ตอนที่ 754
เรื่องราวของเฉินฝาน
กระถางสายฟ้าบดขยี้มังกรกระบี่ อยู่ในท่ามกลางเสียงกระหึ่มกึกก้อง จากนั้นก็พุ่งลงไปยังค่ายกลเวทของสำนักอีเจี้ยนต่อไป
ระลอกคลื่นกระจายออกไปทั่วในอากาศ จากมุมมองของผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านนอก ค่ายกลเวทของสำนักอีเจี้ยนกำลังบิดเบี้ยวไปมา และดูคล้ายกับจะถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ ภายในสำนัก สามปรมาจารย์สั่นสะท้านและกระอักโลหิตออกมา
ส่วนศิษย์นับหมื่นของสำนักอีเจี้ยน พวกมันก็สั่นสะท้านขึ้นเช่นเดียวกัน ใบหน้าซีดขาวขณะที่กระอักโลหิตออกมากองโต
“ค่ายกลเวทอันดับสอง!!” เจี้ยนเหล่าร้องออกมา เสียงของมันดังก้องไปทั่วทั้งสำนัก ทันใดนั้น ศิษย์นับหมื่นก็หยิบเม็ดยาออกมากลืนกินลงไป
ลึกลงไปในจิตใจ พวกมันรู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการตัดสินว่า สำนักอีเจี้ยนจะคงอยู่หรือจะถูกทำลายไป ถ้าค่ายกลเวทของพวกมันสามารถจะต่อต้านไว้ได้ พวกมันก็สามารถจะปิดกั้นตนเองอยู่ในภูเขาได้อีกต่อไป ถ้าไม่อาจจะต่อต้านได้…นั่นก็หมายความว่าสำนักอีเจี้ยนจะต้องถูกกวาดล้างออกไปจากดินแดนด้านใต้
แน่นอนว่า ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือการยอมจำนน
ขณะที่กองกำลังของสำนักอีเจี้ยนปลดปล่อยพลังของพวกมันออกมาอย่างเต็มกำลัง ลำแสงกระบี่มากมายนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นจากภายในพื้นดิน, ภูเขา และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกมาจากทุกมุมของสำนัก
มีกระบี่มากกว่าหนึ่งแสนเล่ม ลอยออกมาหมุนวนอยู่รอบๆ สำนัก ราวกับเป็นสายลมอันปั่นป่วน ขณะที่สายลมนั้นเกิดขึ้น กระบี่ก็เริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นภาพอันน่าตกใจของ…กระบี่ยิ่งใหญ่ขนาดยักษ์!
กระบี่นั้นมีความยาวมากกว่าหนึ่งหมื่นจ้าง และทั่วทั้งสำนักอีเจี้ยนก็อยู่ภายในตัวกระบี่ มันคือเกราะป้องกันรูปร่างกระบี่นั่นเอง
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่ชี้นิ้วออกไปในอากาศ กระถางสายฟ้าหดเล็กลง และกลับมาที่เขา เมื่อมันแตะลงไปบนฝ่ามือ เขาก็ถูกปกคลุมด้วยสายฟ้าในทันที
“ทำลายค่ายกลนั่น!” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ ปรมาจารย์สำนักจินหานและปรมาจารย์รุ่นสามตระกูลหลี่พุ่งตรงไปในทันที ขณะที่พวกมันเข้าไปใกล้เกราะป้องกันกระบี่ พวกมันก็โบกสะบัดมือ ทำให้พลังของพื้นฐานฝึกตนขั้นสูงสุดค้นหาเต๋าระเบิดออก เสียงระเบิดดังก้องออกไป ขณะที่ศิษย์สำนักเซี่ยเยานับหมื่นก็พุ่งออกไปโจมตีด้วยเช่นเดียวกัน ความสามารถศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวทต่างๆ พุ่งลงไปราวกับเป็นหยาดพิรุณ กระแทกเข้าไปในค่ายกลเวทอันยิ่งใหญ่ของสำนักอีเจี้ยน
เมิ่งฮ่าวส่งความคิดออกไปควบคุมร่างจริงที่สอง ซึ่งทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับกระบี่ไม้แห่งกาลเวลา จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในการต่อสู้ทันที
การรวมพลังกันของผู้ฝึกตนนับหมื่น รวมทั้งสามพื้นฐานฝึกตนขั้นสูงสุดค้นหาเต๋า กระแทกเข้าไปในค่ายกลเวท ทันใดนั้นกระบี่ยิ่งใหญ่ของสำนักอีเจี้ยนก็สั่นไปมา และจากนั้นก็เริ่มแตกร้าวขึ้น
เมิ่งฮ่าวลอยตัวอยู่กลางอากาศ มองไปยังภาพที่เบื้องหน้าด้วยความเย็นชา
เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นกระบี่ยิ่งใหญ่ของสำนักอีเจี้ยนก็ไม่อาจจะต่อต้านได้อีกต่อไป กระบี่จำนวนมากที่รวมตัวกันเป็นค่ายกลกระบี่ก็เริ่มพังทลายไป เมื่อไหร่ที่ค่ายกลเวทไม่สมบูรณ์อีกต่อไป จุดจบของมันก็จะมาถึงอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายเสียงระเบิดขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้น ทำให้ค่ายกลเวทพังทลายไป กระบี่แตกกระจายไป ทำให้เศษชิ้นส่วนอันแหลมคมมากมายลอยไปมา ค่ายกลเวทอันยิ่งใหญ่ของสำนักอีเจี้ยนในตอนนี้ มีรอยฉีกขาดกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ทำให้สามารถมองทะลุผ่านเข้าไปยังสำนักอีเจี้ยนได้อย่างชัดเจน มองเห็นศิษย์นับหมื่นมีใบหน้าซีดขาว รวมทั้งสามปรมาจารย์ตัดวิญญาณที่กำลังสิ้นหวังอยู่ด้วย
ร่างจริงที่สองของเมิ่งฮ่าวผ่านเข้าไปในช่องโหว่นั้น ดวงตาแวบขึ้น กวาดมือออกไปทางซ้ายและขวา ทำให้เกิดเป็นเสียงแตกร้าวดังก้องไปทั่ว ช่องโหว่นั้นฉีกขาดออกจนมีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งค่ายกลเวทถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
ในเวลาเดียวกันนั้น ศิษย์สำนักเซี่ยเยาก็พุ่งเข้าไป คล้ายกับเป็นกลุ่มเมฆแห่งโลหิต พร้อมที่จะทำการสังหารสำนักอีเจี้ยนทั้งหมดไป
ในความสิ้นหวังของพวกมัน ศิษย์สำนักอีเจี้ยนไม่อาจจะรวบรวมได้แม้แต่ความคิดที่จะต่อต้าน ยากที่จะบอกว่าใครกระทำก่อนเป็นคนแรก แต่พวกมันทั้งหมดเริ่มคุกเข่าลงโขกศีรษะ
“ยอมจำนน! ข้ายอมจำนน!”
“พวกเรายอมจำนน!”
สามผู้แข็งแกร่งตัดวิญญาณที่มีใบหน้าซีดขาว สองคนหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา และกำลังจะพูดว่ายอมจำนนด้วยเช่นกัน แต่ทันใดนั้นดวงตาเจี้ยนเหล่าก็แวบขึ้น มันทำการเคลื่อนย้ายทางไกลย่อยออกไปอย่างรวดเร็ว ไปปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในที่ห่างไกล อยู่ที่ด้านข้างของบุรุษวัยกลางคนที่ไร้กระบี่และมีขวดน้ำเต้าสุราอยู่ในมือ
ทันทีที่มันปรากฏกายขึ้น มือของมันก็ยื่นออกกดลงไปบนศีรษะของบุรุษผู้นั้น ดวงตาเจี้ยนเหล่าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและบ้าคลั่ง
“เมิ่งฮ่าว!!” มันแผดร้อง “นี่ก็คือศิษย์พี่ของเจ้าจากสำนักเอกะเทวะ, เฉินฝาน ข้ารู้ว่ามันเป็นสหายสนิทของเจ้า ดังนั้นถ้าเจ้ากล้าจะขยับตัวแม้แต่น้อยนิด ข้าก็จะสังหารมัน ถึงแม้ว่าข้าต้องตายไปด้วยก็ตามที!”
เหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์สำนักเซี่ยเยาหยุดชะงักนิ่ง และมองอย่างเย็นชาไปยังเจี้ยนเหล่า แม้แต่ศิษย์สำนักอีเจี้ยนก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่มีใครมีท่าทางยินดีแม้แต่น้อยนิด อันที่จริง ใบหน้าพวกมันยิ่งซีดขาวราวคนตายมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรมาจารย์ตัดวิญญาณอีกสองคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว พวกมันรู้ว่าไม่อาจจะต่อสู้กับสำนักเซี่ยเยาได้ ความล้มเหลวที่จะต่อสู้กลับไปเมื่อครู่นี้ ได้ประจักษ์ให้เห็นเด่นชัดแล้ว
การยอมจำนนจึงเป็นทางเลือกของพวกมันเท่านั้น!
แต่จู่ๆ เจี้ยนเหล่าก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมออกมา ทำให้ทั่วทั้งสำนักอีเจี้ยนต้องติดร่างแหไปพร้อมกับมัน ในการไปกระตุ้นตอแยดาวเพชรฆาตเมิ่งฮ่าว สีหน้าของปรมาจารย์ทั้งสองสลดลงไปในทันที
“เจี้ยนเหล่า, อย่าได้ทำเช่นนี้!!”
“เจี้ยนเหล่า, ท่าน…”
สีหน้าเจี้ยนเหล่าเริ่มดุร้ายมากยิ่งขึ้น มันจ้องมองไปยังศีรษะของเฉินฝานอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็มองกลับไปยังกองกำลังสำนักเซี่ยเยาและเมิ่งฮ่าว
“เมิ่งฮ่าว มอบหุ่นเชิดเซียนของสำนักอีเจี้ยนมาให้ข้า! ข้าต้องการเพียงแค่หุ่นเชิดเซียนเท่านั้น เมื่อไหร่ที่ข้าได้มันมา ข้าก็จะไม่ทำร้ายเฉินฝาน!”
เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปยังเฉินฝานครั้งแรก ในตอนที่อยู่ในทะเลสาบเต๋าโบราณ เขาก็รู้ว่ามันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เขาอยากจะช่วย แต่ก็รู้ว่าจิตใจเฉินฝานได้ตายไปแล้ว อันที่จริงที่เขามายังสำนักอีเจี้ยนในวันนี้ มีจุดประสงค์อยู่สองอย่าง หนึ่งก็คือล้างแค้นให้กับสำนักเซี่ยเยา อีกหนึ่งก็คือความห่วงใยที่เขามีต่อเฉินฝาน
“เจ้าบ้าไปแล้ว?” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบ ด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ข้าบ้าแล้วจะเป็นอย่างไร!?” เจี้ยนเหล่าแผดร้องกลับไป ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ “ข้าต้องการแค่หุ่นเชิดเซียน ส่งมอบมา และข้าจะปล่อยมันไป!”
ใบหน้าเฉินฝานซีดขาว ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว มันไม่พูดอะไรออกมา แต่กำลังยิ้มอยู่ เป็นรอยยิ้มเดียวกับที่มันเคยยิ้ม ในตอนที่ได้พบกับเมิ่งฮ่าวเมื่อหลายปีก่อนนั้นในดินแดนด้านใต้
“ศิษย์น้อง เจ้าเติบโตขึ้นแล้ว…” นี่เป็นสิ่งที่มันเคยพูดเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ มันก็ยังคงยิ้มแย้มเช่นเดิม และเมิ่งฮ่าวก็แทบจะรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณของศิษย์พี่ ที่เขาจดจำได้จากสำนักเอกะเทวะ เป็นเฉินฝานคนเดียวกับที่เคยมุ่งเน้นความสนใจไปที่การไล่ตามเต๋าเท่านั้น
ดูเหมือนว่าเพียงแค่แวบเดียว หนึ่งร้อยปีก็ผ่านไป และเฉินฝานก็เปลี่ยนไป มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ตอนที่อยู่ในสำนักเอกะเทวะ
“เมิ่งฮ่าว” เจี้ยนเหล่ากล่าว ดวงตาเต็มไปด้วยเจตนาอันชั่วร้าย “เจ้าอาจจะสูงส่งมีพลังอำนาจอยู่ในตอนนี้ แต่ชีวิตของศิษย์พี่เจ้ากลับเต็มไปด้วยความขมขื่น!” เมื่อมันมองเห็นสีหน้าอันดุร้ายของเมิ่งฮ่าว มันก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ตอนแรกมันกังวลว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่สนใจว่าเฉินฝานจะอยู่หรือตายไป ด้วยความหวังว่าจะกระตุ้นให้เมิ่งฮ่าวเกิดความสงสารมากยิ่งขึ้น มันจึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เฉินฝานผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ถูกเลือกแห่งสำนักอีเจี้ยน และยังเป็นหนึ่งในเจ็ดกระบี่อีกด้วย แต่โชคร้าย…ที่มันไม่ควรจะไปตกหลุมรักกับซานหลิง!”
