Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 758

ตอนที่ 758

สายตาร่างจริงที่สองของเมิ่งฮ่าวสาดประกายด้วยรังสีสังหาร ถึงแม้ว่าวิญญาณของร่างจริงที่สองนี้จะไม่ได้เป็นของเมิ่งฮ่าว แต่ด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ภายในกายเนื้อ รวมถึงเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ของเมิ่งฮ่าว ทำให้เขาสามารถควบคุมมัน ราวกับว่าเป็นร่างกายของตนเอง

“ไสหัวไป!” ร่างจริงที่สองกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

คำพูดนี้ไม่ได้ดังกระหึ่มราวกับเสียงฟ้าร้อง ไร้ระลอกคลื่นแห่งพลังใดๆ มีเพียงความหนาวเหน็บอย่างน่ากลัวเท่านั้นที่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้ทุกสรรพสิ่งภายในรัศมีหนึ่งพันหลี่ต้องนิ่งแข็งไป

ภายในเปลวไฟแห่งภาพวาด ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้าง

“ช่างไม่รู้จักดีชั่วนัก!” นางเปล่งเสียงผ่านร่องฟัน ยกมือขวาขึ้น ทำให้เปลวไฟอันวุ่นวายปรากฏขึ้น พุ่งออกไปทั่วทุกทิศทางในทันที พยายามที่จะต่อสู้กลับไปยังอาณาเขตที่ถูกก่อตัวขึ้นมาจากร่างจริงที่สอง

ร่างจริงที่สองแค่นเสียง จากนั้นก็หลับตาลง ไม่สนใจเสียงกระหึ่มที่ดังเต็มอยู่ในอากาศโดยสิ้นเชิง มันได้ผนึกทุกสรรพสิ่งไว้จนหมดสิ้น ทำให้ตระกูลหลี่ไม่อาจจะหลบหนีจากไปได้อย่างง่ายดาย

เวลาผ่านไป และตระกูลหลี่ก็มีแต่จะรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าพวกมันพยายามจะใช้วิชาอะไรออกมาก็ตามที ก็ไม่อาจจะใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลหลบหนีจากไปได้ รวมทั้งไม่อาจจะทะลวงผ่านผนึกปิดกั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยร่างจริงที่สองได้ แม้แต่ใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่บนภาพวาดก็เริ่มดูน่าเกลียดมากขึ้น นอกจากนี้…นางก็เป็นเพียงแค่เส้นใยแห่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และถึงแม้ว่านางจะแข็งแกร่งมากไปกว่านี้ ก็ยังคงไม่อาจจะทำได้มากไปกว่าม้วนภาพวาดนี้ ซึ่งมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ขั้นกลางค้นหาเต๋า และอยู่ห่างจากขั้นสูงสุดเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ตระกูลหลี่แห่งดินแดนด้านใต้ ก็เป็นเพียงแค่สาขาย่อยที่มีอยู่อย่างมากมาย ของตระกูลหลักบนดาวเป่ยหลู (ขลุ่ยทิศเหนือ) เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ว่าพวกมันมีความสัมพันธ์ที่โดดเด่นบางอย่างกับตระกูลหลักแล้วละก็ คงจะตายไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับชื่อเสียงที่สูงส่งก่อนหน้านี้และการเสื่อมโทรมลงในตอนนี้ของพวกมัน ในแง่ของความซับซ้อนภายในโครงสร้างของตระกูลหลี่ทั้งหมด จริงๆ แล้วก็ถือได้ว่าไม่มีผลกระทบอะไรมากมายนัก

สามวันหลังจากนั้น เสียงกระหึ่มก็ยังคงดังกึกก้องเต็มอยู่ในอากาศตลอดเวลา หญิงสาวในม้วนภาพวาด ถูกเผาไหม้ไปมากกว่าครึ่ง นางได้ใช้พลังที่มีอยู่ออกไปทั้งหมด ในฐานะที่เป็นร่างจำแลงเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ เพื่อช่วยให้ตระกูลหลี่ที่เริ่มคลุ้มคลั่งพยายามทะลวงผ่านผนึกนี้ออกไป และในที่สุดก็เริ่มมองเห็นรอยแตกร้าวเกิดขึ้น

ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น ลำแสงนับหมื่นก็ปรากฏขึ้นยังที่ห่างไกลออกไป พวกมันพุ่งฝ่าอากาศมาราวกับเป็นกลุ่มเมฆสีแดง เปล่งประกายรังสีสังหารออกมา

นั่นก็คือศิษย์นับหมื่นของสำนักเซี่ยเยา ที่ได้สะกดกลั้นความต้องการล้างแค้นไว้เป็นเวลานาน นำมาโดยเมิ่งฮ่าว ซึ่งถูกขนาบข้างด้วยผู้พิทักษ์กฎซ้ายขวา

ขณะที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ ดวงตาของหญิงสาวที่อยู่ในม้วนภาพวาดก็สาดประกายขึ้น เพียงมองไปแค่แวบเดียวนางก็บอกได้ว่า นี่ก็คือร่างจริงของร่างจำแลง

ดวงตานางแวบขึ้นด้วยรังสีสังหาร และกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่ความเย็นชาก็พุ่งออกมาจากดวงตาเมิ่งฮ่าว โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก เขาชี้นิ้วขวาออกไป ปรมาจารย์สำนักจินหานและปรมาจารย์รุ่นสามตระกูลหลี่ ก็พุ่งตรงไปยังตระกูลหลี่ ดวงตาสาดประกายด้วยแสงที่คล้ายกับเป็นโลหิต

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนนับหมื่นแห่งสำนักเซี่ยเยาก็ระเบิดแสงสีโลหิตออกมา ขณะที่พวกมันสามารถปลดปล่อยเพลิงโทสะที่ถูกสะกดไว้อยู่ตลอดเวลาได้ในที่สุด

“สังหารพวกมัน!!”

“อย่าปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว! สังหารพวกมันให้หมด!”

ผู้ฝึกตนสำนักเซี่ยเยานับหมื่น นึกย้อนกลับไปถึงภาพอันน่าขมขื่นจากการต่อสู้ที่ด้านนอกสำนักของพวกมันเอง และดวงตาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ ความกระหายเลือดและความบ้าคลั่งพุ่งทะยานขึ้น พวกมันพุ่งตรงไปยังตระกูลหลี่ สมาชิกนับหมื่นของตระกูลหลี่ก็เริ่มต่อสู้กลับมาอย่างไม่กลัวตาย สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

นี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก เป้าหมายหลักของมันก็คือการกวาดล้างขุดรากถอนโคนไปทั้งตระกูล

ที่ห่างไกลออกไป ผู้ฝึกตนเร่ร่อนนับแสนกำลังสั่นสะท้านอยู่ในจิตใจ ยังสิ่งที่พวกมันได้เห็น

“การสังหารได้เริ่มขึ้นแล้ว…”

“การล้างแค้นของสำนักเซี่ยเยา กำลังเกิดขึ้นอย่างแท้จริงแล้วในตอนนี้!”

“ตระกูลหลี่…จะไม่มีอีกต่อไปในดินแดนด้านใต้”

“ตระกูลหลี่กำลังจะถูกกวาดล้างออกไป และตระกูลหวังก็ถูกทำลายลงไปอย่างลึกลับภายในค่ำคืนเดียว ตระกูลใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ในดินแดนด้านใต้ ก็จะเป็นตระกูลซ่งเท่านั้น!”

“จากห้าสำนักใหญ่ สำนักชิงหลัวถูกกำจัดไป สำนักอีเจี้ยนยอมจำนน ต้องสูญเสียวิชาเต๋าหลักและหลักคำสอนของพวกมันไป เนื่องจากสำนักจินหานมีหลี่ฟูกุ้ยอยู่ จึงยังสามารถรักษาสำนักไว้ได้ แต่พวกมันก็ไม่อาจจะกลับไปอยู่ในยุคแห่งความรุ่งเรืองเหมือนเช่นหลายปีก่อนได้อีกแล้ว เหลือไว้แต่สำนักจื่อยิ่นเท่านั้น…”

การสังหารได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่ผู้ฝึกตนเร่ร่อนต่างก็มองไปด้วยความตกตะลึง ผู้พิทักษ์กฎซ้ายขวา ได้สูญเสียจิตสำนึกของพวกมันไปโดยสิ้นเชิง และโจมตีออกไปด้วยพลังอันน่าตกใจ หญิงสาวที่อยู่ในม้วนภาพวาดต้องล่าถอยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า และใบหน้าของปรมาจารย์รุ่นเก้าตระกูลหลี่ก็ซีดขาวราวกระดาษ โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก ขณะที่ร่างกายมันถูกทำลายลงไปโดยปรมาจารย์รุ่นสามตระกูลหลี่ แรกก่อตั้งศักดิ์สิทธิ์ของมันบินออกมาด้วยความรวดเร็วสูงสุด

“ปรมาจารย์รุ่นสาม!!” มันแผดร้องอย่างน่าอนาถใจออกมา

แต่โชคร้ายที่ปรมาจารย์รุ่นสามตระกูลหลี่ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ และปฏิกิริยาเพียงอย่างเดียวของมันก็คือโจมตีออกไปอีกครั้ง

สมาชิกตระกูลหลี่ต่อสู้กลับไปด้วยความคับแค้นใจ แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านผู้ฝึกตนระดับสูงของสำนักเซี่ยเยาได้

หนึ่งพันคนถูกสังหารไป ในช่วงเริ่มต้นของการโจมตีเท่านั้น

สนามรบในที่สุดก็เปียกชุ่มไปด้วยโลหิต ด้วยการสังหารที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมิ่งฮ่าวไม่ได้โจมตีด้วย เช่นเดียวกับร่างจริงที่สอง พวกเขาเพียงแค่สังเกตดูการต่อสู้นี้เท่านั้น

ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวเริ่มเบื่อหน่ายกับการนองเลือดเช่นนี้แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มฝึกฝนวิถีเซียน เขาไม่เคยจะสังหารผู้คนมากมายเช่นนี้มาก่อน…แม้แต่ในช่วงของการอพยพแห่งทะเลทรายตะวันตก เขาก็ไม่ได้เห็นการสังหารที่ไม่รู้จักจบสิ้นเช่นนี้

เขารู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่งอยู่ในจิตใจ และสีหน้าก็ค่อนข้างจะว่างเปล่า

สองหูเต็มไปด้วยเสียงของการเข่นฆ่า, เสียงแผดร้องอย่างโหยหวน, เสียงสาปแช่งก่อนที่จะตายไป และเสียงตะโกนร้องต่อสู้กันไปมา ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงไปจากเสียงเหล่านี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นเสียงหึ่งๆ ซึ่งดังมาจากที่ห่างไกลออกไปมากๆ

ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าสองมือได้ชุ่มโชกเต็มไปด้วยโลหิต แม้แต่จิตใจเขาก็ยังรู้สึกได้ว่ามันกำลังเปลี่ยนสีไป…จนแทบจะกลายเป็นสีดำไปโดยสิ้นเชิง

มันเป็นผลมาจากการสังหารที่เกิดขึ้นมากมายจนเกินไป เมื่อจิตใจเขาเริ่มกลายเป็นสีดำไปจนหมด เมิ่งฮ่าวก็รู้ว่านั่นอาจจะหมายถึง…เขาได้บรรลุถึงจุดที่ต่อให้สังหารไปมากกว่านี้ ก็จะไม่รบกวนจิตใจเขาอีกต่อไป

แต่ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ?

ทันใดนั้นเขาก็คิดย้อนกลับไปถึงสำนักเซียนอสูร กลับไปยังช่วงของการอพยพในทะเลทรายตะวันตก กลับไปในดินแดนด้านใต้ด้วยฐานะที่เป็นนักปรุงยา และแม้แต่ชีวิตที่ไร้เดียงสาของเขาในสำนักเอกะเทวะ

แต่ตอนนี้ เขากำลังถูกห้อมล้อมด้วยการเข่นฆ่าสังหาร และเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้ากับมัน เมื่อหลับตาลง เขารับรู้ได้ถึงวิญญาณอาฆาตมากมายนับไม่ถ้วนของผู้คนที่ถูกสังหารไป กำลังวนเวียนอยู่รอบๆ ร่างเขา พวกมันปกคลุมเขาไว้ จนกลายเป็นพิษแห่งความโกรธแค้นอันเข้มข้นที่คล้ายกับคำสาปแช่ง เป็นคำสาปแช่งที่ไม่มีทางจะสิ้นสุดหายไป

