Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 704

ตอนที่ 704

เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต

“น่าสนใจนัก” เฉวียนเทียนเยาจุน (ผู้เฒ่าอสูรสวรรค์ลี้ลับ) พึมพำ “ท่านปรมาจารย์ไม่ได้มอบยอดเขาหรือผู้ติดตามใดๆ ให้กับมัน, หือ…? นี่หมายความว่าอย่างไร?” มันปรากฏกายขึ้นในรูปแบบของเด็กชายที่สวมใส่ชุดนักศึกษา และยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับมือที่ประสานอยู่ด้านหลัง

“ท่านอาจารย์” หนึ่งในศิษย์ที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังมันกล่าว “ทำไมเจ้าคนแปลกหน้าผู้นั้นถึงได้เป็นเจ้าสำนักน้อย? ข้าไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้!”

“ใช่แล้ว, ได้โปรดให้พวกเราไปสู้กับเมิ่งฮ่าวผู้นั้น, ท่านอาจารย์! มาดูกันว่ามันจะเก่งสมกับที่เป็นเจ้าสำนักน้อยได้หรือไม่!”

“ไม่ต้องรีบร้อน” เด็กชายกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบาๆ อย่างน่ากลัว “มีผู้คนอีกมากมายที่ร้อนใจยิ่งกว่าพวกเจ้า” โดยไม่กล่าวอะไรออกมาอีก มันหันหลังและเดินกลับเข้าไปในถ้ำแห่งเซียน

รังสีสังหารของศิษย์ทั้งเจ็ดเต็มอยู่ในอากาศ พวกมันสบสายตากันไปมา และจากนั้นก็จ้องกลับไปยังเมิ่งฮ่าว ขณะที่เขาเดินลงไปจากขั้นบันไดศิลาของภูเขาอสูรโลหิต

ภาพเช่นเดียวกันนี้ เกิดขึ้นบนยอดเขาที่สี่แห่งสำนักเซี่ยเยา และยังมีความรุนแรงมากกว่าอีกด้วย เยี่ยเทาเยาจุน (ผู้เฒ่าอสูรเปลวไฟ) ทั้งสามไม่อาจจะควบคุมตนเองได้ โทสะและความอวดดีของพวกมันระเบิดออกมา

มีเพียงยอดเขาห้าเท่านั้นที่เงียบสงบ บนยอดเขามีชายชราหลังค่อม ผมหงอกขาวผู้หนึ่ง ซึ่งใช้ไม้เท้าคอยพยุงกาย ขณะที่มันมองตรงไปยังภูเขาอสูรโลหิต

ด้านข้างมันยืนไว้ด้วยหญิงสาวซึ่งค่อนข้างจะน่ารักมีเสน่ห์ แต่ก็เปล่งรังสีสังหารออกมาด้วยเช่นกัน

“ท่านอาจารย์” นางกล่าว “ทำไมถึงไม่ยอมให้ศิษย์แห่งภูเขาไม้เท้าปีศาจแสดงความไม่พอใจต่อคำสั่งแต่งตั้งของท่านปรมาจารย์? มันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ! ข้ายอมรับได้ถ้าฉางอี่จากภูเขาโลหิตเหล็กกลายมาเป็นเจ้าสำนักน้อย แต่ข้าไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงเจ้าเมิ่งฮ่าวผู้นี้มาก่อน”

ชายชรายิ้ม กล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “อาจารย์มีชีวิตอยู่มานานมากแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะเคยทำเรื่องโง่เขลามาบ้าง แต่ก็รับรู้ถึงเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว”

“เจ้ารู้หรือไม่ ในปีที่ท่านปรมาจารย์ได้ลงมา ข้าก็อยู่บนภูเขาอสูรโลหิตด้วย”

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตำแหน่งเจ้าสำนักน้อยถูกแต่งตั้งมาเจ็ดครั้ง ข้าก็อยู่ที่นั่นด้วยทุกครั้ง”

“ข้ามีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน และได้เห็นเรื่องราวมามากมาย ตาคู่นี้ของข้าสามารถมองทะลุผ่านครั้งโบราณกาล…ข้าบอกได้เลยว่าเมิ่งฮ่าวผู้นี้มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก”

หญิงสาวที่ด้านข้างมันขมวดคิ้ว

“อย่าได้ไปตอแยมัน” ชายชรากล่าวต่อไป “อย่าได้เข้าไปใกล้มัน อาจารย์จำเป็นต้องสังเกตดูมันอีกเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจ” ดวงตามันสาดประกาย ชายชราหันหลังกลับเข้าไปในถ้ำแห่งเซียน

สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่เดินลงไปตามขั้นบันได เมื่อลงจากภูเขาไปได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงัก เมื่อมองเห็นหญิงสาวในชุดสีขาวอยู่ที่เบื้องหน้า นางยืนอยู่ริมขอบที่ด้านข้าง ที่เบื้องหน้าเป็นหน้าผาที่ยืดยาวลงไปในกลุ่มหมอกที่ม้วนตัวไปมา

ชุดยาวของนางพริ้วไสวในสายลม ทำให้ดูราวกับเป็นผู้ที่อยู่เหนือโลกียะใดๆ นางมีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง และในตอนนี้ก็ยิ่งดูคล้ายกับเป็นนางเซียนอันสูงส่ง

เมิ่งฮ่าวชำเลืองมองไปยังนางชั่วขณะ จากนั้นก็มองไปทางอื่น ขณะที่เขาเดินลงจากภูเขาต่อไป

หญิงสาวหันหน้ามาและจ้องไปยังเมิ่งฮ่าว “ศิษย์พี่เมิ่ง” นางกล่าว “พวกเราบังเอิญไปพบกันในสำนักเซียนอสูร ท่านคงไม่ได้ลืมผู้ต่ำต้อยเช่นข้าไปแล้ว ใช่หรือไม่?”

หญิงสาวนางนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นเต้าจื่อแห่งสำนักเซียนอสูร หลี่ซือฉี ซึ่งเคยแต่งตัวเป็นบุรุษในครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวได้พบกับนาง

เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวตอบ เขาแค่มองไปยังนางและพยักหน้าให้ จากนั้นก็เดินลงขั้นบันไดต่อไป

“ศิษย์พี่เมิ่ง” นางกล่าวต่อ “ผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขาอสูรโลหิตมีแต่ข้าและท่านปรมาจารย์ ข้ามารอท่านที่จุดนี้ เพราะต้องการจะกล่าวตักเตือนท่าน อีกสี่ภูเขาไม่ยอมรับที่ท่านถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าสำนักน้อย” นางโบกสะบัดมือที่งดงาม ทำให้แผ่นหยกลอยออกมา

“นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับสี่ยอดเขา” นางกล่าวต่อ “โปรดอ่านดู มันน่าจะช่วยได้บ้าง”

เมิ่งฮ่าวรับมันไว้ และเงียบไปชั่วขณะ ในที่สุดก็กล่าวว่า “ขอบคุณ” และเดินต่อไป

“สะ…สหายเต๋าสวี่ชิงเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขอบคุณ” เขากล่าวซ้ำ สุ้มเสียงลอยลงไปจนถึงด้านล่างภูเขา

หลังจากที่ออกไปจากภูเขาอสูรโลหิต เมิ่งฮ่าวก็พบว่าตนเองอยู่ในผืนป่าที่รกร้างและเยือกเย็น สำนักเซี่ยเยาไม่เหมือนกับสำนักอื่นๆ ซึ่งมีวิหารอยู่ที่เชิงเขา และเต็มไปด้วยศิษย์สายนอก

ถึงแม้ว่าสำนักนี้จะมีศิษย์สายนอก แต่พวกมันก็อาศัยอยู่บนภูเขาด้วยเช่นกัน สำหรับอาณาเขตตรงเชิงเขา มีแต่ผืนป่าเท่านั้น

แต่ก็ไม่ได้รกร้างไร้ผู้คนโดยสิ้นเชิง มองเห็นกระท่อมไม้กระจัดกระจายอยู่ไปทั่ว ซึ่งเป็นของศิษย์ที่แยกตัวลงมาจากภูเขา เพื่อฝึกฝนวิถีเซียนตามลำพัง บางกระท่อมก็ตกอยู่ในสภาพทรุดโทรม

มองเห็นศิษย์อยู่เป็นระยะ โดยไร้ข้อยกเว้น พวกมันมองมาที่เขาอย่างเย็นชา และไร้ความเคารพนับถือแม้แต่น้อย

ใบหน้าที่เย็นชาของเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่ง เขารับรู้ได้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนมากมาย เมื่อเดินลงมาจากภูเขา ดังนั้นเขาจึงเดินต่อไปจนกระทั่งมาถึงมุมที่อยู่ห่างไกลออกไปจากสำนัก จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ หลับตาลงและหยิบเอาดวงวิญญาณที่เหน็ดเหนื่อยจนหมดแรงและหลับใหลอยู่ของสวี่ชิง ออกมาตรวจสอบเป็นเวลานานก่อนที่จะเก็บกลับเข้าไป

ในเวลาเดียวกันนั้น กระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย จากยอดเขาที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ก็ถูกเจ้าของดึงกลับไป มีอยู่ไม่น้อยที่เต็มไปด้วยความดูถูก

“เมิ่งฮ่าวผู้นี้เป็นเจ้าสำนักน้อยแบบไหนกันแน่? ข้าคิดว่ามันจะเก่งกล้ากว่านี้ซะอีก! แม้แต่กับคนในกระท่อมที่เชิงเขา มันก็คงไม่อาจจะสู้ด้วยได้!”

“แม้แต่คนในกระท่อม มันก็ยังไม่กล้าไปตอแยด้วย? ในสำนักเซี่ยเยา ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นกับความแข็งแกร่งและความดุร้าย! ถ้ำแห่งเซียน, ยอดเขา, คนรัก, วิชา, ทรัพยากรการฝึกตน ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็เป็นของผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดเท่านั้น! และนั่นก็รวมถึงตำแหน่งที่มันได้ครอบครองอยู่ด้วย!”

“อืม มันต้องการอิสระและความสงบ หือ? เมื่อมันได้ตำแหน่งที่ไม่คู่ควร ก็น่าจะยอมสละไป!”

“แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกระทำอย่างรีบร้อนเช่นนี้ พวกเรารู้เรื่องเกี่ยวกับตัวมันน้อยมาก ดังนั้นมาคอยสังเกตดูให้นานกว่านี้อีกสักเล็กน้อยกันเถอะ…”

เมิ่งฮ่าวหลับตาลงและไม่สนใจสายตาทุกคู่ และกระแสแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สนใจอะไรเลย เขาส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองเข้าไปในถุงสมบัติ ที่นั่นเขามองเห็นอ๋าวเฉี่ยน ซึ่งได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ในตอนที่ต่อสู้เพื่อปกป้องเขาจากปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง ตอนนี้ร่างกายของมันกำลังเติบโตขึ้นมาใหม่ ถึงแม้ว่าจะยังคงอ่อนแอและตัวเล็กอยู่ก็ตามที

และจากนั้นก็คิดไปถึงนกแก้วและผีโต้ง…เมื่อเมิ่งฮ่าวคิดถึงพวกมัน เขาก็ขมวดคิ้ว เขาไม่เห็นร่องรอยใดๆ ของพวกมันตั้งแต่ตอนที่ตื่นขึ้นมาบนเรือยมโลกอีกเลย

อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกได้อย่างแปลกๆ ว่า ทั้งสองตัวนี้ต้องอยู่ในดินแดนด้านใต้อย่างแน่นอน

ในความเงียบ เขาโคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตนจนกระทั่งถึงยามราตรี ในที่สุด เขาก็ลืมตาขึ้นมา หยิบเอาซากศพที่แห้งกรังของสวี่ชิงออกมา เขาค่อยๆ หลอมรวมสัญลักษณ์เวทสีทองเข้าไปในร่างนั้น ครั้นแล้วนางก็เริ่มแสดงให้เห็นสัญญาณแห่งชีวิตขึ้นมาในทันที นางเริ่มฟื้นคืนกลับมาอย่างช้าๆ

