไปดึงดูดความสนใจของเจ้าสารเลวน้อยนั่นเลย!”
ในความกระวนกระวายใจของมัน ปรมาจารย์เอกะเทวะรีบส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เข้าไปในร่างของชายชราที่เมิ่งฮ่าวกำลังพูดคุยด้วย แรงสั่นสะเทือนที่มองไม่เห็น วิ่งผ่านไปทั่วร่างชายชรา และสีหน้ามันก็เปลี่ยนไป ในตอนนี้ มันไม่ได้เป็นตัวเองอีกต่อไป แต่เป็นร่างอวตารของปรมาจารย์เอกะเทวะ
“สหายเต๋า, ดูที่นั่น!” มันรีบกล่าวขึ้น ก้าวเท้าไปอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว เพื่อปิดกั้นสายตาของเขา “ของวิเศษในร้านนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง, จริงๆ นะ!”
เมิ่งฮ่าวแอบหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ภายในใจ แต่ภายนอก เขามองไปยังทิศทางที่ชายชรากำลังชี้ไป นั่นเป็นกระบี่บินสีเงินที่กระจายความหนาวเย็นราวน้ำแข็งออกมา ราคาที่เขียนไว้ด้านข้างกระบี่เล่มนั้นคือ หนึ่งพันห้าร้อยหินลมปราณ
มันเป็นอาวุธเวทที่มีประโยชน์สำหรับขั้นพื้นฐานลมปราณ เมิ่งฮ่าวมองไปและจากนั้นก็ขมวดคิ้ว
“แพงไป!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ชายชราหัวเราะออกมา แต่ภายในใจมันกำลังก่นด่าถึงความตระหนี่ของเมิ่งฮ่าว “เหลาจู่เพิ่งจะให้หินลมปราณเจ้าไปสามหมื่นก้อน แต่ตอนนี้เจ้ากลับบอกว่ามันแพงไป?!”
“สหายเต๋า, วันนี้คือวันโชคดีของท่าน! ร้านเรากำลังลดราคาอย่างยิ่งใหญ่ในรอบสิบปี! สินค้าทั้งร้านลดราคาครึ่งหนึ่ง! ท่านสามารถซื้อของชิ้นนี้ได้ในราคาเพียงแค่เจ็ดร้อยห้าสิบหินลมปราณเท่านั้น!”
เมิ่งฮ่าวดูท่าทางไม่ค่อยพอใจ “ของชิ้นนี้มีค่าอย่างมากที่สุดก็สามสิบหินลมปราณเท่านั้น ช่างมันเถอะ ข้าคิดว่าจะไปยังร้านอื่นต่อไป หรืออาจจะไปยังเมืองผู้ฝึกตนอื่นอีก” ด้วยเช่นนั้น เขาก็หันหลังเพื่อจะจากไป
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากเขา แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างปรมาจารย์เอกะเทวะ เมื่อมันได้ยินว่าเมิ่งฮ่าวคิดจะไปเดินเตร็ดเตร่รอบๆ เมือง มันก็แอบรู้สึกเสียใจ กัดฟันแน่น ตัดสินใจโยนความตระหนี่ทั้งหมดทิ้งไปในสายลม
“สามสิบหินลมปราณก็ได้! มันเป็นของท่านแล้ว!”
เมิ่งฮ่าวหมุนตัวกลับไป และคว้าจับไปที่กระบี่เล่มเล็กๆ นั้น ใบหน้าจมอยู่ในความสุข จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปยังอาวุธเวทอื่นๆ นับร้อย ที่จัดวางแสดงอยู่บนชั้นแรกของร้าน
“ข้าต้องการพวกมันทั้งหมด” เขากล่าว
ปรมาจารย์เอกะเทวะจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง แต่มันต้องการให้เมิ่งฮ่าวจากไปรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงได้แต่กัดฟันแน่น และอดทนต่อหยดโลหิตที่กำลังไหลอยู่ในจิตใจ
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของลูกค้าคนอื่นๆ เมิ่งฮ่าวซื้อสิ่งของทั้งหมดที่อยู่บนชั้นแรกของร้าน จากนั้น ขณะที่ปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังเริ่มตื่นเต้น เมิ่งฮ่าวกลับไม่ได้จากไป แต่เดินตรงไปยังชั้นสอง
“ทุกคนต่างก็กล่าวว่า ผู้คนจากสำนักเซียวเหยาเป็นคนดี ถึงแม้ว่าข้าจะได้เห็นอะไรมามากมาย แต่ก็ต้องบอกว่านี่เป็นร้านค้าที่จริงใจมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมา ตอนนี้ข้ากำลังจะไปดูที่ชั้นสองและชั้นสาม ถ้าข้าชอบในสิ่งที่เห็น ข้าก็จะซื้อมันไปทั้งหมด สามหมื่นหินลมปราณ น่าจะเพียงพอต่อสิ่งของทั้งหมดนี้, ใช่หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้ออย่างสง่างาม
ปรมาจารย์เอกะเทวะที่อยู่ในร่างของชายชรา แทบจะกระอักโลหิตออกมาอยู่ตลอดเวลา ดวงตามันเป็นสีแดงก่ำ และกำลังจะส่งเสียงกู่ร้องด้วยโทสะออกมา แต่เมิ่งฮ่าวก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงนุ่มนวลต่อไป
“ข้าจะจากไปหลังจากที่ซื้อเสร็จแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้ปรมาจารย์เอกะเทวะอ้าปากค้าง มันเตือนตัวเองอย่างต่อเนื่องว่า ให้พยายามอดทนต่อไปอีกเล็กน้อย ขณะที่มันปลอบใจตัวเองเช่นนี้ ก็ฝืนยิ้มที่ดูเลวร้ายกว่าการร้องไห้ออกมา จากนั้นก็นำเมิ่งฮ่าวไปยังชั้นสองและชั้นสาม มันรีบเดินไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็รวบรวมอาวุธเวททั้งหมดได้
ในการคำนวนครั้งสุดท้าย มีสิ่งของอยู่หลายพันชิ้น ถึงแม้ว่าแต่ละชิ้นจะมีราคาเพียงแค่สามสิบหินลมปราณเท่านั้น แต่เขาก็ยังต้องใช้มากกว่าหนึ่งแสนหินลมปราณ
ปรมาจารย์เอกะเทวะรู้สึกราวกับว่า จิตใจมันกำลังถูกกรีดด้วยคมมีด ใบหน้าซีดขาวขณะที่จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวโดยที่ไม่อาจจะทำอะไรได้ ดูเหมือนว่ามันแทบจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ
เมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่ายเงิน เมิ่งฮ่าวลูบไปที่ถุงสมบัติ และท่าทางครุ่นคิดก็ปรากฏขึ้นในแววตา
“ข้าคิดว่าคงมีหินลมปราณไม่เพียงพอ” เขากล่าวด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย เมื่อปรมาจารย์เอกะเทวะได้ยินเช่นนี้ มันก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง