ตอนที่ 943
รังสีสังหารประชิดตัว!
สองสามวันต่อมา เมิ่งฮ่าวได้โผล่หน้าเข้าไปในตระกูล กลุ่มคนทั้งหมดของตระกูลที่บังเอิญมาพบกับเขา ก็จะมองมาด้วยความเคารพอย่างสูงสุด และความศรัทธาใดๆ ที่คนเหล่านี้เคยปฏิบัติต่อฟางเว่ย กลับมาแสดงออกกับเมิ่งฮ่าวแล้วในตอนนี้
สำหรับฟางเว่ย มันไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย และไม่รู้ว่าได้หายไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ฟางซีได้ไปสอบถาม และในที่สุดก็ได้ข้อมูลมาบ้างเล็กน้อย ซึ่งมันได้นำมาบอกต่อเมิ่งฮ่าวในทันที เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินว่าฟางเว่ยไปนั่งเข้าฌาณตามลำพัง เพื่อพยายามจะทะลวงผ่านกลายเป็นเซียนแท้ ดวงตาเขาก็แวบแสงอันเย็นชาออกมา
“อำนาจแห่งกรรมจะควบคุมผลเนี่ยผานของข้าที่อยู่ในร่างมันไว้ โชควาสนาในดวงตะวันของข้าได้ทำลายความเชื่อมั่นของมันไป และแน่นอนว่าได้ทำให้จิตเต๋าของมันแตกร้าวไปด้วย คาดไม่ถึงว่ามันยังคงไม่ล้มลง” เมิ่งฮ่าวคิดเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนของคนทั้งสองตอนที่อยู่สูงขึ้นไปในท้องฟ้าชั่วขณะ และถอนหายใจออกมา
ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่พอใจฟางเว่ยเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะสังหารมัน อันที่จริงเมิ่งฮ่าวรู้ว่าถ้าเขามองสิ่งต่างๆ จากมุมมองของฟางเว่ยแล้ว มันก็ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
“คนที่ทำผิด…แน่นอนว่าต้องเป็นคนอื่นๆ ในตระกูลนี้” เมิ่งฮ่าววิเคราะห์ ขณะที่คิดย้อนกลับไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในตอนที่เขากลับมายังตระกูล ทำให้มั่นใจว่าต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน
มันต้องเกี่ยวข้องกับฟางเว่ยอย่างลับๆ และต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้เฒ่าสูงสุดด้วยเช่นกัน บางที…แม้แต่ปรมาจารย์ก็อาจจะเกี่ยวข้องด้วย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมผู้เฒ่าสูงสุดถึงได้มีการแสดงออกที่แปลกๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมคนทั้งหมดถึงได้นิ่งเงียบเมื่อเกี่ยวข้องกับฟางเว่ย เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์ได้มอบตำแหน่งที่ทรงอำนาจให้กับฟางเว่ยไว้เมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่แน่ใจถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดนี้ก็ตามที
ราวกับว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องต้องห้าม ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะพูดออกมา
“เจ้าเข้าใจหรือไม่…?” นี่คือคำพูดที่ผู้เฒ่าโอสถได้กล่าวกับเขาบนยอดเขา
“ท่านกำลังเตือนว่ามีสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับผลเนี่ยผานที่ผู้เฒ่าสูงสุดได้มอบให้กับข้า? หรือว่าท่านกำลังบอกใบ้บางอย่างอยู่…?” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว หลังจากที่พิจารณาถึงเรื่องราวอีกสักพัก เขาก็เริ่มทำการผลิตน้ำยาสกัดวิญญาณซ้ำขึ้นมา จากนั้นก็หยดลงไปบนผลเนี่ยผาน
เมิ่งฮ่าวตัดสินใจแล้วว่าเมื่อไหร่ที่เขาทำการฟื้นฟูผลเนี่ยผานได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็จะดูดซับมันเข้าไปอย่างแน่นอน เขามีความรู้สึกว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากผลเนี่ยผานนี้ช่างมากมายมหาศาลนัก และจะช่วยให้เขาเริ่มคลี่คลายความลับของตระกูลฟางได้