ผิวกายของนางค่อยๆ เปลี่ยนไป และตลอดร่างก็เริ่มดูอ่อนนุ่มและมีเสน่ห์มากขึ้น ขณะที่นางแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่กำลังจะตื่นขึ้นมา ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาถึงแปดสิบวันจึงจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์

เมิ่งฮ่าวสะกดข่มความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ มองไปยังนางอยู่นานสักพัก จากนั้นก็เก็บร่างนางไว้ด้วยความระมัดระวัง

“ศิษย์พี่หญิงสวี่ ดวงตาท่านจะลืมขึ้นมาในอีกแปดสิบเอ็ดวัน” เขาพึมพำ หลังจากผ่านไปนานสักพัก ในที่สุดเขาก็หยิบเอาผลึกโลหิตที่ปรมาจารย์อสูรโลหิตมอบให้ออกมา

เขามองไปยังมันชั่วขณะก่อนที่จะใช้สองนิ้วคีบมันไว้โดยไม่ลังเล ทันใดนั้นโลหิตทั่วร่างเขาทั้งหมดก็เริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วนราวกับว่ามันกำลังเดือดพล่าน และกระจายกลิ่นอายโลหิตอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้

ในเวลาเดียวกันนั้น สัญลักษณ์เวทก็ปรากฏขึ้นอยู่ในจิตใจ พวกมันกระจายกลิ่นอายโบราณที่หยาบกร้านออกมา ซึ่งได้กลายเป็นมรดกที่ถูกส่งมอบสืบต่อกันมา

เวลาเดียวกันนั้น หน้ากากสีโลหิตที่อยู่ในถุงสมบัติ จู่ๆ ก็เริ่มกระจายระลอกคลื่นอันเข้มข้นออกมา อ๋าวเฉี่ยนที่อยู่ด้านในสั่นสะท้าน ดูเหมือนว่าจะตอบรับกลิ่นอายที่เปล่งออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว ซึ่งมันได้ดูดซับเข้าไปโดยสัญชาตญาณ

“เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต!” เมิ่งฮ่าวพึมพำ

อันที่จริงเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตเป็นวิชาต้องห้ามในสำนักเซี่ยเยา มีแต่ปรมาจารย์อสูรโลหิตเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะฝึกวิชานี้ได้ แม้แต่เจ้าสำนักน้อยก่อนหน้านี้ก็แค่ได้รับคำแนะนำวิชานี้ด้วยปากเปล่า เมิ่งฮ่าวเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครองมรดกชีพโลหิตนี้

เวทนี้ถูกจัดแบ่งเป็นหกระดับ และถูกแบ่งออกเป็นขั้นละสองระดับ ซึ่งหมายความว่าจะมีทั้งหมดสามขั้น

“ปราณและโลหิต, เส้นลมปราณ, วิญญาณโลหิต…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ และแสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นในดวงตา ทันใดนั้นก็พบว่าเขามีพรสวรรค์อย่างน่าเหลือเชื่อ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต

หลังจากที่ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เขาก็บรรลุถึงระดับแรก และอยู่ในครึ่งทางที่ผ่านไปยังขั้นปราณและโลหิต

ขั้นปราณและโลหิตช่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง มันสามารถดูดซับพลังปราณและโลหิตของใครก็ได้

ทันใดนั้นดวงตาเมิ่งฮ่าวก็กลายเป็นสีแดงราวกับเป็นเปลวไฟ เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นสีแดงจ้าขึ้น

แทบจะราวกับว่ามือของเขา ถูกปกคลุมด้วยหลุมดำจำนวนมากมาย ซึ่งทั้งหมดนั้นต่างก็พร้อมที่จะ…ดูดกลืนปราณและโลหิตเข้าไป

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าสามารถฝึกฝนวิชานี้ได้รวดเร็วเช่นนี้…” เมิ่งฮ่าวคิด “มันต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของเซียนโลหิตอย่างแน่นอน…เซียนโลหิต อสูรโลหิต…ต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอย่างแน่นอน” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็ตระหนักว่าอาจจะมีคำอธิบายอื่นอีก เขาสำรวจเข้าไปภายในร่างและรับรู้ว่าเวทผนึกอสูรของเขาในตอนนี้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย

ราวกับว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่อาจจะสัมผัสได้เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจในรายละเอียดของมันก็ตามที

“ปรมาจารย์อสูรโลหิต ให้ความสนใจต่อฐานะที่เป็นผู้ผนึกอสูรของข้ามาก ด้วยเช่นนั้นบางทีจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมข้าถึงได้ฝึกฝนเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตได้อย่างง่ายดายนัก”

เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปอีกเล็กน้อย และหลังจากนั้นก็คิดว่า ถ้าพยายามฝึกฝนเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตต่อไปอีกก็คงจะดีไม่น้อย จึงได้ปฏิบัติตามวิธีการฝึกฝนต่อไป หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ดวงตาเขาก็ลืมขึ้นมาในทันที และแสงสีโลหิตในดวงตาก็เต็มอยู่ในม่านตาโดยสิ้นเชิง ดูน่ากลัวจนน่าประหลาดใจอย่างที่สุด

“วงจรอันยิ่งใหญ่แห่งขั้นปราณและโลหิต!” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ตอนนี้เขารับรู้ถึงความน่ากลัวของเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตแล้ว ด้วยการดูดกลืนปราณและโลหิตของผู้อื่น ก็ทำให้ร่างกายเขามีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น!

แต่การที่จะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าใด ก็ดูเหมือนว่าจะไร้ขีดจำกัด!

“โชคร้ายที่มันไม่ได้คงอยู่อย่างถาวร และเป็นแค่การยืมพลังมาใช้เท่านั้น” ดวงตาเขาสาดประกายขณะที่ทันใดนั้น ก็เต็มไปด้วยความต้องการที่จะเข้าไปในขั้นเส้นลมปราณ แห่งเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตให้ได้สักครึ่งทาง

“ผู้ฝึกตนทั้งหลายสร้างพลังลมปราณอยู่ภายในร่างพวกมันอย่างมากมาย เนื่องจากเช่นนั้นจึงทำให้เกิดเส้นลมปราณขึ้นมา ขั้นเส้นลมปราณช่วยให้ข้าดูดกลืนเส้นลมปราณของคนอื่นๆ ได้ ทำให้ข้าสามารถนำไปเพิ่มพื้นฐานฝึกตนของตัวเองได้”

เมิ่งฮ่าวหลับตาลงและจมลงไปในการฝึกฝน ดวงตะวันลอยขึ้นไปสูงในท้องฟ้า ก่อนจะในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นมาและขมวดคิ้ว

“ข้าไม่อาจจะฝึกฝนมันได้ ข้ากำลังพลาดอะไรบางอย่างไป” เขาตกอยู่ในท่ามกลางการพิจารณาถึงเรื่องราวเหล่านี้ แต่ทันใดนั้นเสียงเก่าแก่โบราณของปรมาจารย์อสูรโลหิตก็ดังก้องอยู่ในหู

“ดีมาก เจ้าบรรลุถึงระดับสองของเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตแล้ว เมื่อเจ้าบรรลุถึงระดับสาม ข้าจะมอบสิ่งของบางอย่างให้ ซึ่งจะทำให้เจ้าต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน”

“มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรแห่งผู้ผนึกอสูรของเจ้า ด้วยสิ่งของเช่นนั้น เจ้าก็จะสามารถได้ครอบครอง…เวทผนึกอสูร!”

เมิ่งฮ่าวมองตรงขึ้นไปยังภูเขาอสูรโลหิต เขาไม่กล่าวอันใด แต่จิตใจกำลังสั่นสะท้าน ในตอนนี้ เขามั่นใจได้โดยสิ้นเชิงว่า ปรมาจารย์อสูรโลหิต…ได้ให้ความสำคัญต่อตัวตนของเขา ในฐานะที่เป็นผู้ผนึกอสูรเป็นอย่างมาก

“มีความลับอะไร ที่ข้ายังไม่รู้เกี่ยวกับผู้ผนึกอสูร?” เมิ่งฮ่าวคิด ถึงแม้จะเป็นผู้ผนึกอสูรมานานหลายปี แต่เขาก็จะคงใช้ได้แต่วิชาเวทผนึกอสูรรุ่นแปด และวิชาผนึกความเที่ยงธรรมเท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version