“ซานหลิงเป็นภูเขาศิลาจุติมาเกิด และเป็นมรดกวิเศษอันล้ำค่าอีกชิ้น นางเป็นของวิเศษที่สำคัญมากที่สุดในสำนักอีเจี้ยน!”
“นางไม่ควรจะมีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ หรือความต้องการแห่งกายเนื้อ! เมื่อนางกระทำเช่นนั้น นางก็จะไม่ใช่วิญญาณอีกต่อไป และจะแยกออกมาจากก้อนศิลา ซึ่งจะมีผลกระทบต่อโชคชะตาของสำนักอีเจี้ยนทั้งหมด! นอกจากนี้…จากตำนานที่บอกเล่าต่อๆ กันมา ศิลาก้อนนั้นมาจากขุนเขาที่เก้า!”
ขณะที่เจี้ยนเหล่ากล่าว เมิ่งฮ่าวก็นึกย้อนไปถึงครั้งแรกตอนที่เขามายังสำนักอีเจี้ยน และมองเห็นหญิงสาวที่งดงามกำลังลอยลงมาจากภูเขา
“เฉินฝานละเมิดกฎสำนักอย่างร้ายแรง มันหลบหนีไปพร้อมกับก้อนศิลานั้น ต้องการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาและหลบหนีไปกับซานหลิง แต่สุดท้ายสำนักอีเจี้ยนก็จับพวกมันไว้ได้…จากนั้น เนื่องจากเฉินฝาน ทำให้อาจารย์ของมัน…”
“พอได้แล้ว!” เฉินฝานแผดร้อง ลืมตาที่เต็มไปด้วยโลหิตขึ้นมาในทันที
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน เขารู้จักเฉินฝานมานานหลายปี และนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมันมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้น มีความเจ็บปวดอยู่ในแววตามัน รวมทั้งความบ้าคลั่ง ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องนึกย้อนกลับไปในตอนที่เขามองเห็นวิญญาณไร้ร่าง กำลังสิงอยู่ในร่างของสวี่ชิงในสำนักชิงหลัว
“พอแล้ว?” เจี้ยนเหล่ากล่าว “มันจะพอได้อย่างไร? เมื่อถึงตอนที่สำนักมีโทสะต่อเจ้า อาจารย์ของเจ้าก็ออกมารับแทน ทำให้พื้นฐานฝึกตนของมันถูกทำลายไป และตกตายไปเช่นคนธรรมดาทั่วไป”
“สำหรับเจ้า ถ้าซานหลิงไม่ได้ขู่ว่าจะทำลายตนเองและศิลาก้อนนั้นไป…แต่ในที่สุดนางก็ให้สัญญากับสำนักว่า จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ตราบชั่วนิรันดร์ในฐานะที่เป็นก้อนศิลา จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล เพื่อช่วยเหลือชีวิตที่ต่ำช้าของเจ้า!”
“พอแล้ว! ไม่ต้องพูดอีก…” เฉินฝานกำลังสั่นไปทั้งร่าง หยดน้ำตาไหลลงมาผ่านแก้ม ถึงแม้ว่าสีหน้ามันจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างเข้มข้น แต่มันก็ยังยิ้มด้วยความขมขื่นออกมา ดวงตาดูเหมือนจะยิ่งท้อแท้ใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ
มันไม่มีทางจะลืมไปได้ว่า อาจารย์ได้ยืนอยู่ที่เบื้องหน้ามัน ก้มศีรษะลงให้กับสำนักและกล่าวว่า “มันเป็นศิษย์ของข้า ข้าจะขอรับผิดชอบต่อความผิดของมันเอง”
มันมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ขณะที่พื้นฐานฝึกตนของอาจารย์ถูกทำลายไป บุรุษที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ได้กลายเป็นชายชรา เป็นมนุษย์ธรรมดา จนกระทั่งถึงวันที่อาจารย์ของมันได้ตายไป ท่านก็ยังไม่เคยจะกล่าวตำหนิมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับกัน ท่านยังคงดูอบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย แต่โชคร้ายที่การกระทำเช่นนั้น มีแต่จะทำให้ความเจ็บปวดของเฉินฝานเพิ่มมากขึ้น เป็นความรู้สึกที่เพียงพอต่อการที่จะทำให้มันคลุ้มคลั่งได้
บุตรชายของอาจารย์มันเกลียดชังเฉินฝานอย่างรุนแรง ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มันปรารถนาจะให้เฉินฝานตกตายไป
เฉินฝานก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง มันเกลียดชังต่อความไร้พลังที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ให้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้น และเกลียดชังต่อสำนักอีเจี้ยนที่มีจิตใจที่โหดเหี้ยม
มันต้องการจะตายไป
แต่…มันก็ไม่อาจจะหยุดคิดเกี่ยวกับนางได้
มีเพียงสิ่งเดียวที่มันจะกระทำได้ก็คือดื่ม ในความฝันที่เมามาย มันสามารถจะกลับไปยังเวลาที่มีความสุขในอดีตที่ผ่านมาได้
มันปล่อยให้อาจารย์ต้องตายไป มันปล่อยให้ซานหลิงตายไป มันปล่อยให้ทุกคนที่เคยทำดีต่อมันต้องตายไป
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ตอนนี้เขาเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉินฝาน เขาตระหนักได้ถึงใครบางคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณอันสูงส่ง เต็มไปด้วยความกล้าหาญ แต่ก็อาจจะจมลงไปในสภาวะที่ซึมเศร้าเช่นนั้นได้
“อย่าได้กล่าวแล้ว…” เฉินฝานพึมพำด้วยความขมขื่น ก้มศีรษะลง “ข้าขอร้องท่าน ได้โปรด…อย่าได้พูดอีก…ได้โปรด…”
เจี้ยนเหล่าหัวเราะเสียงเย็นชา “ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะซานหลิง เจ้าคิดว่าด้วยการกระทำที่ชั่วร้ายเช่นนั้น จะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้วิญญาณแรกก่อตั้งกระจัดกระจายออกไปได้จริงๆ? เจ้าคิดว่าการจ่ายค่าตอบแทนแค่นั้นก็จะสามารถทะลวงผ่านการฝึกตนขั้นต่อไปได้?”
“การคงอยู่ของเจ้าไม่มีอะไรนอกจากเป็นเครื่องมือให้สำนักสามารถควบคุมซานหลิงได้ แต่น่าเสียดาย…ที่การทำสงครามกับสำนักเซี่ยเยาได้เปลี่ยนแปลงเรื่องราวอย่างที่ไม่อาจจะคาดคิดได้” จากนั้นเจี้ยนเหล่าก็มองกลับไปยังเมิ่งฮ่าว “มีแต่ท่านปรมาจารย์เท่านั้นที่จะรู้วิธีการควบคุมก้อนศิลานั้น มิเช่นนั้น เจ้าก็ไม่มีทางจะสามารถทะลวงผ่านค่ายกลเวทของพวกข้ามาได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น” เมื่อได้เห็นว่าเมิ่งฮ่าวได้ให้ความสนใจต่อคำพูดของมันมากขึ้นเรื่อยๆ เจี้ยนเหล่าก็เชื่อมั่นว่าการควบคุมสถานการณ์ของมันกำลังเป็นไปด้วยดีขึ้นเรื่อยๆ มันมองกลับไปยังเฉินฝาน
“เจ้าทำให้อาจารย์ต้องตายไป ทำลายคนรักไป แต่เจ้าก็ยังจะพูดว่าพอได้แล้ว?”
“หุบปาก!” เมิ่งฮ่าวแผดร้องคำราม ดังก้องออกไปราวกับเสียงฟ้าผ่า ดวงตาแวบรังสีสังหารขึ้น คำพูดของเขาทำให้ม่านตาเจี้ยนเหล่าหดเล็กลง จิตใจเต้นรัว ทันใดนั้นมันก็เริ่มกดมือขวาลงไป
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เองที่กระถางสายฟ้าในมือเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น
เคลื่อนร่างย้ายตำแหน่ง!
สิ่งที่เปลี่ยนตำแหน่งไม่ใช่เจี้ยนเหล่า แต่เป็นเฉินฝาน!