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น อย่างเงียบขรึม

เขารู้สึก…เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมากจริงๆ

“บางทีนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมข้าถึงไม่อาจจะผลักดันให้เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต ผ่านระดับสี่ไปได้” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับถอนหายใจออกมา

“นอกจากนี้ ข้าก็ยังคงไม่ได้กลายเป็นมาร เหมือนที่ปรมาจารย์อสูรโลหิตปรารถนาจะให้ข้าเป็น…ข้าไม่อาจจะเป็นคนที่โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาเช่นนั้นได้ ข้าไม่สามารถจะสังหารโดยที่จิตใจไม่สั่นสะท้านได้”

หลังจากที่บรรลุถึงระดับสี่ของเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต เขาก็พยายามอยู่มากมายหลายครั้ง เพื่อที่จะได้รับความรู้แจ้งไปจนถึงระดับห้า แต่ทั้งหมดนั้นต่างก็ไร้ประโยชน์ ราวกับว่าเขาได้เดินไปจนสุดทางแล้ว

เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังการสังหารที่เต็มไปด้วยโลหิต และสีหน้าที่บิดเบี้ยวของคนที่ถูกสังหารไป ความเบื่อหน่ายและความเหนื่อยล้าก็ยิ่งพุ่งขึ้นมาอยู่ในจิตใจมากขึ้น ในที่สุดเขาก็ได้พบกับคำตอบ

“บางที ลึกลงไปในจิตใจข้า ไม่ยินดีที่จะปล่อยให้ตนเองกลายเป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมก็เป็นได้ ข้าไม่ต้องการให้ความสุขของข้ามาจากกลุ่มภูติผีที่ข้าได้สังหารไป ข้าไม่ต้องการให้เส้นทางของข้าเต็มไปด้วยการฆ่าฟัน ด้วยเช่นนั้น…ข้าจึงคาดเดาว่าไม่อาจจะบรรลุถึงระดับห้าของเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตได้ในชั่วชีวิตนี้”

“ระดับห้าจำเป็นต้องสังหารมากกว่านี้ มันต้องใช้วิญญาณมากมายนับไม่ถ้วน…มันต้องการวิญญาณอาฆาตแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้รวมตัวกันอยู่รอบๆ ร่างข้า ถึงจะทำให้การฝึกฝนวิชาเวทนี้ได้สำเร็จ”

“ข้าต้องยอมรับและกลายเป็นมารเท่านั้น ถึงจะสามารถฝึกฝนเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าก็จะถูกปกคลุมด้วยสีแดงและดำ”

“นั่นก็คือหนทางเดียว และเป็นหนทางที่ข้า…ไม่อาจจะยอมรับได้” เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่ด้านนอกตระกูลหลี่มองลงไปยังแม่น้ำโลหิต, ภูเขาซากศพ และซากปรักหักพัง เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันไปมาอย่างโหดเหี้ยม แทบจะราวกับว่าพวกมันได้สูญเสียความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลไปหมดแล้ว

ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็เริ่มตระหนักว่า…

การต่อสู้คงจะยุติลงอีกไม่นานแล้ว ด้วยการลงมือของผู้พิทักษ์กฎซ้ายขวา ก็คงอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามที่ชะตากรรมของตระกูลหลี่จะถูกผนึกไว้โดยสิ้นเชิง

ไม่อาจจะสังหารหญิงสาวในม้วนภาพวาดให้ตกตายไปได้ นางเป็นเส้นใยแห่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะกลับไปยังร่างจริงที่อยู่บนดาวเป่ยหลู (ขลุ่ยทิศเหนือ) เมื่อภาพวาดนี้ได้หายไป ขณะที่นางเริ่มจางหายไป เสียงอันเย็นชาของนางก็ดังก้องออกมา