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาจากความเชื่อมั่นในความสามารถที่จะขบคิดวิเคราะห์ และตัดสินเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งสัญชาตฌาณที่หลักแหลมของตัวเอง
“ไม่มีใครสามารถดูดซับผลเนี่ยผานของปรมาจารย์รุ่นแรกได้มาก่อน ข้าอยากรู้นักว่าถ้าทำได้สำเร็จมันจะมีผลลัพธ์ที่น่ามหัศจรรย์เช่นใด?” หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็หยุดครุ่นคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ และทำจิตใจให้เยือกเย็นลง
เจ็ดวันต่อมา เมิ่งฮ่าวมองไปยังกระจกทองแดงด้วยความกังวลใจ มันได้ดูดกลืนหินลมปราณทั้งหมดที่เขาได้มาด้วยความยากลำบากเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพื่อแลกเปลี่ยนกับน้ำยาสกัดวิญญาณ และน้ำยานั่นก็ถูกผลเนี่ยผานดูดซับเข้าไปอย่างตะกละตะกลามอีกครั้ง
ขณะที่เขาทำการหล่อเลี้ยงผลเนี่ยผานด้วยน้ำยาสกัดวิญญาณ ก็ดูเหมือนว่ามันจะค่อยๆ ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ราวกับว่า…มันเกือบจะฟื้นคืนกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
กระจกทองแดงได้กลืนกินหินลมปราณทั้งหมดที่เขาได้รับมาจากการปรุงเม็ดยาวิญญาณตะวันทุกชั้นฟ้า รวมทั้งสิ่งที่เขาได้มาจากซุนไห่ ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกเจ็บปวดใจราวกับถูกแทง ราวกับว่าเขาเพิ่งจะโยนหินลมปราณจำนวนมหาศาลลงไปยังผลเนี่ยผานโดยตรง
หินลมปราณแต่ละก้อน เพียงพอที่จะทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวแหลกสลายไปได้
“หามาได้อย่างยากลำบาก แต่ทำไมเวลาใช้ถึงได้…ง่ายดายเช่นนี้?” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
แม้แต่ตระกูลฟางก็ยังไม่อาจจะผลิตน้ำยาสกัดวิญญาณได้มากมายเช่นนี้ นอกจากนั้นต้นสมุนไพรที่เขาใช้สร้างมันขึ้นมา ก็ได้มาจากเศษซากเซียน เป็นต้นสมุนไพรที่หายาก ซึ่งจริงๆ แล้วก็ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้วที่โลกด้านนอกนี้
ด้วยเช่นนั้นจึงทำให้น้ำยาสกัดวิญญาณนี้หาค่ามิได้ แม้แต่ตระกูลฟางทั้งหมดก็ยังไม่อาจจะฟื้นฟูผลเนี่ยผานนี้กลับคืนมาได้ มีแต่เมิ่งฮ่าวและกระจกทองแดงนี้เท่านั้น ที่สามารถจะทำได้
“บัดซบ!” เมิ่งฮ่าวคิด กัดฟันแน่นและจากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา “ข้าจำเป็นต้องคิดหาแผนการอื่น เพื่อที่จะได้หินลมปราณมามากขึ้นกว่านี้…” เขานั่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่นเป็นเวลานาน ก่อนจะในที่สุดก็ต้องขบฟันแน่น
“สามเม็ดยาวิเศษเหล่านั้นไม่อาจจะปรุงขึ้นมาได้ง่ายนัก พวกมันจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของข้า ที่ชั้นเจ็ดของศาลาโอสถข้ายังทำการทดสอบไม่เสร็จสิ้น ตอนนี้ข้ามีชื่อเสียงอยู่ในตระกูลฟางไม่น้อยแล้ว น่าจะมีโอกาสหาผลประโยชน์มาได้บ้าง!” เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ตะโกนเรียกฟางซีให้เข้ามา และคนทั้งสองก็ใช้เวลาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในที่สุดฟางซีก็จากไปเพื่อปฏิบัติการตามแผนด้วยความตื่นเต้น
เพียงไม่กี่วันก็มีคำพูดแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งตระกูลราวกับเป็นลมพายุ
“เจ้ารู้หรือไม่? วันพรุ่งนี้ ฮ่าวกงจื่อจะไปยังแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา เพื่อทำการทดสอบที่ศาลาโอสถ!”
“ครั้งที่แล้วเมื่อมันไปยังศาลาโอสถ ก็ผ่านทุกชั้นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนขนานใหญ่อยู่ในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา”
“จากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เป็นเรื่องง่ายที่จะค้นหาขนหงส์หรือเขากิเลน กว่าการที่จะพบเห็นใครสักคนสามารถผ่านชั้นที่เก้าของศาลาโอสถแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาไปได้ ซึ่งจะกลายเป็นต้าซือของแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาไป ข้าได้ยินมาว่าเป้าหมายของฮ่าวกงจื่อคือ ผ่านชั้นที่เก้าไปให้จงได้!”
ข่าวคราวที่เมิ่งฮ่าวจะไปทดสอบที่ศาลาโอสถ ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งตระกูลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แผนกเต๋าแห่งการปรุงยา สุดท้ายก็คล้ายกับเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ม้วนกวาดไปทั่วทั้งตระกูล
เมิ่งฮ่าวรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตระกูลเช่นนี้ รวมถึงสิ่งทั้งหมดที่ได้ทำร่วมกันมากับฟางซี ฟางซีจะไปรออยู่ที่ด้านนอกของศาลาโอสถเพื่อเก็บรวบรวมหินลมปราณ ใครก็ตามที่ไม่ยอมมอบหินลมปราณให้ ก็ไม่อาจจะไปสังเกตดูได้
ก่อนหน้านี้ คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเมิ่งฮ่าวที่จะทำสิ่งเช่นนี้ได้ แต่หลังจากปรากฏการณ์ตงเซิงจือหยาง (ตะวันรุ่งบูรพา) เขาคือผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่งในตระกูลฟาง ทุกคำพูดและการกระทำของเขาจะกลายเป็นจุดสนใจที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
“ครั้งนี้ ข้าจะต้องได้กำไรอย่างมากมายมหาศาลเป็นแน่!” เมิ่งฮ่าวคิด ยามรุ่งอรุณในตอนเข้าของวันต่อมา เขารีบตื่นแต่เข้าเปิดประตูที่พัก แต่ขณะที่กำลังจะบินขึ้นไปในอากาศ เพื่อตรงไปยังแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา ก็มองเห็นลำแสงหกสายกำลังบินตรงมาด้วยความรวดเร็วสูงสุด พวกมันมาถึงอย่างรวดเร็วและห้อมล้อมเขาไว้
พลังของคนทั้งหกเหล่านี้พุ่งขึ้นมา ห้าคนเป็นเซียนขั้นที่เจ็ด และเมิ่งฮ่าวก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกหนึ่งคนที่เหลือมีพื้นฐานฝึกตนที่ลึกล้ำราวกับเป็นทะเลลึก มันเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้าเยือกเย็น ซึ่งได้มองมาที่เขาและกล่าวว่า “ผู้เฒ่าสูงสุดได้เรียกตัวเจ้า, ฟางฮ่าว มากับพวกเรา”
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วมองไปยังบุรุษทั้งหก และจากนั้นก็กล่าวตอบเสียงราบเรียบ “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปสายสักเล็กน้อย”
พร้อมกับเดินตรงไปและเตรียมตัวจะบินผ่านพวกมันไป
เมื่อบุรุษวัยกลางคนได้ยินคำตอบของเมิ่งฮ่าว ใบหน้ามันก็บึ้งตึงขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ผู้เฒ่าสูงสุดเรียกตัวเจ้า แต่เจ้ากลับกล้าชักช้า? เจ้าต้องไปกับพวกเราในตอนนี้ มิเช่นนั้น…”
“มิเช่นนั้นอะไร?” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้น หยุดชะงักนิ่งและมองไปยังบุรุษผู้นั้นด้วยรอยยิ้มที่ลึกลับ ความเย็นชาหมุนวนไปมาอยู่ภายในส่วนลึกของม่านตา
“จับกุมมัน!” บุรุษผู้นั้นตวาดขึ้น จ้องมองกลับไปยังเมิ่งฮ่าว
ทันใดนั้น เซียนขั้นเจ็ดทั้งห้าคน ได้กลายเป็นลำแสง และพื้นฐานฝึกตนของพวกมันก็พุ่งขึ้นไป ภาพแห่งธรรมปรากฏขึ้น เป็นภาพลวงตายักษ์ที่มีความสูงเจ็ดพันจ้าง แน่นอนว่าภาพแห่งธรรมเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ภาพเดียวที่จะเป็นตัวแทนของพวกมันเอง คนทั้งหมดเป็นเซียนเทียม!
พวกมันเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าวในชั่วพริบตา หนึ่งในภาพแห่งธรรมนั้นเป็นกลองสงครามขนาดใหญ่ กระจายเสียงกระหึ่มออกมาคล้ายกับเป็นเสียงฟ้าร้อง สองในภาพแห่งธรรมเป็นมังกรสีดำอันดุร้าย แผดร้องคำรามออกมาขณะที่พวกมันแหวกฝ่าอากาศตรงมายังเมิ่งฮ่าว
อีกสองภาพแห่งธรรมสุดท้าย หนึ่งเป็นรูปปั้นสามหัวหกแขน และอีกหนึ่งเป็นงูเหลือมยักษ์สีแดงเข้ม ที่แลบลิ้นไปมาและมีดวงตาที่ดูน่ากลัว
บุรุษทั้งห้าโจมตีมาโดยพร้อมเพรียงกัน และไม่ได้ดูคล้ายกับว่าพวกมันกำลังจะพยายามจับกุมตัวเมิ่งฮ่าวไว้ แต่รังสีสังหารแวบขึ้นมาในดวงตาพวกมัน ถึงแม้ว่าจะดูเลือนลางและถูกปกปิดไว้เป็นอย่างดี แต่เมิ่งฮ่าวก็ผ่านประสบการณ์มาอย่างมากมายตลอดชั่วชีวิตนี้ รวมทั้งสองครามใหญ่ทั้งสองครั้งตอนที่อยู่บนดาวหนานเทียน เขายังเคยสังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนอีกด้วย ดังนั้นรังสีสังหารเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน
“ต้องการสังหารข้า?” เขาถามขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาราวน้ำแข็ง ก้าวเท้าตรงไป กำมือขวาเป็นหมัด ต่อยตรงไปยังงูเหลือมสีแดงเข้มอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นเสียงระเบิดที่ดังก้องออกมาในทั่วทุกทิศทาง อากาศบิดเบี้ยวไปมา ขณะที่พลังของกายเนื้อเซียนแท้เมิ่งฮ่าวระเบิดออกไป
ขณะที่เสียงระเบิดดังก้องอยู่ในอากาศ งูเหลือมสีแดงเข้มก็แตกกระจายไป เผยให้เห็นผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านหลังมัน ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่มันจะทันได้ล่าถอยออกไป เมิ่งฮ่าวก็พุ่งทะยานตรงไปและใช้เท้าขวาเตะไปที่มันด้วยความโหดเหี้ยม เสียงแตกร้าวได้ยินมา ขณะที่เท้านั้นกระแทกลงไปยังหน้าอกของมัน โลหิตกระจายออกมาจากปาก และมันก็ลอยละลิ่วปลิวไปทางด้านหลัง
ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนอีกสี่คนก็เข้ามาใกล้ ความสามารถศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวทของพวกมันพุ่งออกมา สีหน้าเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไปด้วยความเย็นชา แทนที่จะหลบไปทางด้านข้าง เขากลับหมุนตัวและกลายเป็นวิหคยักษ์สีทอง จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังคนทั้งสี่ด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ โบกสะบัดมือทำให้ภูเขาจำนวนมากปรากฏขึ้น ก่อตัวเป็นเทือกเขากดทับลงไปยังร่างพวกมัน
ต่อมาเขาก็ทำท่าคว้าจับ และหอกยาวก็ปรากฏขึ้นอยู่ในมือ ด้ามหอกถูกสร้างขึ้นมาจากต้นเจี้ยนมู่ และคมหอกก็ทำขึ้นมาจากกระดูก เมื่อเขาแทงหอกตรงไป ทุกสรรพสิ่งก็มืดสลัวลง และเสียงแผดร้องก็ดังก้องออกไป กลองสงครามแตกกระจายกลายเป็นชิ้นๆ และผู้ฝึกตนที่อยู่ภายในก็กระอักโลหิตและถอยไปทางด้านหลังเพื่อหลบหนีในทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น ศีรษะของอสูรโลหิตก็ปรากฏขึ้น และรัศมีสีโลหิตก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอยู่ที่ใต้เท้าของเมิ่งฮ่าว เขาต่อยออกไปอีกครั้ง และรูปปั้นสามหัวหกแขนก็ระเบิดออก ในเวลาเดียวกันนั้น สองภาพแห่งธรรมที่เป็นมังกรสีดำ ก็กระแทกเข้ามายังหน้าอกของเมิ่งฮ่าว