“เมื่อเจ้าเลือกที่จะทำลายล้าง! นับจากนี้ไป ถ้าเจ้าก้าวเท้าออกไปจากดาวหนานเทียน (สวรรค์ทิศใต้) ตระกูลหลี่ก็จะตามล่าเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในที่แห่งใดของขุนเขาที่เก้า ตราบจนกว่าเจ้าจะตายไป!”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้นด้วยความเย็นชา ร่างจริงที่สองโบกสะบัดมือขวาตรงไปยังหญิงสาวในม้วนภาพวาด และเงาร่างที่กำลังจะจางหายไปของนาง ทันใดนั้นก็ถูกจับกุมไว้ และเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่รอบๆ ร่างนางก็มอดไหม้ลงไปเล็กน้อย

หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ในช่วงเวลานั้นเมิ่งฮ่าวก็ชี้นิ้วข้างขวาออกไป

เวทผนึกอสูร, รุ่นแปด!

เวทผนึกอสูร, รุ่นเจ็ด!

การรวมพลังกันของสองเวทผนึกอันยิ่งใหญ่ ที่ถูกปลดปล่อยออกมาในเวลาเดียวกัน ทำให้หญิงสาวนางนั้นสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง นางถูกสร้างขึ้นมาจากเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าตนเองถูกตัดเจตจำนงออกไปจากร่างจริง

“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน!?!?” นางร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ สีหน้าสลดลง

ต่อมา เส้นใยกรรมก็ห่อหุ้มนางไว้ และเส้นใยที่ประกอบด้วยธาตุทั้งห้าก็ผนึกนางไว้ภายใน เมิ่งฮ่าวยกมือขึ้น และร่างของหญิงสาวก็ค่อยๆ เริ่มหดเล็กลงไป ในชั่วพริบตานางก็กลายเป็นลูกทรงกลมสีขาวที่เรืองแสง ลอยลงมาอยู่บนฝ่ามือ เขาบดขยี้มันไปในทันที

เสียงระเบิดดังก้องออกมา ขณะที่กรรมได้แตกกระจายออกไป หญิงสาวแผดร้องเสียงโหยหวนออกมา ขณะที่นางถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิงพร้อมกับกรรมของนาง

ตอนนี้ นางไม่อาจจะกลับไปยังดาวเป่ยหลู และร่างจริงของนางได้อีกต่อไป

“เจ้ารนหาที่ตายเอง” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ แบฝ่ามือออก และแสงระยิบระยับมากมายนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ตอนนี้เขารับรู้ได้ถึงวิญญาณอาฆาตอีกดวงกำลังลอยวนไปมาอยู่รอบๆ ร่าง

ไม่มีใครสามารถมองเห็นสายตาที่ชั่วร้ายเหล่านั้นได้ มีเพียงเมิ่งฮ่าวคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงพวกมัน

ในเวลาเดียวกันนั้น บนหนึ่งในสี่ดวงดาวอันยิ่งใหญ่ที่โคจรหมุนวนอยู่รอบๆ ขุนเขาที่เก้า ซึ่งก็คือดาวเป่ยหลู (ขลุ่ยทิศเหนือ) มีทวีปซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งดาวอยู่ครึ่งหนึ่ง ทั่วทั้งทวีปนั้นเป็นของตระกูลเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือตระกูลหลี่!

จากบางตำนานได้กล่าวว่า ตระกูลหลี่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยทายาทของราชันหลี่แห่งขุนเขาทะเลที่เก้า แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จประการใดก็ยากที่จะสรุปความเห็นได้ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง แล้วทำไมราชันจี้ถึงไม่ได้กวาดล้างตระกูลหลี่นี้ออกไป?

ในดินแดนอันกว้างใหญ่ของตระกูลหลี่ เป็นแท่นบูชาที่สูงลิ่ว มีรูปแบบที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก ดูแหลมคมราวกับเป็นสามง่าม ตรงปลายสุดของสามง่าม มีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ นางมีเส้นผมที่ยาวมากปกคลุมไปทั่วลำตัว และมีความงดงามอย่างลึกล้ำ แทบจะราวกับเป็นนางเซียน

ทันใดนั้น ดวงตานางก็ลืมขึ้นมา เผยให้เห็นแสงอันคมกริบ แต่ก็มีความสับสนปนเปอยู่ด้วย

“ร่างจำแลงสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ที่ข้าทิ้งไว้ให้กับตระกูลน้องชายของข้า ในดาวหนานเทียนได้ตายไปแล้ว…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version