สองผู้ฝึกตนที่กำลังควบคุมมังกรดำมองมาพร้อมกับความต้องการสังหาร พื้นฐานฝึกตนพวกมันระเบิดขึ้นด้วยพลังที่สามารถจะทำลายผู้ฝึกตนใดๆ ก็ตาม ที่อยู่ต่ำกว่าเซียนขั้นที่เจ็ดได้อย่างเหลือเฟือ
เสียงระเบิดได้ยินมา และทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบลง สองผู้ฝึกตนที่เพิ่งจะกระแทกลงไปบนร่างเมิ่งฮ่าวได้สำเร็จ จ้องมองไปด้วยความตื่นตระหนกและจากนั้นก็หอบหายใจออกมา มิใช่ว่าพวกมันไม่ได้ตระหนักว่าเมิ่งฮ่าวมีกายเนื้อเซียนแท้ แต่…ในจิตใจพวกมัน พื้นฐานฝึกตนของเขายังไม่ได้อยู่ในขั้นเซียนแท้ ดังนั้นพวกมันจึงไม่เชื่อว่ากายเนื้อเซียนแท้ของเขาจะแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
แต่ในตอนนี้…พวกมันได้รู้ซึ้งอย่างแน่ชัดแล้ว…ถึงสิ่งที่เป็นกายเนื้อเซียนแท้!
“ช่างอ่อนแอนัก!” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ จ้องมองไปยังบุรุษทั้งสองด้วยดวงตาที่คมกริบ ราวกับเป็นแสงที่แทงทะลุผ่านเข้าไปในดวงตาพวกมัน
เมิ่งฮ่าวไม่ได้ขยับตัวล่าถอยออกไปแม้แต่เพียงครึ่งชุ่น อันที่จริงแม้แต่อาการบาดเจ็บก็ยังมองไม่เห็นแม้แต่น้อยนิด ในเวลาเดียวกันนั้น บุรุษทั้งสองที่เพิ่งจะกระแทกลงไปที่เขา ก็รู้สึกได้ถึงพลังสะท้อนกลับที่รุนแรงได้พุ่งตรงมายังพวกมัน และทันใดนั้นโลหิตก็ไหลซึมออกมาจากปากพวกมัน
บุรุษทั้งสองหวาดกลัวจนแทบจะเป็นบ้าไป และกำลังจะหลบหนีล่าถอย แต่เมิ่งฮ่าวก็ยื่นมือออกไปและคว้าจับไปที่หนึ่งในพวกมัน จากนั้นก็ยกร่างมันขึ้นไปในอากาศ และเขย่าไปมา บุรุษผู้นั้นไม่อาจจะควบคุมร่างกายตนเองได้ รู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลกำลังกระแทกเข้ามาในร่าง เสียงแตกร้าวได้ยินมา ขณะที่กระดูกของมันแตกหักและแยกออกจากกัน จากนั้นมันก็ถูกโยนตรงไปยังบุรุษที่กำลังหลบหนีไปอย่างรุนแรง
เสียงระเบิดดังก้องออกมา ขณะที่บุรุษที่หลบหนีไปนั้นลอยละลิ่วปลิวไปทางด้านหลัง กระดูกของมันแตกหักและโลหิตก็พ่นกระจายออกมาจากปาก
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น ห้าเซียนขั้นที่เจ็ดต่างก็ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส และเมิ่งฮ่าวก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่น จากนั้นก็หมุนตัวตรงไปยังบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น ซึ่งเป็นคนที่มีพื้นฐานฝึกตนอันลึกล้ำอย่างยากที่จะหยั่งถึง
ดวงตามันเบิกกว้าง มันไม่เคยคาดคิดว่ากายเนื้อเซียนแท้ จะมีพลังที่น่าตกใจได้เช่นนี้มาก่อน ช่างเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนที่จะมีกายเนื้อที่พัฒนามาจนถึงระดับนี้ได้ และเป็นสิ่งที่มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน